วาเลนไทน์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เพจอวยไส้แตกแหกไส้ฉีก ได้จัด 10 + 1 อันดับหนังรักในดวงใจมาให้ลองอ่านและลองไปหามาชมกันนะครับ ตามนี้เลย
10 อันดับแรกจะเป็นของคุณแอดมินเอิร์ทนะครับ
อันดับ 10
Bridget Jones's Diary (2001)
เริ่มเดือนแห่งความรัก แอดมินเอิร์ทขอเสนอหนังรักในดวงใจ 10 อันดับให้ลูกเพจได้ลองหามาดูกันต้อนรับวันวาเลนไทน์ครับ เคาท์ดาวน์ 10 วัน 10 เรื่องกัน เริ่มที่อันดับ 10 Bridget Jones's Diary ครับ
สาวตุ้ยนุ้ย วัย 30+ โสด ติดเหล้า สูบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย ชีวิตคือแบบจะมีแฟนได้ไงเนี่ย แต่ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราเชื่อครับ บริดเจท เริ่มต้นเขียนไดอารี่ในปีใหม่พร้อมกับตั้ง New Year's resolution ไว้ว่าจะปรับปรุงตัวเสียใหม่ หลังจากได้เจอเพื่อนข้างบ้านสมัยเด็กสุดหล่อ Mark Darcy แอบนินทาบอกว่าเธอไม่ไหวเลย อ้วน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แถมแต่งตัวเหมือนแม่เลย
จุดปลี่ยนคราวนั้น ทำให้เธอเปลี่ยนเป็นคนใหม่ และชีวิตก็ดีขึ้นเรื่องทั้งเรื่องงานและเรื่องรัก ดีขึ้นๆ ดีจนวุ่นวาย เมื่อเจ้านายหนุ่มหล่ออีกคนDaniel Cleaver ก็ดั๊นมาชอบสาวร่างอวบอย่างนาง ก็นะ มันเต็มไม้เต็มมือดี ผู้ชายเลยชอบ
บริดเจทเป็นตัวอย่างของสาวยุคใหม่ที่ไม่ปล่อยชีวิตไปวันๆให้สังกะตายจนต้องนอนให้หมามารุมแทะ เธอลุกขึ้นเปลี่ยนตัวเอง เพื่อตัวเอง เมื่อเรารักตัวเอง คนอื่นก็จะมองเห็นคุณค่าและรักเราในแบบที่เราเป็น "I love you just the way you are."มาร์ค ดาร์ซีกล่าว
เป็นหนังที่ดูสนุก สมัย 10 กว่าปีก่อนหยิบมาดูบ่อยมากๆ ดูจนจำได้ทุกฉากทุกตอน แล้วก็ยังขำกับมุขตลกได้ทุกรอบที่ดู ที่สำคัญคือเพลวประกอบเพราะๆทั้งนั้น Out of Reach, It's Raining Men, Someone Like You etc. และเรเน่ยังสร้างเซอร์ไพรซ์คว้าลูกโลกทองคำดารานำหญิงพ่วงด้วยการเข้าชิงออสการ์แบบเหนือความคาดหมายจากการทุ่มเทให้กับการแสดงแบบเพิ่มน้ำหนักลดน้ำหนักจริงตลอดการถ่ายทำด้วย เป็น career defining performance หรือการแสดงแจ้งเกิดในฐานะนักแสดง ที่นอกจากคนจะรักบริดเจทแล้ว เรายังรักเรเน่ด้วย และแน่นอน เรารักหนังเรื่องนี้ครับ
อันดับ9
Begin Again (2013)
