ขอไม่ให้เกรดนะ (คือให้ไม่ถูก 55) หรือเหตุผลที่อาจช่วยให้หนังดูดีขึ้นหน่อย ก็เขาไม่ต้องการให้เราพิพากษาอะไร ไม่ใช่แค่ขาวกับดำ ขนาดสีเทาเองก็ยังมีเฉดมากมายหลายระดับ
หนังสว่างมาก (ทั้งการจัดแสงและการนำเสนอ) แทนที่จะหม่นมืดอย่างที่ควรจะเป็นตามท้องเรื่อง แต่ในจุดที่มืดที่สุดของหนังก็ยังสว่างจ้ายิ่งกว่าการ์ตูนบางเรื่อง (จริงจังนะ ไม่ใช่อธิพจน์)
เหมือนเอาละครทีวีมาฉายจอใหญ่ ความเป็นภาพยนตร์ที่ต้องจริงจังกว่านี้ ลึกซึ้งกว่านี้ ไม่มีให้สัมผัส เหยาะแหยะหน่อมแน้ม แม้ว่าจะเอาไปเปรียบกับหนังฟีลกู๊ดใสๆ แล้วก็ตาม มิพักต้องพูดถึงมาตรฐานของหนังดาร์กทั่วไป (ใครอยากดูแนวนี้แบบถึงพริกถึงขิง แนะนำ nymphomaniac volume 1-2 ครับ)
fifty shades of grey เหมือนงานของคนที่กำลังทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเข้าใจ แต่จริงๆ คือไม่เข้าใจอะไรเลย เชื่อสนิทนะถ้าจะบอกว่าคนทำหนังว่าด้วยด้านมืดของเพศเรื่องนี้ไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศมาก่อน เหมือนอะไรๆ ก็ถูกมโนขึ้น ขาดจุดเชื่อมโยงกับความเป็นจริงหรือความเป็นไปได้
การแสดงตื้นเขิน กลวงเปล่า และหุ่นยนต์มาก เคลื่อนไหวร่างกายอย่างไร้จิตวิญญาณ (ดูภาพนิ่งที่สื่อดีๆ ยังก่ออารมณ์มากกว่าดูหนังทั้งเรื่อง) ทั้งที่มันควรจะต้องมีความเป็นมนุษย์มากๆ แต่นี่พระเอกกลับเล่นเป็นตุ๊กตายาง เก๊กหล่อและโชว์หุ่นปรนนิบัติสายตาผู้ชมกลุ่มเป้าหมายไปวันๆ ในขณะที่นางเอกก็เล่นเป็นร่างอวตาร ให้ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายได้สิงสู่ มโนตนว่ากำลังระเริงรักอยู่ในโลกแฟนตาซีนั้น
นี่คนทำเขาเคยดูหนังหว่องกาไวกันบ้างมั๊ย ถึงบอดสนิทกับการจับอารมณ์อันยั่วยวน อ้อยอิ่งและหวามไหวของมนุษย์
ชื่อเรื่องมันใหญ่โตนะ the fifty shades of grey แต่มิสเตอร์เกรย์กลับถ่ายทอดได้แค่เฉดขาวกับดำ คุ้มดีคุ้มร้ายสลับกันไปมาอย่างแบนราบไร้มิติ ช่างย้อนแย้งชะมัด
ห่างไกลจากคำว่าซับซ้อน แต่มันคือความสับสนของตรรกะ บทพูดวนไปวนมาอย่างไร้ทิศทางและเป้าหมาย ถ้าสติปัญญาของพระเอกมีเท่าที่เห็น สงสัยจริงๆ ว่าจะบริหารบริษัทให้รอดได้ยังไงแม้ใน 1 วัน
