สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิป และเพื่อนๆนักอ่านทุกคนนะค้ะ^^ ดิฉันขอแทนตัวเองว่าเราในการเล่าเรื่องราวหรือคุยกับเพื่อนๆละกัน ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ตอนแรกเราไม่ค่อยรู้จักเว็บพันทิปเท่าไหร่ แต่มีเพื่อนของเราคนนึงแนะนำมาว่า มันมีเว็บนี้ด้วยนะ จริงๆแล้วแกน่าจะลองเขียนเรื่องราวประสบการณ์ของแก จากคนที่ไม่เป็นอะไรเลย แล้วไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว แกทำได้ยังไง ลองมาแชร์ประสบการณ์ให้หลายๆคนฟังดู เราก็เลยตัดสินใจเข้ามาเขียนค้ะ เอาวะ! ถึงเราจะเป็นคนถ่ายทอดเรื่องราวหรือเขียนไม่เก่งเท่าไหร่ ก็ลองดูหน่อยละกัน ถ้าหากเรามีความผิดพลาดประการใด ใช้คำพูดพยาบคายไป หรือว่าทำให้เพื่อนๆไม่พอใจยังไง ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะค้ะ
เอาหละ! เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค้ะ ก่อนที่จะไปต่างประเทศ เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปหรอกนะค้ะ แต่มีอยู่วันนึงเรากับอาก็นัดเจอกันตามประสาอาๆหลานๆทั่วไป อยู่ๆอาก็บอกว่า อีก3วันอาต้องไปดูงานที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ2อาทิตย์ สนใจจะไปกับอาไหม ขอคำตอบภายในวันนี้ด้วยนะ อาต้องยื่นเรื่องวันนี้แล้ว บลาๆๆๆๆๆๆๆฯลฯ ตอนนั้นเราก็คิดในใจว่า โหยยยยอา ทำไมบอกปุ๊ปปั๊ปงี้หละ อาก็รู้หนูเป็นยังไง ทำร้ายกันชัดๆTT (เราค่อนข้างขี้กังวล และนิสัยเด็กค้ะ เลยคิดมากนิดหน่อย)จะไปดีไหมนะ เพราะว่าอีกไม่กี่วันก็เปิดเทอมแล้ว แล้วถ้าเราไปก็ต้องขาดเรียนที่มหาลัย2อาทิตย์แน่ๆ แถมโดนเช็คขาดอีก(เราเป็นคนที่ทำอะไรไม่ถนัดจริงๆ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง อย่างน้อยก็ขอให้มีการเรียนช่วยทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจหน่อยหละวะ เราก็เลยค่อนข้างพยายามเต็มที่กับเรื่องนี้หน่อยค้ะ) ส่วนอีกใจนึงก็คิดว่า คนอย่างเราที่ทำอะไรก็ไม่เป็น ไม่ได้เรื่องสักอย่าง เข้าใจอะไรก็ยาก บางทีถึงขั้นตามคนอื่นไม่ทันเลยก็มี แล้วก็อย่างที่บอกเพื่อนๆไปค้ะว่านิสัยก็เด็กอีก ภาษาก็ไม่ได้เรื่อง ถ้าวันไหนต้องแยกกับอาจะรอดไหมเนี่ยเรา (กังวลมากไปไหมเรา -3-") แต่เราก็คิดว่า ถ้าเราไม่ยอมก้าวเราก็จะไม่มีวันได้เห็น ถ้าไม่ยอมก้าวเราก็จะไม่มีวันได้รู้ และถ้าไม่ยอมก้าวเราจะทำอะไรเป็นหรอ เราก็เลยตัดสินไปค้ะ เอาวะ!! ไหนก็ไหนๆละ จะเจออะไรก็ต้องเจอ ยอมเสี่ยง ไปให้มันรู้แล้วรู้รอด ไม่งั้นเราก็ต้องนั่งวนอยู่ที่เดิม ส่วนเรื่องการเรียน