คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ก่อนเป็นอิสระ ควรช่วยเหลือตัวเองให้ได้ก่อนน่ะค่ะ
อันนี้คือความจริงนะ แม้แต่คนทำงานจะไปตามล่าหาฝันอะไร
ก็ต้องมีความมั่นคงในชีวิตระดับหนึ่งก่อน แล้วถึงออกไปทำสิ่งที่ชอบที่ฝัน
เพราะชีวิตจริงมันไม่ง่ายเลย
คนที่ยังไม่เคยทำงาน กับ คนที่ทำงานมาแล้ว มันเห็นอนาคตในการทำงานต่างกัน
เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด คนที่ทำงานหลายคนก็ต้องทิ้งฝัน แล้วกลับมาสู่ความจริง
ตัวพ่อแม่เองก็มีฝันเหมือนกันล่ะ แต่ชีวิตการเป็นผู้ใหญ่บางทีมันก็บังคับให้ต้องทิ้งไปเพราะภาระมันมาแทน
มีไม่กี่คนนะที่จะโชคดี ได้ทำตามฝันแล้วจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
ทีนี้เมื่อลูกล้มเหลว กลับมาเป็นภาระใครล่ะคะ ก็หนีไม่พ้นพ่อแม่อีกล่ะ ถึงไม่อยากจะปล่อยให้ล้มเหลวน่ะ
เคยคิดแผน B เตรียมไว้ไหมคะว่า ถ้าได้ลองตามฝัน ได้ทำตามต้องการแล้ว หากล้มเหลวจะทำอะไรต่อไป
นักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ยกมา เขาก็ใช่ว่าเอาแต่มุ่งทำแต่สิ่งที่ชอบ ล้มเหลวแล้วก็ให้ครอบครัวดูแลนะคะ
เขาสู้ฝ่าฝันค่ะ หาทุนด้วยตัวเอง ส่งตัวเอง ทำงานเอง หลายคนนี่เป็นทั้งพี่เลี้ยงเด็ก เป็นครู ก่อนมาเป็นนักวิทยาศาสตร์โนเบลด้วยซ้ำ
หากพ่อแม่มีลูกที่มีศักยภาพล่ะ ก็คงอยากเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด ในความคิดพ่อแม่หลายคนเลยคือ
หมอ เกือบจะปิดประตูตายทางด้านความเสี่ยงอาชีพเลยล่ะ เพราะมีตำแหน่งรองรับ มีเงินเดือนดี
จบมานี่คือ พ่อแม่แทบจะปลดเปลื้องภาระ ที่เหลือก็ให้ลูกไปหาเลี้ยงดูตัวเองได้ล่ะ
แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วย หมอยังไม่ใช่คำตอบ คุณก็ต้องอธิบายความเป็นไปได้อาชีพอื่นให้เขาได้รู้จัก แต่ต้องอยู่บนหลักเหตุผล
ถ้าคุณจะให้เขายอมรับในความคิดของคุณ ก็ไม่ใช่ว่า ไม่มีทางนะคะ แต่อย่าพูดอะไรเหมือนวาดวิมานบนก้อนเมฆ
คุณต้องทำ life plan เลยค่ะ ระยะ 5 ปี , 10 ปี , 20 ปี ทำยังไงถึงจะไปถึง ถ้ากรณีผิดพลาดจะจัดการยังไง
ความเสี่ยงมีเท่าไหร่ ความคุ้มทุนเป็นยังไง อะไรบ้างคือ ปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จ แสดงศักยภาพของคุณที่จะจัดการชีวิตออกมาค่ะ