ฉากอีโรติกอ่อนมากๆ (เขาเซ็กส์กันธรรมดายังรุนแรงได้กว่านี้มหาศาล) ในห้องลับมีโชว์อุปกรณ์ให้เล่นได้ถึง 100 แต่หนังนำเสนอในระดับ 0.01 (หรือน้อยกว่านี้วะ) โคตรจะขี่ช้างจับตั๊กแตน ซึ่งจริงๆ ก็จับไม่ได้ซักตัว
จริงๆ ถ้าจะมองแบบช่วยหนังในส่วนของเนื้อหา fifty shades of grey ก็มีไรน่าสนใจอยู่บ้างเหมือนกันนะ
ตัวละครของนางเอกเริ่มต้นจากการพิพากษาหรือ judge เสรีภาพทางเพศของคนอื่นในแง่ลบ โดยเฉพาะมุมมองที่มีต่อแม่ (ซึ่งเคยมีสามี 4 คน) ก่อนจะเจอจุดเปลี่ยน เมื่อเธอพบผู้ชายที่เพียบพร้อมไปซะทุกอย่างราวเทพบุตรในนวนิยาย (และทำให้ผู้ชายธรรมดาในโลกต้องกลายร่างเป็นวรนุชในบัดดล)
มีการเปรียบความต้องการทางเพศกับภาวะอดอยากอาหาร (ซึ่งหนังก็กล่าวถึงอย่างบางเบา) ซึ่งไอเดียนี้หนังเรื่อง blue is the warmest color นำเสนอได้ดีมากๆ มันดูหิวดูหื่นจริงจัง (คือคนดูก็ท้องร้องไปด้วย) แต่กับเรื่องนี้ นางเอกเราทำได้แค่กัดริมฝีปาก WTF!
พระเอกคือ lab ให้นางเอกได้ทดลองวิชาเพศศึกษา ได้สัมผัสกับประสบการณ์พิเศษและแปลกใหม่ จากเฉดที่ขาวสว่างจนถึงมืดสนิท และในระหว่างทางของสีเทา วิธีหรือมุมมองต่อโลกของนางเอกก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ที่ค่อยๆ ดีขึ้น
ประเด็นว่าด้วยการสวนทางของความต้องการระหว่างชาย-หญิงก็ถูกพูดบ่อยในหนังหลายเรื่อง ผู้หญิงจะแคร์เรื่องทางจิตใจเป็นพิเศษ ในขณะที่ผู้ชายก็เน้นโฟกัสไปที่กายภาพ การต่อรองผลประโยชน์เพื่อหาจุดสมดุลในรูปแบบทางธุรกิจจึงเป็นการเปรียบเทียบที่ดูน่าสนใจ
สัญลักษณ์ของเนคไทดูเข้ากันกับไอเดียว่าด้วยเรื่องทางธุรกิจและการผูกมัด ทั้งในแง่ของเครื่องพันธนาการและข้อสัญญา (หรือจะนึกไปถึงการสมรสตามกฎหมายก็ไม่แปลก)
อย่างไรก็ตาม จุดดีที่สุดของหนังคือไอเดียหรือหลักการที่กล้าและบ้าบิ่น ช่วงชิงอำนาจและพื้นที่ในโลกของผู้ชายเพื่อแสดงออกซึ่งความต้องการของผู้หญิง ไม่ว่าในหนังพระเอกจะดูมีอำนาจเพียงใด แต่ "พระเจ้า" ในเรื่องนี้เป็นเพศหญิงอย่างปฏิเสธไม่ได้
กล้องจับภาพผู้ชายในฐานะของวัตถุทางเพศหรือผู้เป็นบ่าว ตั้งใจจะรับใช้และปรนเปรอความพึงใจของคนดู (โดยเฉพาะเพศหญิง) ซึ่งนั่งวางอำนาจอยู่ในเงามืดของโรงหนัง เหมือนที่ผู้หญิงเคยถูกกระทำมาก่อนแล้วอย่างนมนามในโลกภาพยนตร์โดยมุมมองของผู้ชาย
ออ มีอย่างนึงที่หนังเรื่องนี้วิปริตวิตถารได้ในระดับตกตะลึง คือจะ 20+ ไปทำกรวยไรวะ