เป็นสิ่งที่สำคัญก็จริง แต่ประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆสำหรับเรานะ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง (เพื่อนๆบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับเราแล้วมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆค้ะ) หลังจากนั้นก็รีบเตรียมของแทบจะไม่ทันเลย5555 การตัดสินใจครั้งนี้นับว่าเป็นก้าวแรกที่เรียกได้ว่าเปิดโลกใบเล็กๆของเราให้กว้างขึ้นจริงๆค้ะ
และแล้ววันนั้นก็มาถึง....วันที่เราไม่เคยคาดคิดว่าต้องเดินทางไปอักฤษคนเดียวครั้งแรกตลอดทริป!!! เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนเช็คอินที่สนามบินก็ปกติอยู่หรอกค้ะ ขึ้นเครื่องก็ปกติดี อาก็ขึ้นครื่องบินปกติพร้อมเรา แต่แค่นั่งคนละที่เท่านั้น เราก็คิดในใจว่า เอ....แปลกจัง เพราะทุกครั้งที่นั่งเครื่องบินถ้าเราจองเวลาเดียวกัน ที่นั่งปกติก็จะไม่ค่อยห่างกันเท่าไหร่นี่นา แต่นี่มันไกลมากนะ แล้วอย่างน้อยถ้าปุปปัปขนาดนี้ก็ต้องมีการจองล่วงหน้าแล้วนะ แต่ทำไมถึงนั่งคนละที่นะ เราก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะเค้าจองคนละเวลามั้ง คงไม่มีอะไรหรอก ก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะได้สัมผัสอะไรแปลกๆ คนที่นั่งข้างๆเราก็เป็นชาวอังกฤษทั้งสองคนเลยค้ะ ตอนแรกเราก็นั่งนิ่งๆไม่ค่อยได้คุยหรอกค้ะ แต่อาจเป็นเพราะว่าเค้าเข้าห้องน้ำบ่อย แล้วต้องผ่านที่นั่งเราตลอด ทุกครั้งที่เค้าขอผ่านที่นั่งเรา เราก็ชอบยิ้มให้เค้า เค้าเลยคุยกับเรามั้ง คุยไปคุยมาก็ได้รู้ว่าคนนึงมาจากLondon มีอาชีพเป็นdesingnerออกแบบเสื้อผ้า ส่วนอีกคนมาจากManchester(จำไม่ได้นะค้ะว่าทำอาชีพ) แล้วก็คุยกันตลอดทางเลยค้ะ แต่ที่เล่ามาการคุยนี่ไม่ได้ง่ายอย่างที่เพื่อนๆคิดหรอกนะค้ะ สำหรับคนที่งูๆปลาๆกับภาษาอังกฤษกับเราแล้ว(แต่ก็พอมีพื้นฐานมาบ้าง) งงหลายเรื่องเลยค้ะ ทั้งเปิดสมุดแปลคำศัพท์ ใช้ภาษากายใบ้ต่างๆนานา มีอะไรก็งัดมาใช้หมดค้ะงานนี้555555 แต่โชคดีของเราที่เจอชาวอังกฤษนิสัยดี เค้าไม่ว่าอะไรเราเลยค้ะ แถมยังช่วยกันแปลอีกด้วยซ้ำและที่สำคัญตอนจะลงจากเครื่องบิน เรายกกระเป๋าลงจากช่องใส่กระเป๋าไม่ได้ มันอยู่สูงจากตัวเรา ง่ายๆคือเราเตี้ยค้ะ55555 เค้าก็ช่วยเรายกกระเป๋าลงมาด้วย น่ารักมากๆ (เราไม่รู้ว่าช่องใส่กระเป๋าอันนั้นมันเรียกว่าอะไร เราขอเรียกว่าช่องใส่กระเป๋าที่อยู่สูงๆละกันนะค้ะ) และที่สำคัญกว่านั้นจากที่คิดว่าภาษาอังกฤษนั้นยากแสนยาก จริงๆแล้วก็ไม่ได้ยากอย่างที่เราคิดแฮะ