แล้วงบประมาณที่จะเสียไปเพื่อตามหาฝัน กับ ความเสี่ยง ความคุ้มที่จะได้รับ มันโอเคหรือไม่ ทุกอย่างมีต้นทุนนะคะ
อย่าทำเหมือนเด็กร้องไห้เหมือนไม่ได้ของเล่นชิ้นโปรด แต่คุยแบบเหตุผล ความชอบที่มีจะผลักดันให้สำเร็จคิดเป็นกี่ % ความสามารถที่มีล่ะ
ให้รู้ว่า คุณจริงจัง และคุณเห็นช่องทางที่จะเป็นจริง ไม่ใช่แค่ฝันลมๆแล้งๆ คิดจะไปถึงที่หมายโดยวาดฝันไว้แต่ว่าต้องสำเร็จ
ถ้าคุณล้มเหลว ตัวแปรด้านอายุคุณมากขึ้น แล้วค่าใช้จ่ายและเวลาที่เสียไป คุณจะจัดการกับมันยังไง คิดสำรองไว้ด้วยค่ะ
และถ้าพ่อแม่ไม่เห็นด้วย ให้เขาลองเสนอแนวทางแก้ไขร่วมกัน เพื่อให้มันเป็นไปได้ เพราะคุณเองถึงจะวางแผนแต่ก็ยังขาดประสบการณ์จริง
บางทีก็ต้องฟังคำชี้แนะจากผู้อื่นด้วยน่ะ อาจจะสอบถามจากแหล่งข้อมูลคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพในฝัน หรือ ข้อมูลอื่นๆมาประกอบด้วย
อันนี้คือความจริงนะ แม้แต่คนทำงานจะไปตามล่าหาฝันอะไร
ก็ต้องมีความมั่นคงในชีวิตระดับหนึ่งก่อน แล้วถึงออกไปทำสิ่งที่ชอบที่ฝัน
เพราะชีวิตจริงมันไม่ง่ายเลย
คนที่ยังไม่เคยทำงาน กับ คนที่ทำงานมาแล้ว มันเห็นอนาคตในการทำงานต่างกัน
เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด คนที่ทำงานหลายคนก็ต้องทิ้งฝัน แล้วกลับมาสู่ความจริง
ตัวพ่อแม่เองก็มีฝันเหมือนกันล่ะ แต่ชีวิตการเป็นผู้ใหญ่บางทีมันก็บังคับให้ต้องทิ้งไปเพราะภาระมันมาแทน
มีไม่กี่คนนะที่จะโชคดี ได้ทำตามฝันแล้วจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
ทีนี้เมื่อลูกล้มเหลว กลับมาเป็นภาระใครล่ะคะ ก็หนีไม่พ้นพ่อแม่อีกล่ะ ถึงไม่อยากจะปล่อยให้ล้มเหลวน่ะ
เคยคิดแผน B เตรียมไว้ไหมคะว่า ถ้าได้ลองตามฝัน ได้ทำตามต้องการแล้ว หากล้มเหลวจะทำอะไรต่อไป
นักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ยกมา เขาก็ใช่ว่าเอาแต่มุ่งทำแต่สิ่งที่ชอบ ล้มเหลวแล้วก็ให้ครอบครัวดูแลนะคะ
เขาสู้ฝ่าฝันค่ะ หาทุนด้วยตัวเอง ส่งตัวเอง ทำงานเอง หลายคนนี่เป็นทั้งพี่เลี้ยงเด็ก เป็นครู ก่อนมาเป็นนักวิทยาศาสตร์โนเบลด้วยซ้ำ
หากพ่อแม่มีลูกที่มีศักยภาพล่ะ ก็คงอยากเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด ในความคิดพ่อแม่หลายคนเลยคือ
หมอ เกือบจะปิดประตูตายทางด้านความเสี่ยงอาชีพเลยล่ะ เพราะมีตำแหน่งรองรับ มีเงินเดือนดี
จบมานี่คือ พ่อแม่แทบจะปลดเปลื้องภาระ ที่เหลือก็ให้ลูกไปหาเลี้ยงดูตัวเองได้ล่ะ
แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วย หมอยังไม่ใช่คำตอบ คุณก็ต้องอธิบายความเป็นไปได้อาชีพอื่นให้เขาได้รู้จัก แต่ต้องอยู่บนหลักเหตุผล
ถ้าคุณจะให้เขายอมรับในความคิดของคุณ ก็ไม่ใช่ว่า ไม่มีทางนะคะ แต่อย่าพูดอะไรเหมือนวาดวิมานบนก้อนเมฆ
คุณต้องทำ life plan เลยค่ะ ระยะ 5 ปี , 10 ปี , 20 ปี ทำยังไงถึงจะไปถึง ถ้ากรณีผิดพลาดจะจัดการยังไง
ความเสี่ยงมีเท่าไหร่ ความคุ้มทุนเป็นยังไง อะไรบ้างคือ ปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จ แสดงศักยภาพของคุณที่จะจัดการชีวิตออกมาค่ะ
แล้วงบประมาณที่จะเสียไปเพื่อตามหาฝัน กับ ความเสี่ยง ความคุ้มที่จะได้รับ มันโอเคหรือไม่ ทุกอย่างมีต้นทุนนะคะ
อย่าทำเหมือนเด็กร้องไห้เหมือนไม่ได้ของเล่นชิ้นโปรด แต่คุยแบบเหตุผล ความชอบที่มีจะผลักดันให้สำเร็จคิดเป็นกี่ % ความสามารถที่มีล่ะ
ให้รู้ว่า คุณจริงจัง และคุณเห็นช่องทางที่จะเป็นจริง ไม่ใช่แค่ฝันลมๆแล้งๆ คิดจะไปถึงที่หมายโดยวาดฝันไว้แต่ว่าต้องสำเร็จ
ถ้าคุณล้มเหลว ตัวแปรด้านอายุคุณมากขึ้น แล้วค่าใช้จ่ายและเวลาที่เสียไป คุณจะจัดการกับมันยังไง คิดสำรองไว้ด้วยค่ะ
และถ้าพ่อแม่ไม่เห็นด้วย ให้เขาลองเสนอแนวทางแก้ไขร่วมกัน เพื่อให้มันเป็นไปได้ เพราะคุณเองถึงจะวางแผนแต่ก็ยังขาดประสบการณ์จริง
บางทีก็ต้องฟังคำชี้แนะจากผู้อื่นด้วยน่ะ อาจจะสอบถามจากแหล่งข้อมูลคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพในฝัน หรือ ข้อมูลอื่นๆมาประกอบด้วย
แสดงความคิดเห็น
ทำไมพ่อแม่ถึงไม่ยอมปล่อยให้ลูกได้เลือกคะ
ขอร้องพ่อแม่หลายคนๆ อย่ายัดเยียดให้ลูกเดินอยู่ในกรอบที่พ่อแม่สร้างเลย ขอให้เค้าได้เดินทางที่แตกต่าง ทางที่เค้ารัก ให้เค้าได้ล้มเหลว ให้เค้าได้รู้ด้วยตัวของเค้าเอง นักวิทยาศาสตร์หลายๆคน ล้มเหลวเป็นพันครั้ง แต่เราเชื่อว่าที่เค้าไม่ท้อถอย เพราะเค้าเป็นตัวของเค้าเอง และเค้ากำลังทำสิ่งที่เค้ารักมาก
ป.ล.พ่อแม่ไม่พูดความจริง เข้าข่ายว่าการเท็จนะเอ้อ
ขอโทษที่ระบายออกมาแบบนี้นะคะ ตอนแรกไม่ได้จะเขียนแบบนี้ แต่เขียนไปเขียนมาน้ำตามันก็ไหล แล้วก็ออกมาเป็นแบบนี้อ่ะค่ะ แหะๆ
กระทู้นี้...เจ็บ กระทู้นี้ ไม่ได้ต้องการอะไร เราแค่เขียนสิ่งที่เรารู้สึกเท่านั้นเองจริงๆ