หลังจากลาสิกขามานาน และมีโอกาสกลับไปวัดที่ตัวเองบวชคราวแรก เมื่อ 30 ปีก่อนหน้านั้น เราเคยบวชเป็นเณร บรรยากาศในวัดสงบ สะอาด ใต้ต้นไม้ ใต้ถุน ไม่มีเศบใบไม้ หรือแม้กระทั้งบนกุฏิ เวลาเดินจะหาเม็ดดินสักเม็ดให้เคืองฝ่าเท้าไม่มีเลย ด้วยว่า พวกเราโดนปลูกฝังเรื่องระเบียบ วินัยมาโดยตลอด ใครพลาด หรือออกนอกลู่นอกทาง เป็นต้องโดนไม้เรียวของหลวงพ่อ ไม่ตื่นทำวัตรเช้าตอนตี 4 ไม่ออกบิณฑบาต ไม่ลงฉันข้าวร่วมกัน ท้องหนังสือไม่ได้ ทุกอย่างเป็นต้องโดนไม้เรียว ผมเองในขณะที่พ่อมาไปฝาก พ่อบอกกับหลวงพ่อไว้เลยว่า "ยกให้เป็นลูกหลวงพ่อ หลวงพ่อทำได้ทุกอย่าง เว้นไว้แต่ แขนหักและตาบอด"
เมื่อวันเวลาผ่านไป ตามวัฏฏจักรของความเป็นอนิจจัง ผมได้กลับไปจุดเดิมอีกครั้ง จุดที่ทำให้ผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ สิ่งที่เหมือนเดิมคือสถานที่ จำนวนพระเณร ที่ไม่เคยลดน้อยลงไปเลย แม้แต่ญาติโยมที่ตามส่งข้าวส่งน้ำพระ พอแม่ตายไป ลูกหลานก็ยังสืบทอดเจตารมณ์เดิม ฉะนั้นภาพที่เห็นญาติโยมหิ้วปิ่นโต สะพานกระติ๊บข้าวเข้าวัดตอนเช้าและเพลก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเมื่อ 30 ปีก่อน เว้นแต่คนที่หัวทุกวันนี้คือลูก หลานของคนที่หิ้วเมื่อ 30 ปีก่อน
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปที่เห็นด้วยตาตัวเองเลยก็คือ
สภาพวัด ที่หญ้าขึ้นทุกที่เหมือนไม่มีคนสนใจที่จะถอนมันออกไปเลย หรือใบไม้ที่หล่นลงจากต้นอย่างไรก็อยู่อย่างนั้นเหมือนไม่เคยโดนไม้กวาดเลย ขยะ เศษเปลือกขนม เปลือกกล้วย อยู่ตามมุม ใต้ต้นไม้ ซอกตึกมีเยอะไปหมด แม้กระทั่งตรงลานซักล้างที่เก็บบาตรที่เมื่อก่อนสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่ทุกวันนี้ บาตรบางลูกเหมือนไม่ได้โดนจับมาเป็นเดือนซ้ำร้ายในบาตรยังมีข้าวเน่าอยู่เหมือนเจ้าของมันตายจากโลกนี้และทิ้งมันให้เดียวดาย ดูดีหน่อยก็ตรงที่บาตรแต่ละลูกเป็นแสตนเลส หรือไม่ก็บาตรดำที่ไม่มีรอยสนิมกินเลย ต่างจากสมัยนั้นที่มีแต่บาตรดำและรอยเทียนที่พวกเราช่วยกันอุดรอยรั่ว หรือกันสนิม
ถ้วยชามที่ล้างแล้วไม่ได้ถูกวางไว้เป็นเป็นระเบียบเหมือนเดิม แม้แต่ที่ฉัน รอยเท้าคนที่เปื้อนดิน หรือเม็ดทรายที่กระจายตามพื้นจนไม่คิดว่า นิคือที่นั่งสำหรับญาติโยมที่มาทำบุญ เวลาฉันข้าว ยังเห็นพระเณรบางรูปเดินอยู่ข้างนอกไม่เข้ามาร่วมกันฉันข้าวเลย เรียกได้ว่าความพร้อมเพียงกันของสงฆ์ไม่มีเลย
ทุกอย่าง ไม่เหมือนเดิมกลับกันเป็นหน้ามือและหลังมือเลยทีเดียว และพอได้สนทนากับหลวงพ่อเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ซึ่งเคยเรียนรุ่นเดียวกัน ท่านได้แต่ถอนหายใจและบอกว่า