ทุกคนรักหนังเรื่องนี้ เชื่อเลยว่าคนไทยหลายคนรักหนังเรื่องนี้ มันเริ่มจากการตกหลุมรักก่อนตอนไปดูครั้งแรกในโรงแบบงงๆ ไปดูแบบไม่รู้แบคกราวนด์อะไรทั้งนั้น แล้วแบบ เห้ย โดนว่ะ แล้วหนังเหมือนมีแรงดึงดูดสูงจนต้องกลับไปดูในโรงอีกถึง 2 รอบ กลยุทธ์การนำเสนอของหนังเอาคนดูอยู่ติดเก้าอี้แบบลุกไม่ขึ้นจน end credit จบหมด โรงเปิดไฟ คนดูยังอารมณ์ค้างไม่อยากลุกกันเลยทีเดียว
Greta สาวนักดนตรี-นักร้องอังกฤษผู้ถูก Dave แฟนหนุ่มนักร้องสุดหล่อทิ้งท่ามกลางเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค หลงทาง เสียสูญ เธอพาตัวเองไปที่ผับดนตรีสดแห่งหนึ่งแล้วเพื่อนสนิทยุให้เธอขึ้นไปร้องเพลงโชว์แบบไม่เต็มใจ ให้บังเอิญว่า Dan โปรดิวเซอร์ดนตรีผู้ตกอับ เลิกกับเมีย ตกงาน ไม่มีเงิน แฝงตัวอยู่ในคนที่มาฟังดนตรีในผับนั้น เขาจึงร่วมมือกับเธอทำเพลงด้วยงบเงินอันน้อยนิด ใช้มหานครนิวยอร์คเป็นห้องบันทึกเสียงขนาดใหญ่ เพื่อให้ทั้งเธอและเขากลับมา Begin Again กันอีกครั้งกับชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม
เพลงเพราะมาก เพราะทุกเพลง ยอดขายซีดีถล่มทลายต้องจองกันเป็นเดือนๆ และนักแสดงก็เล่นธรรมชาติและมีพรสวรรค์ทางดนตรีอย่างไม่น่าเชื่อ บรรยากาศนิวยอร์คก็เข้ากับความเหงา ความโรแมนติกได้ดี มุขตลกเล็กๆน้อยๆก็ทำให้มีรอยยิ้มได้ตลอดเรื่อง
แล้วยังมีประเด็นย่อยๆซอยลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน พ่อ-ลูก การก้าวข้ามผ่านวัยของวัยรุ่น การรับมือกับรักครั้งเก่าที่ผ่านเข้ามาอีกครั้ง และการประคองความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมงานไม่ให้เกินเลยไปกว่านั้น
ทุกอย่างในหนังมันลงตัว น่ารัก ขนาดเสื้อผ้าสไตล์ที่นางเอกใส่ยังฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพลง Lost Stars ก็ได้เข้าชิงออสการ์ สุดหล่อ Adam Levine ก็แจ้งเกิดในทางสายนักแสดงได้ดี คือพอดีวีดีออกต้องรีบซื้อเก็บเลย ทุกวันนี้ก็ยังเปิดดูเรื่อยๆ มันให้ความรู้สึกดีจริงๆ
ชอบฉากเปิดเรื่องที่เคียร่านั่งร้องเพลงเล่นกีตาร์ เพลง"A Step You Can't Take Back" ให้อารมณ์นิวยอร์คที่โคตรเหงา เหงาสึสๆ เพลง"Like a Fool" ก็แบบเป็นเพลงด่าแฟนเก่าที่กินใจและกัดกร่อนความรู้สึกไปพร้อมๆกัน คือจะบอกว่าคลั่งหนังเรื่องนี้มากในปี 2014 ซื้อทั้งซีดีเพลง ดีวีดีหนังมาเก็บไว้
มีใครรักหนังรัก เรื่องนี้เหมือนกันบ้างครับ?
