คุยไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกเสียจากจะมีขบวนการเต้าข่าวหน้าเดิมๆและอาจเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดความชอบธรรมทางการเมืองฝั่งทักษิณเท่านั้น
ชนชั้นปกครองไม่เข้าใจและคิดอะไรตื้นๆ ตั้งแต่ 80 ปีที่แล้วจนมาถึงวันนี้ยังคิดเหมือนเดิม
การเดินเกมยุทธศาสตร์เดิมที่เคยได้รับชัยชนะในทางการเมืองไม่สามารถเห็นผลได้อีกแล้วในระยะ 10 กว่าปีมานี้เพราะอะไร เพราะชนชั้นปกครองคิดไม่ถึงว่าประชาชนมีวิวัฒนาการและแสวงหาความรู้ทางการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนมากได้ขึ้นนั่นเอง
สมัยก่อนมีใครเคยรู้บ้างว่า ภาษีเราคนส่วนใหญ่ คนไทยทุกคนนั้นที่รัฐนำมาบริหาร หล่อเลี้ยงข้าราชการจัดสรรแบ่งปันส่วนในรูปแบบสวัสดิการต่างๆ มีสัดส่วนเท่าไหร่หรือคนกลุ่มใดที่ได้รับมากกว่าปกติ กลุ่มใดพิเศษบ้าง เรียกว่าแทบไม่มีหรือคนไม่ค่อยสนใจนัก มีหน้าที่ทำมาหากินก็ทำๆ ไป อาศัยฟ้าฝนในการเพาะปลูก ฝนดีก็มีรายได้เพิ่มจากแรงกายตน ฝนแล้ง น้ำท่วมก็ถือว่าซวยไป รัฐบาลชุดไหนๆ ส่วนใหญ่ก็จะบรรเทาความเดือดร้อนเป็นคราวๆ ไป คือแจกของอุปโภค บริโภค ถึงหน้าหนาวก็แจกผ้าห่ม (สมัยนายกเขายายเที่ยงมีแนวคิดแจกเทอร์โมมิเตอร์ ฮา) ไม่มีใครมีความจริงใจหรือมีความสามารถการแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน
หรืออีกอย่างคือ ชนชั้นปกครองต่างมีความเชื่อว่า ชาวบ้านควรสำนึกในบุญคุณของตน ที่ได้เห็นคนชินตา เมื่อถึงเวลาที่จะได้รับแจกของ ชาวบ้านควรมาถึงก่อนท่านประธานแจกของสัก 2 ชั่วโมง ไปลงชื่อก่อน (หน่วยงานราชการนำรายชื่อไปเบิกงบประมาณตามรายหัวประชากร เบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ ค่าจัดสถานที่ เครื่องเสียง น้ำดื่ม ฯลฯ) แล้ว มาๆ เข้าแถวนั่งรอ ดีหน่อยจะมีเก้าอี้นั่ง แย่หน่อยก็นั่งพับเพียบรอของแจกก็แล้วกัน ตามมีตามเกิด (สมัยนี้ยังมี แต่ชาวบ้านไม่คิดว่าเป็นหนี้บุญคุณ แต่เป็นสิทธิ์ที่เขาต้องได้รับ มีใครกล้ายกเลิกเบี้ยยังชีพผู้พิการและผู้สูงอายุไหม??? )
และสมัยนี้ หลายคนได้รับรู้ถึงสิทธิ์ถึงอำนาจของตนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เช่น การเข้าถึงแหล่งงบประมาณจากภาครัฐ การร้องทุกข์ ร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ การเข้าถึงสวัสดิการ บริการสาธารณสุขมูลฐาน ฯลฯ