อยากให้ทุกอย่างเหมือนเดิมแต่ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว เพราะพระเณรไม่เหมือนเดิมเลย ทุกอย่างเรื่องระเบียบวินัย ต่างแต่เดิมมาก พระเณรลงทำวัตร(เปลี่ยนจากตี 4 มาเป็นตี 5 ครึ่ง) ไม่ถึงครึ่ง เวรที่ตั้งไว้ปัดกวาดกุฏิไม่มีใครสนใจ เคยใช้ไม้เรียวด้วยคิดว่า จะให้เหมือนหลวงพ่อองค์เดิม ก็ทำไม่ได้ ชาวบ้านแห่กันมาครึ่งหมู่บ้าน ว่าตีลูกเขา สิ่งที่ยังพอประคับประครองได้คือระบบการศึกษา ที่เพิ่มทางเลือกขึ้นจากบาลีอย่างเดียวเป็นสามัญด้วย และ ญาติโยมที่มั่นคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือ พระไม่สามารถจัดการอะไรได้ด้วยตนเองเหมือนเดิม เพราะญาติโยมยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องตลอด เณรทำผิดร้ายแรง จะทำโทษก็ทำไม่ได้ หรือบางกรณีจะปกป้องพระเณรก็ทำไม่ได้เพราะโยมเข้ามาก้าวก่ายมากเกินไป สรุปคือใช้ได้แค่ อุเบกขา
เห็นแล้วหดหู่ใจจนบอกไม่ถูกแต่สรุปได้ใจความว่า ค่านิยมของคนเปลี่ยนไป ระบบเดิมที่งดงาม โดนกลบกลืนจากโลกาวิวัฒน์ เลยทำให้พระเณร ไม่กลัววินัย เด็กติดยา โดนไล่ออกจาก รร. พ่อแม่ทำอะไรไม่ได้ก็ส่งมาบวช เมื่อมาบวชแล้ว แทนที่พระจะได้ใช้ระบบของพระเพื่อจัดการปัญหาก็ทำไม่ได้ สรุปก็เลยกลายเป็น เณรขี้ยา พอเณรขี้ยา เอายาเข้ามาเณรคนอื่น ๆ ก็ลองด้วย ติดด้วย มันมีช่องทางที่โลกปัจจุบันเข้าไปสู่โลกของพระเณรมากขึ้นกว่าเดิม
บางที่ข่าวที่ออกมาทางโลกทุกวันนี้เรื่องความเสื่อมทางพระพุทธศาสนา อาจจะไม่ใช่เพราะพระศาสนาเสื่อมอย่างเดียว เพราะมาเน่ามาจากสังคมก่อนแล้ว ผลกระทบมันเลยตามเข้ามาสู่พระศาสนาด้วย
เมื่อระบบไม้เรียวหมดไป แม้แต่พระศาสนาก็ขลัดเกลาคนไม่ได้
เมื่อวันเวลาผ่านไป ตามวัฏฏจักรของความเป็นอนิจจัง ผมได้กลับไปจุดเดิมอีกครั้ง จุดที่ทำให้ผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ สิ่งที่เหมือนเดิมคือสถานที่ จำนวนพระเณร ที่ไม่เคยลดน้อยลงไปเลย แม้แต่ญาติโยมที่ตามส่งข้าวส่งน้ำพระ พอแม่ตายไป ลูกหลานก็ยังสืบทอดเจตารมณ์เดิม ฉะนั้นภาพที่เห็นญาติโยมหิ้วปิ่นโต สะพานกระติ๊บข้าวเข้าวัดตอนเช้าและเพลก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเมื่อ 30 ปีก่อน เว้นแต่คนที่หัวทุกวันนี้คือลูก หลานของคนที่หิ้วเมื่อ 30 ปีก่อน
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปที่เห็นด้วยตาตัวเองเลยก็คือ