หลังจากนั้นเราก็ลงจากเครื่องบินลำนี้เพื่อไปต่อเครื่องบินอีกลำนึงเพื่อไปลงที่แมนเชสเตอร์ค้ะ ลืมบอกเพื่อนๆไปว่าสนามบินที่เราลงเพื่อไปต่อที่Manchester ชื่อว่า Dubai Internationalคร้าา(ถ้าจำไม่ผิด) เป็นสนามบินของดูไบนั่นเอง และสายการบินที่เรานั่งก็ชื่อว่าEmirateจ้า ก้าวแรกที่ก้าวสู่ที่สนามบินดูไบ คืออยากบอกว่า โคตรใหญ่มากกกกกกค้ะ เชื่อไหมค้ะว่าตั้งแต่ลงจากเครื่องบินนั้น ต้องผ่านการขึ้นลงลิฟท์ถึง3ครั้ง แถมยังต้องนั่งรถไฟ ในสนามบินเพื่อต่อไปอีกTerminalถึง2รอบ และขึ้นลิฟท์รวมกับลงบันไดเลื่อนอีก 3 ครั้ง เพื่อต่อไปยังอีกTerminalเพื่อไปต่ออีกลำนึงเลยค้ะ จากที่นั่งหนาวๆบนเครื่องบิน เรานี้ร้อนเลย แล้วก็เกือบขึ้นเครื่องอีกลำไปไม่ทันจริงๆค้ะ เพราะว่าเครื่องที่มาดีเลย์ครึ่งชั่วโมง อีกทั้งอาเป็นคนบอกให้เราเป็นคนหาทางเองด้วย ผิดบ้างถูกบ้าง เลยเกือบตกเครื่องจริงๆค้ะงานนี้ (เล่นอะไรไม่รู้นะค้ะอาขาาาาาา! ถ้าตกเครื่องจริงๆทำไงค้ะเนี่ยTT) หลังจากนั้นก็ขึ้นเครื่องบินอีกลำ ยังคงเป็นของสายการบินEmiratesเหมือนเดิม แล้วเราก็นั่งคนเดียวอีกแล้วเหมือนเดิม แต่ไม่เปนไรค้ะ หลังจากที่นั่งมารอบแรกก็เริ่มชิวแล้ว ครั้งนี้คนนั่งข้างๆเราเป็นครอบครัวชาวอินเดียค้ะ มาเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกเลย เค้าก็บอกว่าเค้ามาทำงานที่Manchester ส่วนลูกเค้าก็น่าจะ อายุน่าจะประมาณ1ขวบได้ค้ะ จ่ำหม้ำน่ารักน่าหยิกมากก
เล่นกับเราตลอดเลย ส่วนเวลาที่เราไม่เข้าใจอะไร พ่อแม่ของเค้าก็ช่วยเราเสมอ เหมือนมีเพื่อนอีกคนเลย โชคดีอีกแล้วเรา
ในที่สุดก็ถึงที่หมาย Manchesterที่อาบอกเราว่า เพื่อมาดูงานอะไรก็ไม่รู้ของเค้านั่นเอง ฮึ่มมมมมมมมมมมมม (เหรอคร้าาาาา) นั่งเครื่องมาตั้ง13ชั่วโมง ถึงสักทีนะเรา! ตอนแรกก็ดีใจอยู่หรอกค้ะ แต่สักพักอาบอกว่า ที่พักของเราคนละที่ เราก็อ้าววววว ตอนขึ้นเครื่องก็คนเดียว ตอนนี้ก็คนเดียวอีกแล้วนะ มันเริ่มแปลกๆป่าววะเนี่ย แต่เราก็เออ ช่างมันเหอะ ที่พักเค้าคงเต็มมั้ง แล้วก็อาก็บอกว่า เดียวมีคนมารับเราไปที่พัก และเดียวพรุ่งนี้ก็ติดต่อมาอยู่แล้ว เดียวก็คงเจอกัน(คงเจอกัน?) เราก็คิดว่าคงไม่มีไรหรอกมั้ง หลังจากนั้นอาก็ไม่พูดอะไรมากเพราะเห็นบอกว่าต้องไปทำงานต่อค้ะ เดียวพรุ่งนี้ติดต่อมาอีกที ก็แยกกันค้ะ สักพักก็มีคนมารับเราค้ะ เราก็รอได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็เอ....