อันดับ8
Lost in Translation (2003)
จริงๆเรื่องนี้มันไม่ใช่รักที่โรแมนติกสักเท่าไหร่ มันออกจะเหงา เศร้า หดหู่ด้วยซ้ำ แต่ว่ากันว่า ก็เพราะความเหงานี่แหละที่พาให้เราพบกับความรักมานักต่อนักแล้ว ถ้าจะมีใครถามว่าหนังเรื่องไหนที่ทำให้เหงาที่สุดของโคตรของโคตรของโคตรของโคตรเหงา ตอบแบบไม่คิดเลยครับว่าเรื่องนี้
มันเป็นเรื่องของคนเหงาสองคนมาเจอกันในเมืองที่แสนวุ่นวายจนไม่น่าจะเหงา แต่ยิ่งคนเยอะมากมาย และพูดภาษาที่เราฟังไม่เข้าใจเนี่ยแหละ มันเลยยิ่งเหง้าเหงาาา Bob Harris นักแสดงฮอลลิวู้ดอายุเยอะแล้วเดินทางไปถ่ายหนังโฆษณาเหล้าวิสกี้ที่โตเกียว ดินแดนที่คนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ที่โรงแรม เขาได้เจอกับคนที่พูดภาษาเดียวกับเขานั่นก็คือ Charlotte นักศึกษาสาวที่ตามสามีมาทำงานที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน สามีเธอทำงานเป็นช่างภาพชื่อดัง เนื้อหอม สาวๆรุมติดตรึม เขามักจะปล่อยให้เธอคอยอย่างเหงาๆที่โรงแรม บ้อบเองก็กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติวัยกลางคน(Midlife crisis) สัมพันธ์รักกับภรรยาที่แต่งงานกันมา 25 ปีเริ่มสั่นคลอน เมื่อคนเหงาสองคนมาเจอกันจึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ต่อให้ผ่านไปสิบปีก็ลืมไม่ลง
ความทรงจำที่เกิดขึ้นเวลาที่เราเหงามักประทับตราลึกและเหนียวแน่นกว่าทั่วไปเสมอ ทั้งคู่เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี ในเมืองใหญ่ ใครๆก็ไม่พูดภาษาอังกฤษ คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งคู่นอกจากจะพูดจาภาษาเดียวกันแล้ว ภาษาใจก็เป็นภาษาที่ไม่ต่างกัน ภาษาแห่งความเหงา ที่คนเหงาๆเหมือนกันเท่านั้นจะเข้าใจ และเกิดการเติมเต็มความเหงาให้แปรเปลี่ยนเป็นความสุขขึ้นมาได้
แต่ความสุขที่มันเกิด มันไม่ได้เต็มปรี่อย่างที่มันจะเป็น ด้วยว่ากำแพงแห่งจริยธรรม ศีลธรรมคอยกั้นความรู้สึกนั้นไว้ เธอมีสามี เขามีภรรยา อณุความเหงาจึงไม่สลายหายไปเสียหมดเมื่อทั้งคู่พยายามจะเติมเต็มมัน
ฉากสุดท้ายที่เป็นตำนาน คือฉากที่ทั้งคู่กอดกัน คือเรื่องทั้งเรื่องบ้อบกับชาลอตแทบไม่ถูกตัวกันเลย ขนาดนอนเตียงเดียวกัน ต่างคนต่างนอนขดหันหน้ามองกันแค่นั้น แต่การกอดกันในครั้งนั้นคือเหมือนความรู้สึกมันเอ่อล้นสุดๆแล้ว บ้อบยังกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูชาลอต ก่อนจะพละออกไป โดยหนังไม่ได้เฉลยจนทุกวันนี้ว่าทั้งคู่กระซิบอะไรกัน ได้ยินแต่ไม่ชัด จนผ่านไปหลายปีมีคนใช้เครื่องขยายเสียงถอดประโยคนั้นออกมาได้ ดังคลิปนี้ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=5MV7Sym8bIQ