Fifty shades of grey
ขอไม่ให้เกรดนะ (คือให้ไม่ถูก 55) หรือเหตุผลที่อาจช่วยให้หนังดูดีขึ้นหน่อย ก็เขาไม่ต้องการให้เราพิพากษาอะไร ไม่ใช่แค่ขาวกับดำ ขนาดสีเทาเองก็ยังมีเฉดมากมายหลายระดับ
หนังสว่างมาก (ทั้งการจัดแสงและการนำเสนอ) แทนที่จะหม่นมืดอย่างที่ควรจะเป็นตามท้องเรื่อง แต่ในจุดที่มืดที่สุดของหนังก็ยังสว่างจ้ายิ่งกว่าการ์ตูนบางเรื่อง (จริงจังนะ ไม่ใช่อธิพจน์)
เหมือนเอาละครทีวีมาฉายจอใหญ่ ความเป็นภาพยนตร์ที่ต้องจริงจังกว่านี้ ลึกซึ้งกว่านี้ ไม่มีให้สัมผัส เหยาะแหยะหน่อมแน้ม แม้ว่าจะเอาไปเปรียบกับหนังฟีลกู๊ดใสๆ แล้วก็ตาม มิพักต้องพูดถึงมาตรฐานของหนังดาร์กทั่วไป (ใครอยากดูแนวนี้แบบถึงพริกถึงขิง แนะนำ nymphomaniac volume 1-2 ครับ)
fifty shades of grey เหมือนงานของคนที่กำลังทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเข้าใจ แต่จริงๆ คือไม่เข้าใจอะไรเลย เชื่อสนิทนะถ้าจะบอกว่าคนทำหนังว่าด้วยด้านมืดของเพศเรื่องนี้ไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศมาก่อน เหมือนอะไรๆ ก็ถูกมโนขึ้น ขาดจุดเชื่อมโยงกับความเป็นจริงหรือความเป็นไปได้
การแสดงตื้นเขิน กลวงเปล่า และหุ่นยนต์มาก เคลื่อนไหวร่างกายอย่างไร้จิตวิญญาณ (ดูภาพนิ่งที่สื่อดีๆ ยังก่ออารมณ์มากกว่าดูหนังทั้งเรื่อง) ทั้งที่มันควรจะต้องมีความเป็นมนุษย์มากๆ แต่นี่พระเอกกลับเล่นเป็นตุ๊กตายาง เก๊กหล่อและโชว์หุ่นปรนนิบัติสายตาผู้ชมกลุ่มเป้าหมายไปวันๆ ในขณะที่นางเอกก็เล่นเป็นร่างอวตาร ให้ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายได้สิงสู่ มโนตนว่ากำลังระเริงรักอยู่ในโลกแฟนตาซีนั้น
นี่คนทำเขาเคยดูหนังหว่องกาไวกันบ้างมั๊ย ถึงบอดสนิทกับการจับอารมณ์อันยั่วยวน อ้อยอิ่งและหวามไหวของมนุษย์
ชื่อเรื่องมันใหญ่โตนะ the fifty shades of grey แต่มิสเตอร์เกรย์กลับถ่ายทอดได้แค่เฉดขาวกับดำ คุ้มดีคุ้มร้ายสลับกันไปมาอย่างแบนราบไร้มิติ ช่างย้อนแย้งชะมัด
ห่างไกลจากคำว่าซับซ้อน แต่มันคือความสับสนของตรรกะ บทพูดวนไปวนมาอย่างไร้ทิศทางและเป้าหมาย ถ้าสติปัญญาของพระเอกมีเท่าที่เห็น สงสัยจริงๆ ว่าจะบริหารบริษัทให้รอดได้ยังไงแม้ใน 1 วัน