ทำไมไม่เห็นมีใคร หรือว่าเค้ายังไม่มา เราก็ไม่รู้ทำไง ก็เลยเขียนชื่อเราใส่Ipadใช้ตัวอักษรใหญ่ๆสีแดงเลยว่า " I'm...." ฉันชื่อ.... รอคุณอยู่นะ ณวินาทีนั้นก็มีแต่คนมองเราไปมาตลอดเลย เพราะส่วนใหญ่มีแต่คนบอกเขียนว่า มารับคนนั้นคนนี้ แต่เรานี่เขียนว่า ฉันชื่อนี้ รอคุณมารับอยู่นะ555555 สลับกันเลยค้ะ (นึกแล้วก็ตลกดี) แล้วสักพักก็มีผู้ชายสองคนมารับเราค้ะ แต่พอเราเห็นหน้าเค้าเท่านั้นแหละค้ะ ถึงกับอยากจะร้องไห้และโทรหาอาในตอนนั้นเลยค้ะ เพราะว่าหน้าคนมารับนี่อย่างโจรมากค้ะTT คือหน้าดุๆ ผิวคล้ำๆ ไว้หนวดเครายาวๆ แถมเป็นผู้ชายอีก โอ้ยยยยย (แต่ในตอนนั้นเรายังไม่ได้เปิดซิมส์มือถือเพื่อใช้ในต่างประเทศ ส่วนsim internetที่ซื้อที่นี่ก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าเราไม่มีอุปกรณ์เปิดช่องใส่ซิมส์ของIpad บวกกับไม่รู้ว่าวิธีเปิดของมันง่ายมาก ก็เลยยืนงงอยู่อย่างงั้นค้ะ) ณ วินาทีนั้นคิดเลยค้ะว่า ถ้าเกิดเค้าหลอกเรา แล้วไม่ใช่คนที่อาบอกว่าจะมารับจะทำไง เพราะเห็นอาบอกว่าเป็นผู้หญิง แต่นี่เป็นผู้ชาย แถมผู้ชายสองคนนั้นยังบอกอีกว่า ผู้หญิงคนนั้นติดธุระมารับไม่ได้ วินาทีนั้นใจหายเลยจริงๆค้ะ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ถ้าหากว่าใช่นับว่าโชคดีไป แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ขึ้นมาจริงๆนี่โชคร้ายมากเลยนะค้ะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเค้าจะพาเราไปทำไม่ดีไม่ร้ายอะไรรึป่าว เราก็คิดว่าทำยังไงดีวะเนี่ยยย เราก็ขอเค้าดูหลักฐานทุกอย่างเลยค้ะ สิ่งเดียวที่เค้ามีคือชื่อเรากับกระดาษ มีแค่นั้นจริงๆ จากไหนอะไรยังไงก็ไม่บอก ส่วนที่เหลือก็คำพูดล้วนๆ ยิ่งบวกกับภาษาที่งูๆปลาๆของเราแล้ว เลยทำให้ไม่เข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดด้วย แล้วยิ่งอาบอกว่าคนที่รับเป็นผู้หญิง แต่คนที่มารับตอนนี้เป็นผู้ชาย(หน้าดุๆโจรๆTT) ใครจะไม่คิดมากหละค้ะ เพราะว่าถึงจะมีแค่ชื่อแต่ก็ต้องมีเขียนสังกัดหรือองค์กรอะไรบ้างสิ แบบนี้เป็นใครก็ปลอมได้ป่าววะ ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ(คิดมากไปป่าวเรา - 3-") แล้วอีกอย่างเราก็อยู่ต่างประเทศตัวคนเดียวด้วย ยังไงก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน เราเชื่อว่าถ้าใครสักคนอยู่ในสถานการณ์แบบเราก็ต้องมีคิดบ้าง ติดต่อใครก็ไม่ได้ ทำไงดีวะๆๆๆ(เริ่มใจไม่ดี) คนมารับอะไรไม่เตรียมข้อมูลมา นี่ชีวิตจริงนะไม่ใช่หนัง ทำงานไม่รอบคอบเกินไปรึป่าว เราก็ งั้นคุณติดต่ออาเราให้หน่อย ตอนนั้นคิดในใจเลยว่าถ้ามันขอเบอร์อาเราเพื่อติดต่อนี่อาจจะเริ่มไม่ใช่ละ เพราะเป็นไปไม่ได้ว่า คนที่มารับจะไม่มีเบอร์ของคนสั่ง หรือต่อให้จะเปลี่ยนคนรับก็ต้องมีเบอร์หน่า