พอความนัยจากการะซิบได้รับการเฉลย ก็ยิ่งชอบหนังเรื่องนี้และรักตัวละครขี้เหงาสองคนนี้มากขึ้นไปอีก หนังได้ออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมด้วยโดย Sofia Coppola นอกจากนี้เธอยังได้เข้าชิงสาขาผู้กำกับ(นับเป็นผู้หญิงคนที่สาม)และสาขาภาพยนต์ยอดเยี่ยมด้วย นักแสดงนำชายบิล เมอเรย์ก็ฝากลายครามได้เข้าชิงออสการ์นำชายด้วยเช่นกัน
ถ้าใครอยากเข้าใจความรักที่เกิดจากความเหงา หยิบหนังเรื่องนี้มาดูรับรองไม่ผิดหวังครับ
อันดับ7
Before Trilogy (1995, 2004, 2013)
ใครจะเชื่อว่าหนังที่ไม่มีอะไรเลย มีแค่ผู้ชายกับผู้หญิงสองคนพูดกันทั้งเรื่องจะครองใจผู้ชมหนังแนวโรแมนติกได้มากขนาดนี้ เป็นหนังรักสามภาคที่สะท้อนภาพชีวิตคู่ได้ตรงที่สุด จริงที่สุด และกินใจที่สุด
Before Sunrise ในปี 1995 เล่าเรื่องเจสซี่หนุ่มอเมริกันมาพบกับสาวฝรั่งเศสซิลีนบนรถไฟยูเรลจากบูดาเปสท์ไปเวียนนา ซิลีนเพิ่งกลับจากเยี่ยมญาติกำลังจะไปปารีส แต่พอถึงเวียนนาเจสซี่ชวนซิลีนให้เที่ยวเวียนนาไปด้วยกัน แต่เจสซี่เองไม่มีเงินพอจะเช่าโรงแรมเพราะเขาจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินกลับอเมริกาไว้ ทั้งสองเลยตกลงเดินเที่ยวชมเมืองทั้งคืนแทน และบทสนนทนาทลายกำแพงแห่งความแปลกหน้าก็เริ่มขึ้น ทั้งคู่เล่าเรื่องชีวิต เรื่องรัก ศาสนา ความเชื่อ ชื่นชมความสวยงามของเวียนนาอยู่ทั้งคืน จนได้พบว่า ซิลีนเพิ่งเลิกกับแฟนมาเมื่อ 6 เดือนก่อน ส่วนเจสซี่เพิ่งเลิกกับแฟนหลังมาทัวร์ยุโรปด้วยกันในครั้งนี้ เขาเลยจะกลับอเมริกาก่อน ความสัมพันธ์จากการสนทนาค่อยๆก่อตัวขึ้นจนเกิดเป็นความรักโดยไม่มีอะไรเลยเกินเลย นอกจากจุมพิตกัยเบาๆแค่นั้น แต่ทรงพลังและทำให้เราเชื่อและอินกับความรักของทั้งคู่มากๆ ก่อนจากกันทั้งคู่ตกลงจะมาเจอกันที่นี่ที่เดิมอีกครั้งใน 6 เดือนโดยไม่แลกเบอร์หรือcontactsใดๆไว้ แล้วรถไฟก็แล่นออกไป
Before Sunset คือเรื่องในอีก 9 ปีต่อมา เจสซี่กลายเป็นนักเขียน best seller มาทัวร์โปรโมตหนังสือที่ปารีส เลยได้เจอกับซิลีนอีกครั้ง หลังโปรโมตหนังสือซึ่งเขาเขียนเกี่ยวกับคืนพิเศษคืนนั้นที่เวียนนาเสร็จ เขาจะต้องรีบไปขึ้นเครื่องกลับอเมริกาในตอนเย็น แต่ด้วยเวลายังเหลือทั้งคู่จึงได้ใช้เวลาด้วยกันอีกครั้ง พวกเขาเดินไปคุยไปทั่วปารีส บอกเล่าชีวิตที่ผ่านมาในช่วง 9 ปี ซิลีนแต่งงานกับช่างภาพ เจสซี่มีลูกชายหนึ่งคน และเล่าถึงว่าที่ซิลีนไม่ได้มาเจอตามนัดหลัง 6 เดือนนับจากคืนนั้นเพราะอะไร ทั้งคู่เล่าถึงชีวิตคู่ของตัวเองว่าไม่ค่อยดีแค่ไหน คุยกันถึงงานที่ทำ การเมือง สัพเพเหระ จนไปถึงอพาร์ทเมนท์ของซิลีน เธอเล่นกีตาร์ให้เจสซี่ฟัง เปิดเพลงแจ๊ซและเต้นรำไปอย่างมีความสุขพร้อมกับบอกเจสซี่ว่า คุณกำลังจะตกเครื่องแล้วนะ เจสซี่ยิ้มและบอกว่า "ผมรู้" แล้วหนังก๋จบตรงนั้นทิ้งแต่รอยยิ้มพร้อมความสงสัยให้ผู้ชม
Before Midnight เมื่อปี 2013 นี่เอง คราวนี้เป็นภาพชีวิตจริงเลยว่า ทั้งคู่แต่งงานกัน มีลูกสาวฝาแฝดสองคนอยู่ที่ปารีส ลูกชายของเจสซี่มาเยี่ยมช่วงปิดเทอม ทั้งครอบครัวไปเที่ยวกรีซด้วยกัน และเริ่มพูดคุยถึงชีวิตคู่ที่ผ่านมา พูดถึงอนาคตทางการงาน พูดคุยถึงอนาคตของลูก และพูดคุยถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ภาคนี้ดูจะเป็นเรื่องที่ดูไม่ไกลเกินฝันที่สุด คุยกันไป เจสซี่กับซิลีนก็มีปากเสียงกันไป เถียงกันไป ทะเลาะกันมา จนสุดท้ายหนังพาเราไปให้เห็นบทสรุปของชีวิตความสัมพันธ์ 18 ปีของคนคู่นี้ที่บัดนี้ได้กลายมาเป็นคู่ชีวิตเป็นพ่อแม่ของลูกสาวสองคน ว่าจะดำเนินเดินไปทางไหนก่อนที่จะถึงเวลาเที่ยงคืน...
ทั้งสามเรื่องสะท้อนภาพชีวิตคู่ได้งดงาม เพ้อฝัน อมยิ้ม และปริ่มใจน้ำตาคลอในที่สุด มันคือความจริง จับต้องสัมผัสได้ในความรักความสัมพันธ์ของคนทุกคน ตัวละครที่โตขึ้นต่างก็เข้าใจความรักที่ตรงความจริงมากที่สุด จากคืนแสนหวานในเวียนนา บ่ายหฤหรรษ์ในปารีส และการตื่นจากฝันมาเจอความจริงในกรีซ เผยให้เห็นว่า ตอนจบของนิยายไม่ใช่ live together happily ever after เสมอไป
ทั้งสามเรื่องได้คะแนนจาก imdb 8.1, 8.1 และ 8.0 ตามลำดับ Before Sunset และ Before Midnight ได้เข้าชิงออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมด้วยครับ
(อ่านต่อในรีพลาย พอดีมันเกิน 10,000 ตัวอักษรแล้ว)
https://www.facebook.com/overhyp
อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก
ส่งท้ายวาเลนไทน์กับ 10 + 1 อันดับหนังรักในดวงใจจากเพจ อวยไส้แตกฯ
10 อันดับแรกจะเป็นของคุณแอดมินเอิร์ทนะครับ
อันดับ 10
Bridget Jones's Diary (2001)
เริ่มเดือนแห่งความรัก แอดมินเอิร์ทขอเสนอหนังรักในดวงใจ 10 อันดับให้ลูกเพจได้ลองหามาดูกันต้อนรับวันวาเลนไทน์ครับ เคาท์ดาวน์ 10 วัน 10 เรื่องกัน เริ่มที่อันดับ 10 Bridget Jones's Diary ครับ