ฉากอีโรติกอ่อนมากๆ (เขาเซ็กส์กันธรรมดายังรุนแรงได้กว่านี้มหาศาล) ในห้องลับมีโชว์อุปกรณ์ให้เล่นได้ถึง 100 แต่หนังนำเสนอในระดับ 0.01 (หรือน้อยกว่านี้วะ) โคตรจะขี่ช้างจับตั๊กแตน ซึ่งจริงๆ ก็จับไม่ได้ซักตัว
จริงๆ ถ้าจะมองแบบช่วยหนังในส่วนของเนื้อหา fifty shades of grey ก็มีไรน่าสนใจอยู่บ้างเหมือนกันนะ
ตัวละครของนางเอกเริ่มต้นจากการพิพากษาหรือ judge เสรีภาพทางเพศของคนอื่นในแง่ลบ โดยเฉพาะมุมมองที่มีต่อแม่ (ซึ่งเคยมีสามี 4 คน) ก่อนจะเจอจุดเปลี่ยน เมื่อเธอพบผู้ชายที่เพียบพร้อมไปซะทุกอย่างราวเทพบุตรในนวนิยาย (และทำให้ผู้ชายธรรมดาในโลกต้องกลายร่างเป็นวรนุชในบัดดล)
มีการเปรียบความต้องการทางเพศกับภาวะอดอยากอาหาร (ซึ่งหนังก็กล่าวถึงอย่างบางเบา) ซึ่งไอเดียนี้หนังเรื่อง blue is the warmest color นำเสนอได้ดีมากๆ มันดูหิวดูหื่นจริงจัง (คือคนดูก็ท้องร้องไปด้วย) แต่กับเรื่องนี้ นางเอกเราทำได้แค่กัดริมฝีปาก WTF!
พระเอกคือ lab ให้นางเอกได้ทดลองวิชาเพศศึกษา ได้สัมผัสกับประสบการณ์พิเศษและแปลกใหม่ จากเฉดที่ขาวสว่างจนถึงมืดสนิท และในระหว่างทางของสีเทา วิธีหรือมุมมองต่อโลกของนางเอกก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ที่ค่อยๆ ดีขึ้น
ประเด็นว่าด้วยการสวนทางของความต้องการระหว่างชาย-หญิงก็ถูกพูดบ่อยในหนังหลายเรื่อง ผู้หญิงจะแคร์เรื่องทางจิตใจเป็นพิเศษ ในขณะที่ผู้ชายก็เน้นโฟกัสไปที่กายภาพ การต่อรองผลประโยชน์เพื่อหาจุดสมดุลในรูปแบบทางธุรกิจจึงเป็นการเปรียบเทียบที่ดูน่าสนใจ
สัญลักษณ์ของเนคไทดูเข้ากันกับไอเดียว่าด้วยเรื่องทางธุรกิจและการผูกมัด ทั้งในแง่ของเครื่องพันธนาการและข้อสัญญา (หรือจะนึกไปถึงการสมรสตามกฎหมายก็ไม่แปลก)
อย่างไรก็ตาม จุดดีที่สุดของหนังคือไอเดียหรือหลักการที่กล้าและบ้าบิ่น ช่วงชิงอำนาจและพื้นที่ในโลกของผู้ชายเพื่อแสดงออกซึ่งความต้องการของผู้หญิง ไม่ว่าในหนังพระเอกจะดูมีอำนาจเพียงใด แต่ "พระเจ้า" ในเรื่องนี้เป็นเพศหญิงอย่างปฏิเสธไม่ได้
กล้องจับภาพผู้ชายในฐานะของวัตถุทางเพศหรือผู้เป็นบ่าว ตั้งใจจะรับใช้และปรนเปรอความพึงใจของคนดู (โดยเฉพาะเพศหญิง) ซึ่งนั่งวางอำนาจอยู่ในเงามืดของโรงหนัง เหมือนที่ผู้หญิงเคยถูกกระทำมาก่อนแล้วอย่างนมนามในโลกภาพยนตร์โดยมุมมองของผู้ชาย
ออ มีอย่างนึงที่หนังเรื่องนี้วิปริตวิตถารได้ในระดับตกตะลึง คือจะ 20+ ไปทำกรวยไรวะ