แต่โชคดีไปค้ะที่เค้ามี แล้วก็คุยกับอาเราสักพักนึง แล้วเขาก็ให้เราคุยกับอา อาก็อธิบายให้เราฟังว่าเค้ามารับเราไม่ได้จริงๆเพราะว่าผู้หญิงคนนั้นติดงานอะไรสักอย่างกระทันหันนี่แหละค้ะ เลยฝากมารับแทน (ทำไมเราชอบเจออะไรกระทันหันแบบนี้ตลอด ใจหายนะ ฮู่วววววว) คอยยังชั่ว เรานี่โคตรของโคตรโล่งเลย
เพื่อนๆค้ะพรุ่งนี้เรามีเรียนตอนเช้า ขออนุญาตไปนอนก่อนน้าา เดียวพรุ่งนี้มาต่อค้ะ
ประสบการณ์ผู้หญิงเที่ยวอังกฤษครั้งแรก(ตัวคนเดียว)
เอาหละ! เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค้ะ ก่อนที่จะไปต่างประเทศ เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปหรอกนะค้ะ แต่มีอยู่วันนึงเรากับอาก็นัดเจอกันตามประสาอาๆหลานๆทั่วไป อยู่ๆอาก็บอกว่า อีก3วันอาต้องไปดูงานที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ2อาทิตย์ สนใจจะไปกับอาไหม ขอคำตอบภายในวันนี้ด้วยนะ อาต้องยื่นเรื่องวันนี้แล้ว บลาๆๆๆๆๆๆๆฯลฯ ตอนนั้นเราก็คิดในใจว่า โหยยยยอา ทำไมบอกปุ๊ปปั๊ปงี้หละ อาก็รู้หนูเป็นยังไง ทำร้ายกันชัดๆTT (เราค่อนข้างขี้กังวล และนิสัยเด็กค้ะ เลยคิดมากนิดหน่อย)จะไปดีไหมนะ เพราะว่าอีกไม่กี่วันก็เปิดเทอมแล้ว แล้วถ้าเราไปก็ต้องขาดเรียนที่มหาลัย2อาทิตย์แน่ๆ แถมโดนเช็คขาดอีก(เราเป็นคนที่ทำอะไรไม่ถนัดจริงๆ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง อย่างน้อยก็ขอให้มีการเรียนช่วยทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจหน่อยหละวะ เราก็เลยค่อนข้างพยายามเต็มที่กับเรื่องนี้หน่อยค้ะ) ส่วนอีกใจนึงก็คิดว่า คนอย่างเราที่ทำอะไรก็ไม่เป็น ไม่ได้เรื่องสักอย่าง เข้าใจอะไรก็ยาก บางทีถึงขั้นตามคนอื่นไม่ทันเลยก็มี แล้วก็อย่างที่บอกเพื่อนๆไปค้ะว่านิสัยก็เด็กอีก ภาษาก็ไม่ได้เรื่อง ถ้าวันไหนต้องแยกกับอาจะรอดไหมเนี่ยเรา (กังวลมากไปไหมเรา -3-") แต่เราก็คิดว่า ถ้าเราไม่ยอมก้าวเราก็จะไม่มีวันได้เห็น ถ้าไม่ยอมก้าวเราก็จะไม่มีวันได้รู้ และถ้าไม่ยอมก้าวเราจะทำอะไรเป็นหรอ เราก็เลยตัดสินไปค้ะ เอาวะ!! ไหนก็ไหนๆละ จะเจออะไรก็ต้องเจอ ยอมเสี่ยง ไปให้มันรู้แล้วรู้รอด ไม่งั้นเราก็ต้องนั่งวนอยู่ที่เดิม ส่วนเรื่องการเรียน เป็นสิ่งที่สำคัญก็จริง แต่ประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆสำหรับเรานะ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง (เพื่อนๆบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับเราแล้วมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆค้ะ) หลังจากนั้นก็รีบเตรียมของแทบจะไม่ทันเลย5555 การตัดสินใจครั้งนี้นับว่าเป็นก้าวแรกที่เรียกได้ว่าเปิดโลกใบเล็กๆของเราให้กว้างขึ้นจริงๆค้ะ