ทั้งนี้จากวิวัฒนาการ การเรียนรู้ต่างๆ ที่ผ่านมา รวมถึงความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการเข้าถึงข่าวสารได้หลากหลายช่องทางมากขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่า ปัจจุบันมีความเหลื่อมล้ำเพียงน้อยนิดระหว่างเมืองกับชนบท รวมถึงการกระจายความเจริญของชุมชนเมืองสู่ต่างจังหวัดทั่วถึงทุกภูมิภาคมากขึ้นนั้น เป็นสาเหตุหลักที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเชื่อในข้อมูลของตนเป็นปัจเจกมากขึ้นเรื่อยๆ จากสมัยก่อนมีสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐบาลนำเสนอข่าว รัฐยัดเยียดให้รู้ ให้เชื่อแค่ไหนก็แค่นั้น ชาวบ้านไม่มีคำถามอะไรต่อได้ ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่สามารถบริโภคข่าวสารได้จากหลากหลายช่องทาง นำมาคิดวิเคราะห์ สืบค้นได้ด้วยตนเองได้มากขึ้น กอปรกับการศึกษาที่สูงขึ้น ทำให้การบิดเบือนข่าวสารต่างๆ ทำได้ยากขึ้น หรือทำได้แต่คนเชื่อถือข่าวสารนั้นๆ มีน้อยลง
มาถึงวันนี้ เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ชนชั้นปกครองต้องการปฏิรูปเพื่อให้ประเทศไปได้โดยการอาศัยกฎหมายจากคณะปกครองชั่วคราวแต่งตั้งพวกของตนเข้าไปทำหน้าที่ เข้าข้างคู่ขัดแย้งฝ่ายหนึ่ง และไล่ล่าทำลายอีกฝ่ายหนึ่งอย่างที่เห็นได้ชัดเจนยิ่ง โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจ อาวุธและกำลัง ทำได้แต่เพียงรอ รอให้ถึงวันที่พวกเขาจะออกไปใช้สิทธิ์เลือกผู้ที่เขาต้องการมาทำหน้าที่บริหารประเทศให้เขาอยู่ดีมีสุข
ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาหลายๆ ครั้ง ยังไม่สามารถบอกกับชนชั้นปกครองได้ว่าประชาชนต้องการอะไรได้เลยหรือ??? ทำไมต้องบังคับ ต้องดูถูก ต้องทำลายเสียงอันชอบธรรมของประชาชนคนที่เสียภาษีให้พวกชนชั้นปกครองได้เสพ ได้บริโภคจากสิทธิ์พิเศษที่มากมายกว่าประชาชนทั่วไปนัก
วันนี้แค่จะบอกกับพวกชนชั้นปกครองทั้งหลายว่า คนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองของไทยมาหลายสิบปีนั้น ไม่ใช่ทักษิณ ไม่ใช่พรรคพวกของทักษิณ ไม่ใช่ประชาชนคนไทย แต่เป็นเพราะ สนิมที่เกิดแต่เนื้อในตนของพวกท่านชนชั้นปกครองนั่นเอง เหตุเพราะความริษยา กลัวสูญเสียอำนาจ สูญเสียบารมี ผลประโยชน์และเอกสิทธิ์พิเศษต่างๆ ที่เคยมีเคยได้ ทำให้เกิดความเกลียด เคียดแค้น กลัวผีทักษิณ มาหลอกหลอน กลัวคนรักทักษิณ กลัวว่าสถานภาพของตนอาจเปลี่ยนไปหากทักษิณมีอำนาจมากเกิน ชนชั้นปกครองเชื่อว่า หากทำลายทักษิณและพรรคพวกได้แล้ว คนจะลืมทักษิณ แล้วหันมาเชื่อพวกตนและจะทำให้ตนสามารถอยู่ในอำนาจได้ดังเดิม แต่ที่ตามข่าวมาหลายปีนี้ ก็เห็นมีแต่พวกท่านชนชั้นปกครองเองนั่นแหละ ที่เพรียกหาแต่ทักษิณ เช้ากลางวันเย็นก่อนและหลังอาหาร และผลการเลือกตั้งก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ถึงไม่มีทักษิณ คนก็ไม่เลือกให้อีกฝั่งขึ้นมาบริหารประเทศอยู่ดี ถึงจะแก้กฎ แก้เกณฑ์ ระเบียบต่างๆ มากมาย