สภาพวัด ที่หญ้าขึ้นทุกที่เหมือนไม่มีคนสนใจที่จะถอนมันออกไปเลย หรือใบไม้ที่หล่นลงจากต้นอย่างไรก็อยู่อย่างนั้นเหมือนไม่เคยโดนไม้กวาดเลย ขยะ เศษเปลือกขนม เปลือกกล้วย อยู่ตามมุม ใต้ต้นไม้ ซอกตึกมีเยอะไปหมด แม้กระทั่งตรงลานซักล้างที่เก็บบาตรที่เมื่อก่อนสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่ทุกวันนี้ บาตรบางลูกเหมือนไม่ได้โดนจับมาเป็นเดือนซ้ำร้ายในบาตรยังมีข้าวเน่าอยู่เหมือนเจ้าของมันตายจากโลกนี้และทิ้งมันให้เดียวดาย ดูดีหน่อยก็ตรงที่บาตรแต่ละลูกเป็นแสตนเลส หรือไม่ก็บาตรดำที่ไม่มีรอยสนิมกินเลย ต่างจากสมัยนั้นที่มีแต่บาตรดำและรอยเทียนที่พวกเราช่วยกันอุดรอยรั่ว หรือกันสนิม
ถ้วยชามที่ล้างแล้วไม่ได้ถูกวางไว้เป็นเป็นระเบียบเหมือนเดิม แม้แต่ที่ฉัน รอยเท้าคนที่เปื้อนดิน หรือเม็ดทรายที่กระจายตามพื้นจนไม่คิดว่า นิคือที่นั่งสำหรับญาติโยมที่มาทำบุญ เวลาฉันข้าว ยังเห็นพระเณรบางรูปเดินอยู่ข้างนอกไม่เข้ามาร่วมกันฉันข้าวเลย เรียกได้ว่าความพร้อมเพียงกันของสงฆ์ไม่มีเลย
ทุกอย่าง ไม่เหมือนเดิมกลับกันเป็นหน้ามือและหลังมือเลยทีเดียว และพอได้สนทนากับหลวงพ่อเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ซึ่งเคยเรียนรุ่นเดียวกัน ท่านได้แต่ถอนหายใจและบอกว่า
อยากให้ทุกอย่างเหมือนเดิมแต่ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว เพราะพระเณรไม่เหมือนเดิมเลย ทุกอย่างเรื่องระเบียบวินัย ต่างแต่เดิมมาก พระเณรลงทำวัตร(เปลี่ยนจากตี 4 มาเป็นตี 5 ครึ่ง) ไม่ถึงครึ่ง เวรที่ตั้งไว้ปัดกวาดกุฏิไม่มีใครสนใจ เคยใช้ไม้เรียวด้วยคิดว่า จะให้เหมือนหลวงพ่อองค์เดิม ก็ทำไม่ได้ ชาวบ้านแห่กันมาครึ่งหมู่บ้าน ว่าตีลูกเขา สิ่งที่ยังพอประคับประครองได้คือระบบการศึกษา ที่เพิ่มทางเลือกขึ้นจากบาลีอย่างเดียวเป็นสามัญด้วย และ ญาติโยมที่มั่นคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือ พระไม่สามารถจัดการอะไรได้ด้วยตนเองเหมือนเดิม เพราะญาติโยมยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องตลอด เณรทำผิดร้ายแรง จะทำโทษก็ทำไม่ได้ หรือบางกรณีจะปกป้องพระเณรก็ทำไม่ได้เพราะโยมเข้ามาก้าวก่ายมากเกินไป สรุปคือใช้ได้แค่ อุเบกขา
เห็นแล้วหดหู่ใจจนบอกไม่ถูกแต่สรุปได้ใจความว่า ค่านิยมของคนเปลี่ยนไป ระบบเดิมที่งดงาม โดนกลบกลืนจากโลกาวิวัฒน์ เลยทำให้พระเณร ไม่กลัววินัย เด็กติดยา โดนไล่ออกจาก รร. พ่อแม่ทำอะไรไม่ได้ก็ส่งมาบวช เมื่อมาบวชแล้ว แทนที่พระจะได้ใช้ระบบของพระเพื่อจัดการปัญหาก็ทำไม่ได้ สรุปก็เลยกลายเป็น เณรขี้ยา พอเณรขี้ยา เอายาเข้ามาเณรคนอื่น ๆ ก็ลองด้วย ติดด้วย มันมีช่องทางที่โลกปัจจุบันเข้าไปสู่โลกของพระเณรมากขึ้นกว่าเดิม
บางที่ข่าวที่ออกมาทางโลกทุกวันนี้เรื่องความเสื่อมทางพระพุทธศาสนา อาจจะไม่ใช่เพราะพระศาสนาเสื่อมอย่างเดียว เพราะมาเน่ามาจากสังคมก่อนแล้ว ผลกระทบมันเลยตามเข้ามาสู่พระศาสนาด้วย