และแล้ววันนั้นก็มาถึง....วันที่เราไม่เคยคาดคิดว่าต้องเดินทางไปอักฤษคนเดียวครั้งแรกตลอดทริป!!! เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนเช็คอินที่สนามบินก็ปกติอยู่หรอกค้ะ ขึ้นเครื่องก็ปกติดี อาก็ขึ้นครื่องบินปกติพร้อมเรา แต่แค่นั่งคนละที่เท่านั้น เราก็คิดในใจว่า เอ....แปลกจัง เพราะทุกครั้งที่นั่งเครื่องบินถ้าเราจองเวลาเดียวกัน ที่นั่งปกติก็จะไม่ค่อยห่างกันเท่าไหร่นี่นา แต่นี่มันไกลมากนะ แล้วอย่างน้อยถ้าปุปปัปขนาดนี้ก็ต้องมีการจองล่วงหน้าแล้วนะ แต่ทำไมถึงนั่งคนละที่นะ เราก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะเค้าจองคนละเวลามั้ง คงไม่มีอะไรหรอก ก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะได้สัมผัสอะไรแปลกๆ คนที่นั่งข้างๆเราก็เป็นชาวอังกฤษทั้งสองคนเลยค้ะ ตอนแรกเราก็นั่งนิ่งๆไม่ค่อยได้คุยหรอกค้ะ แต่อาจเป็นเพราะว่าเค้าเข้าห้องน้ำบ่อย แล้วต้องผ่านที่นั่งเราตลอด ทุกครั้งที่เค้าขอผ่านที่นั่งเรา เราก็ชอบยิ้มให้เค้า เค้าเลยคุยกับเรามั้ง คุยไปคุยมาก็ได้รู้ว่าคนนึงมาจากLondon มีอาชีพเป็นdesingnerออกแบบเสื้อผ้า ส่วนอีกคนมาจากManchester(จำไม่ได้นะค้ะว่าทำอาชีพ) แล้วก็คุยกันตลอดทางเลยค้ะ แต่ที่เล่ามาการคุยนี่ไม่ได้ง่ายอย่างที่เพื่อนๆคิดหรอกนะค้ะ สำหรับคนที่งูๆปลาๆกับภาษาอังกฤษกับเราแล้ว(แต่ก็พอมีพื้นฐานมาบ้าง) งงหลายเรื่องเลยค้ะ ทั้งเปิดสมุดแปลคำศัพท์ ใช้ภาษากายใบ้ต่างๆนานา มีอะไรก็งัดมาใช้หมดค้ะงานนี้555555 แต่โชคดีของเราที่เจอชาวอังกฤษนิสัยดี เค้าไม่ว่าอะไรเราเลยค้ะ แถมยังช่วยกันแปลอีกด้วยซ้ำและที่สำคัญตอนจะลงจากเครื่องบิน เรายกกระเป๋าลงจากช่องใส่กระเป๋าไม่ได้ มันอยู่สูงจากตัวเรา ง่ายๆคือเราเตี้ยค้ะ55555 เค้าก็ช่วยเรายกกระเป๋าลงมาด้วย น่ารักมากๆ (เราไม่รู้ว่าช่องใส่กระเป๋าอันนั้นมันเรียกว่าอะไร เราขอเรียกว่าช่องใส่กระเป๋าที่อยู่สูงๆละกันนะค้ะ) และที่สำคัญกว่านั้นจากที่คิดว่าภาษาอังกฤษนั้นยากแสนยาก จริงๆแล้วก็ไม่ได้ยากอย่างที่เราคิดแฮะ
หลังจากนั้นเราก็ลงจากเครื่องบินลำนี้เพื่อไปต่อเครื่องบินอีกลำนึงเพื่อไปลงที่แมนเชสเตอร์ค้ะ ลืมบอกเพื่อนๆไปว่าสนามบินที่เราลงเพื่อไปต่อที่Manchester ชื่อว่า Dubai Internationalคร้าา(ถ้าจำไม่ผิด) เป็นสนามบินของดูไบนั่นเอง และสายการบินที่เรานั่งก็ชื่อว่าEmirateจ้า ก้าวแรกที่ก้าวสู่ที่สนามบินดูไบ คืออยากบอกว่า โคตรใหญ่มากกกกกกค้ะ เชื่อไหมค้ะว่าตั้งแต่ลงจากเครื่องบินนั้น