ก็เอาชนะพลังเสียงของประชาชนไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้ท่านดันทุรังทำตามความคิดของท่านไปเรื่อยๆ แล้วหากบ้านเมืองไปไม่รอด ท่านจะรับผิดชอบได้หรือไม่ รัฐบาลปัจจุบันไม่มีความสามารถมารายได้เข้าประเทศ ต้องอาศัยเอกชน ซึ่งก็กำลังย่ำแย่เช่นกันเพราะผลจากการที่ต่างชาติลดระดับความสัมพันธ์ต่างๆ การค้าขาย การท่องเที่ยว การลงทุน อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำเตี้ยติดดิน คิดไม่ออกว่าถ้าถึงวันที่ไม่มีเงินใช้จ่ายบริหารประเทศแล้ว เราจะอยู่กันอย่างไร คงต้องเรียกว่า “กลียุค” แล้วสินะ
อย่าสร้างวีรกรรม วาทกรรมต่างๆ ต่อไปอีกเลย เพราะประชาชนเขาอ่านท่านชนชั้นปกครองออกจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ปัญหาคดีความต่างๆ การลงทุนเมกะโปรเจคท์ ให้รอรัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่เลือกมาจัดการต่อ
เลิกเรียกหาทักษิณ เลิกตามไล่ล่าเอาผิดคู่ขัดแย้งทางการเมืองเถิด รีบหยิบรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 ขึ้นมาแล้วจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด การรับฟังเสียงความต้องการของคนส่วนใหญ่ในชาติเท่านั้นถึงจะแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศได้อย่างแท้จริง
อย่าลืมว่า “ชาติ” ต้องประกอบด้วยประชาชนเป็นหลักใหญ่เสมอ
คู่ขัดแย้งทางการเมืองของไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่ทักษิณ ไม่ต้องคุยกับทักษิณหรอก
ชนชั้นปกครองไม่เข้าใจและคิดอะไรตื้นๆ ตั้งแต่ 80 ปีที่แล้วจนมาถึงวันนี้ยังคิดเหมือนเดิม
การเดินเกมยุทธศาสตร์เดิมที่เคยได้รับชัยชนะในทางการเมืองไม่สามารถเห็นผลได้อีกแล้วในระยะ 10 กว่าปีมานี้เพราะอะไร เพราะชนชั้นปกครองคิดไม่ถึงว่าประชาชนมีวิวัฒนาการและแสวงหาความรู้ทางการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนมากได้ขึ้นนั่นเอง
สมัยก่อนมีใครเคยรู้บ้างว่า ภาษีเราคนส่วนใหญ่ คนไทยทุกคนนั้นที่รัฐนำมาบริหาร หล่อเลี้ยงข้าราชการจัดสรรแบ่งปันส่วนในรูปแบบสวัสดิการต่างๆ มีสัดส่วนเท่าไหร่หรือคนกลุ่มใดที่ได้รับมากกว่าปกติ กลุ่มใดพิเศษบ้าง เรียกว่าแทบไม่มีหรือคนไม่ค่อยสนใจนัก มีหน้าที่ทำมาหากินก็ทำๆ ไป อาศัยฟ้าฝนในการเพาะปลูก ฝนดีก็มีรายได้เพิ่มจากแรงกายตน ฝนแล้ง น้ำท่วมก็ถือว่าซวยไป รัฐบาลชุดไหนๆ ส่วนใหญ่ก็จะบรรเทาความเดือดร้อนเป็นคราวๆ ไป คือแจกของอุปโภค บริโภค ถึงหน้าหนาวก็แจกผ้าห่ม (สมัยนายกเขายายเที่ยงมีแนวคิดแจกเทอร์โมมิเตอร์ ฮา) ไม่มีใครมีความจริงใจหรือมีความสามารถการแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน
หรืออีกอย่างคือ ชนชั้นปกครองต่างมีความเชื่อว่า ชาวบ้านควรสำนึกในบุญคุณของตน ที่ได้เห็นคนชินตา เมื่อถึงเวลาที่จะได้รับแจกของ ชาวบ้านควรมาถึงก่อนท่านประธานแจกของสัก 2 ชั่วโมง ไปลงชื่อก่อน (หน่วยงานราชการนำรายชื่อไปเบิกงบประมาณตามรายหัวประชากร เบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ ค่าจัดสถานที่ เครื่องเสียง น้ำดื่ม ฯลฯ) แล้ว มาๆ เข้าแถวนั่งรอ ดีหน่อยจะมีเก้าอี้นั่ง แย่หน่อยก็นั่งพับเพียบรอของแจกก็แล้วกัน ตามมีตามเกิด (สมัยนี้ยังมี แต่ชาวบ้านไม่คิดว่าเป็นหนี้บุญคุณ แต่เป็นสิทธิ์ที่เขาต้องได้รับ มีใครกล้ายกเลิกเบี้ยยังชีพผู้พิการและผู้สูงอายุไหม??? )
และสมัยนี้ หลายคนได้รับรู้ถึงสิทธิ์ถึงอำนาจของตนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เช่น การเข้าถึงแหล่งงบประมาณจากภาครัฐ การร้องทุกข์ ร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ การเข้าถึงสวัสดิการ บริการสาธารณสุขมูลฐาน ฯลฯ
ทั้งนี้จากวิวัฒนาการ การเรียนรู้ต่างๆ ที่ผ่านมา รวมถึงความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการเข้าถึงข่าวสารได้หลากหลายช่องทางมากขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่า ปัจจุบันมีความเหลื่อมล้ำเพียงน้อยนิดระหว่างเมืองกับชนบท รวมถึงการกระจายความเจริญของชุมชนเมืองสู่ต่างจังหวัดทั่วถึงทุกภูมิภาคมากขึ้นนั้น เป็นสาเหตุหลักที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเชื่อในข้อมูลของตนเป็นปัจเจกมากขึ้นเรื่อยๆ จากสมัยก่อนมีสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐบาลนำเสนอข่าว รัฐยัดเยียดให้รู้ ให้เชื่อแค่ไหนก็แค่นั้น ชาวบ้านไม่มีคำถามอะไรต่อได้ ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่สามารถบริโภคข่าวสารได้จากหลากหลายช่องทาง นำมาคิดวิเคราะห์ สืบค้นได้ด้วยตนเองได้มากขึ้น กอปรกับการศึกษาที่สูงขึ้น ทำให้การบิดเบือนข่าวสารต่างๆ ทำได้ยากขึ้น หรือทำได้แต่คนเชื่อถือข่าวสารนั้นๆ มีน้อยลง
มาถึงวันนี้ เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ชนชั้นปกครองต้องการปฏิรูปเพื่อให้ประเทศไปได้โดยการอาศัยกฎหมายจากคณะปกครองชั่วคราวแต่งตั้งพวกของตนเข้าไปทำหน้าที่ เข้าข้างคู่ขัดแย้งฝ่ายหนึ่ง และไล่ล่าทำลายอีกฝ่ายหนึ่งอย่างที่เห็นได้ชัดเจนยิ่ง โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจ อาวุธและกำลัง ทำได้แต่เพียงรอ รอให้ถึงวันที่พวกเขาจะออกไปใช้สิทธิ์เลือกผู้ที่เขาต้องการมาทำหน้าที่บริหารประเทศให้เขาอยู่ดีมีสุข
ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาหลายๆ ครั้ง ยังไม่สามารถบอกกับชนชั้นปกครองได้ว่าประชาชนต้องการอะไรได้เลยหรือ??? ทำไมต้องบังคับ ต้องดูถูก ต้องทำลายเสียงอันชอบธรรมของประชาชนคนที่เสียภาษีให้พวกชนชั้นปกครองได้เสพ ได้บริโภคจากสิทธิ์พิเศษที่มากมายกว่าประชาชนทั่วไปนัก
วันนี้แค่จะบอกกับพวกชนชั้นปกครองทั้งหลายว่า คนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองของไทยมาหลายสิบปีนั้น ไม่ใช่ทักษิณ ไม่ใช่พรรคพวกของทักษิณ ไม่ใช่ประชาชนคนไทย แต่เป็นเพราะ สนิมที่เกิดแต่เนื้อในตนของพวกท่านชนชั้นปกครองนั่นเอง เหตุเพราะความริษยา กลัวสูญเสียอำนาจ สูญเสียบารมี ผลประโยชน์และเอกสิทธิ์พิเศษต่างๆ ที่เคยมีเคยได้ ทำให้เกิดความเกลียด เคียดแค้น กลัวผีทักษิณ มาหลอกหลอน กลัวคนรักทักษิณ กลัวว่าสถานภาพของตนอาจเปลี่ยนไปหากทักษิณมีอำนาจมากเกิน ชนชั้นปกครองเชื่อว่า หากทำลายทักษิณและพรรคพวกได้แล้ว คนจะลืมทักษิณ แล้วหันมาเชื่อพวกตนและจะทำให้ตนสามารถอยู่ในอำนาจได้ดังเดิม แต่ที่ตามข่าวมาหลายปีนี้ ก็เห็นมีแต่พวกท่านชนชั้นปกครองเองนั่นแหละ ที่เพรียกหาแต่ทักษิณ เช้ากลางวันเย็นก่อนและหลังอาหาร และผลการเลือกตั้งก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ถึงไม่มีทักษิณ คนก็ไม่เลือกให้อีกฝั่งขึ้นมาบริหารประเทศอยู่ดี ถึงจะแก้กฎ แก้เกณฑ์ ระเบียบต่างๆ มากมาย ก็เอาชนะพลังเสียงของประชาชนไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้ท่านดันทุรังทำตามความคิดของท่านไปเรื่อยๆ แล้วหากบ้านเมืองไปไม่รอด ท่านจะรับผิดชอบได้หรือไม่ รัฐบาลปัจจุบันไม่มีความสามารถมารายได้เข้าประเทศ ต้องอาศัยเอกชน ซึ่งก็กำลังย่ำแย่เช่นกันเพราะผลจากการที่ต่างชาติลดระดับความสัมพันธ์ต่างๆ การค้าขาย การท่องเที่ยว การลงทุน อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำเตี้ยติดดิน คิดไม่ออกว่าถ้าถึงวันที่ไม่มีเงินใช้จ่ายบริหารประเทศแล้ว เราจะอยู่กันอย่างไร คงต้องเรียกว่า “กลียุค” แล้วสินะ
อย่าสร้างวีรกรรม วาทกรรมต่างๆ ต่อไปอีกเลย เพราะประชาชนเขาอ่านท่านชนชั้นปกครองออกจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ปัญหาคดีความต่างๆ การลงทุนเมกะโปรเจคท์ ให้รอรัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่เลือกมาจัดการต่อ
เลิกเรียกหาทักษิณ เลิกตามไล่ล่าเอาผิดคู่ขัดแย้งทางการเมืองเถิด รีบหยิบรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 ขึ้นมาแล้วจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด การรับฟังเสียงความต้องการของคนส่วนใหญ่ในชาติเท่านั้นถึงจะแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศได้อย่างแท้จริง
อย่าลืมว่า “ชาติ” ต้องประกอบด้วยประชาชนเป็นหลักใหญ่เสมอ