ต้องผ่านการขึ้นลงลิฟท์ถึง3ครั้ง แถมยังต้องนั่งรถไฟ ในสนามบินเพื่อต่อไปอีกTerminalถึง2รอบ และขึ้นลิฟท์รวมกับลงบันไดเลื่อนอีก 3 ครั้ง เพื่อต่อไปยังอีกTerminalเพื่อไปต่ออีกลำนึงเลยค้ะ จากที่นั่งหนาวๆบนเครื่องบิน เรานี้ร้อนเลย แล้วก็เกือบขึ้นเครื่องอีกลำไปไม่ทันจริงๆค้ะ เพราะว่าเครื่องที่มาดีเลย์ครึ่งชั่วโมง อีกทั้งอาเป็นคนบอกให้เราเป็นคนหาทางเองด้วย ผิดบ้างถูกบ้าง เลยเกือบตกเครื่องจริงๆค้ะงานนี้ (เล่นอะไรไม่รู้นะค้ะอาขาาาาาา! ถ้าตกเครื่องจริงๆทำไงค้ะเนี่ยTT) หลังจากนั้นก็ขึ้นเครื่องบินอีกลำ ยังคงเป็นของสายการบินEmiratesเหมือนเดิม แล้วเราก็นั่งคนเดียวอีกแล้วเหมือนเดิม แต่ไม่เปนไรค้ะ หลังจากที่นั่งมารอบแรกก็เริ่มชิวแล้ว ครั้งนี้คนนั่งข้างๆเราเป็นครอบครัวชาวอินเดียค้ะ มาเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกเลย เค้าก็บอกว่าเค้ามาทำงานที่Manchester ส่วนลูกเค้าก็น่าจะ อายุน่าจะประมาณ1ขวบได้ค้ะ จ่ำหม้ำน่ารักน่าหยิกมากก เล่นกับเราตลอดเลย ส่วนเวลาที่เราไม่เข้าใจอะไร พ่อแม่ของเค้าก็ช่วยเราเสมอ เหมือนมีเพื่อนอีกคนเลย โชคดีอีกแล้วเรา
ในที่สุดก็ถึงที่หมาย Manchesterที่อาบอกเราว่า เพื่อมาดูงานอะไรก็ไม่รู้ของเค้านั่นเอง ฮึ่มมมมมมมมมมมมม (เหรอคร้าาาาา) นั่งเครื่องมาตั้ง13ชั่วโมง ถึงสักทีนะเรา! ตอนแรกก็ดีใจอยู่หรอกค้ะ แต่สักพักอาบอกว่า ที่พักของเราคนละที่ เราก็อ้าววววว ตอนขึ้นเครื่องก็คนเดียว ตอนนี้ก็คนเดียวอีกแล้วนะ มันเริ่มแปลกๆป่าววะเนี่ย แต่เราก็เออ ช่างมันเหอะ ที่พักเค้าคงเต็มมั้ง แล้วก็อาก็บอกว่า เดียวมีคนมารับเราไปที่พัก และเดียวพรุ่งนี้ก็ติดต่อมาอยู่แล้ว เดียวก็คงเจอกัน(คงเจอกัน?) เราก็คิดว่าคงไม่มีไรหรอกมั้ง หลังจากนั้นอาก็ไม่พูดอะไรมากเพราะเห็นบอกว่าต้องไปทำงานต่อค้ะ เดียวพรุ่งนี้ติดต่อมาอีกที ก็แยกกันค้ะ สักพักก็มีคนมารับเราค้ะ เราก็รอได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็เอ....ทำไมไม่เห็นมีใคร หรือว่าเค้ายังไม่มา เราก็ไม่รู้ทำไง ก็เลยเขียนชื่อเราใส่Ipadใช้ตัวอักษรใหญ่ๆสีแดงเลยว่า " I'm...." ฉันชื่อ.... รอคุณอยู่นะ ณวินาทีนั้นก็มีแต่คนมองเราไปมาตลอดเลย เพราะส่วนใหญ่มีแต่คนบอกเขียนว่า มารับคนนั้นคนนี้ แต่เรานี่เขียนว่า ฉันชื่อนี้ รอคุณมารับอยู่นะ555555 สลับกันเลยค้ะ (นึกแล้วก็ตลกดี) แล้วสักพักก็มีผู้ชายสองคนมารับเราค้ะ แต่พอเราเห็นหน้าเค้าเท่านั้นแหละค้ะ ถึงกับอยากจะร้องไห้และโทรหาอาในตอนนั้นเลยค้ะ เพราะว่าหน้าคนมารับนี่อย่างโจรมากค้ะTT คือหน้าดุๆ ผิวคล้ำๆ ไว้หนวดเครายาวๆ แถมเป็นผู้ชายอีก โอ้ยยยยย (แต่ในตอนนั้นเรายังไม่ได้เปิดซิมส์มือถือเพื่อใช้ในต่างประเทศ ส่วนsim internetที่ซื้อที่นี่ก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าเราไม่มีอุปกรณ์เปิดช่องใส่ซิมส์ของIpad บวกกับไม่รู้ว่าวิธีเปิดของมันง่ายมาก ก็เลยยืนงงอยู่อย่างงั้นค้ะ) ณ วินาทีนั้นคิดเลยค้ะว่า ถ้าเกิดเค้าหลอกเรา แล้วไม่ใช่คนที่อาบอกว่าจะมารับจะทำไง เพราะเห็นอาบอกว่าเป็นผู้หญิง แต่นี่เป็นผู้ชาย แถมผู้ชายสองคนนั้นยังบอกอีกว่า ผู้หญิงคนนั้นติดธุระมารับไม่ได้ วินาทีนั้นใจหายเลยจริงๆค้ะ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ถ้าหากว่าใช่นับว่าโชคดีไป แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ขึ้นมาจริงๆนี่โชคร้ายมากเลยนะค้ะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเค้าจะพาเราไปทำไม่ดีไม่ร้ายอะไรรึป่าว เราก็คิดว่าทำยังไงดีวะเนี่ยยย เราก็ขอเค้าดูหลักฐานทุกอย่างเลยค้ะ สิ่งเดียวที่เค้ามีคือชื่อเรากับกระดาษ มีแค่นั้นจริงๆ จากไหนอะไรยังไงก็ไม่บอก ส่วนที่เหลือก็คำพูดล้วนๆ ยิ่งบวกกับภาษาที่งูๆปลาๆของเราแล้ว เลยทำให้ไม่เข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดด้วย แล้วยิ่งอาบอกว่าคนที่รับเป็นผู้หญิง แต่คนที่มารับตอนนี้เป็นผู้ชาย(หน้าดุๆโจรๆTT) ใครจะไม่คิดมากหละค้ะ เพราะว่าถึงจะมีแค่ชื่อแต่ก็ต้องมีเขียนสังกัดหรือองค์กรอะไรบ้างสิ แบบนี้เป็นใครก็ปลอมได้ป่าววะ ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ(คิดมากไปป่าวเรา - 3-") แล้วอีกอย่างเราก็อยู่ต่างประเทศตัวคนเดียวด้วย ยังไงก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน เราเชื่อว่าถ้าใครสักคนอยู่ในสถานการณ์แบบเราก็ต้องมีคิดบ้าง ติดต่อใครก็ไม่ได้ ทำไงดีวะๆๆๆ(เริ่มใจไม่ดี) คนมารับอะไรไม่เตรียมข้อมูลมา นี่ชีวิตจริงนะไม่ใช่หนัง ทำงานไม่รอบคอบเกินไปรึป่าว เราก็ งั้นคุณติดต่ออาเราให้หน่อย ตอนนั้นคิดในใจเลยว่าถ้ามันขอเบอร์อาเราเพื่อติดต่อนี่อาจจะเริ่มไม่ใช่ละ เพราะเป็นไปไม่ได้ว่า คนที่มารับจะไม่มีเบอร์ของคนสั่ง หรือต่อให้จะเปลี่ยนคนรับก็ต้องมีเบอร์หน่า
แต่โชคดีไปค้ะที่เค้ามี แล้วก็คุยกับอาเราสักพักนึง แล้วเขาก็ให้เราคุยกับอา อาก็อธิบายให้เราฟังว่าเค้ามารับเราไม่ได้จริงๆเพราะว่าผู้หญิงคนนั้นติดงานอะไรสักอย่างกระทันหันนี่แหละค้ะ เลยฝากมารับแทน (ทำไมเราชอบเจออะไรกระทันหันแบบนี้ตลอด ใจหายนะ ฮู่วววววว) คอยยังชั่ว เรานี่โคตรของโคตรโล่งเลย
เพื่อนๆค้ะพรุ่งนี้เรามีเรียนตอนเช้า ขออนุญาตไปนอนก่อนน้าา เดียวพรุ่งนี้มาต่อค้ะ