สาวตุ้ยนุ้ย วัย 30+ โสด ติดเหล้า สูบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย ชีวิตคือแบบจะมีแฟนได้ไงเนี่ย แต่ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราเชื่อครับ บริดเจท เริ่มต้นเขียนไดอารี่ในปีใหม่พร้อมกับตั้ง New Year's resolution ไว้ว่าจะปรับปรุงตัวเสียใหม่ หลังจากได้เจอเพื่อนข้างบ้านสมัยเด็กสุดหล่อ Mark Darcy แอบนินทาบอกว่าเธอไม่ไหวเลย อ้วน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แถมแต่งตัวเหมือนแม่เลย
จุดปลี่ยนคราวนั้น ทำให้เธอเปลี่ยนเป็นคนใหม่ และชีวิตก็ดีขึ้นเรื่องทั้งเรื่องงานและเรื่องรัก ดีขึ้นๆ ดีจนวุ่นวาย เมื่อเจ้านายหนุ่มหล่ออีกคนDaniel Cleaver ก็ดั๊นมาชอบสาวร่างอวบอย่างนาง ก็นะ มันเต็มไม้เต็มมือดี ผู้ชายเลยชอบ
บริดเจทเป็นตัวอย่างของสาวยุคใหม่ที่ไม่ปล่อยชีวิตไปวันๆให้สังกะตายจนต้องนอนให้หมามารุมแทะ เธอลุกขึ้นเปลี่ยนตัวเอง เพื่อตัวเอง เมื่อเรารักตัวเอง คนอื่นก็จะมองเห็นคุณค่าและรักเราในแบบที่เราเป็น "I love you just the way you are."มาร์ค ดาร์ซีกล่าว
เป็นหนังที่ดูสนุก สมัย 10 กว่าปีก่อนหยิบมาดูบ่อยมากๆ ดูจนจำได้ทุกฉากทุกตอน แล้วก็ยังขำกับมุขตลกได้ทุกรอบที่ดู ที่สำคัญคือเพลวประกอบเพราะๆทั้งนั้น Out of Reach, It's Raining Men, Someone Like You etc. และเรเน่ยังสร้างเซอร์ไพรซ์คว้าลูกโลกทองคำดารานำหญิงพ่วงด้วยการเข้าชิงออสการ์แบบเหนือความคาดหมายจากการทุ่มเทให้กับการแสดงแบบเพิ่มน้ำหนักลดน้ำหนักจริงตลอดการถ่ายทำด้วย เป็น career defining performance หรือการแสดงแจ้งเกิดในฐานะนักแสดง ที่นอกจากคนจะรักบริดเจทแล้ว เรายังรักเรเน่ด้วย และแน่นอน เรารักหนังเรื่องนี้ครับ
อันดับ9
Begin Again (2013)
ทุกคนรักหนังเรื่องนี้ เชื่อเลยว่าคนไทยหลายคนรักหนังเรื่องนี้ มันเริ่มจากการตกหลุมรักก่อนตอนไปดูครั้งแรกในโรงแบบงงๆ ไปดูแบบไม่รู้แบคกราวนด์อะไรทั้งนั้น แล้วแบบ เห้ย โดนว่ะ แล้วหนังเหมือนมีแรงดึงดูดสูงจนต้องกลับไปดูในโรงอีกถึง 2 รอบ กลยุทธ์การนำเสนอของหนังเอาคนดูอยู่ติดเก้าอี้แบบลุกไม่ขึ้นจน end credit จบหมด โรงเปิดไฟ คนดูยังอารมณ์ค้างไม่อยากลุกกันเลยทีเดียว
Greta สาวนักดนตรี-นักร้องอังกฤษผู้ถูก Dave แฟนหนุ่มนักร้องสุดหล่อทิ้งท่ามกลางเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค หลงทาง เสียสูญ เธอพาตัวเองไปที่ผับดนตรีสดแห่งหนึ่งแล้วเพื่อนสนิทยุให้เธอขึ้นไปร้องเพลงโชว์แบบไม่เต็มใจ ให้บังเอิญว่า Dan โปรดิวเซอร์ดนตรีผู้ตกอับ เลิกกับเมีย ตกงาน ไม่มีเงิน แฝงตัวอยู่ในคนที่มาฟังดนตรีในผับนั้น เขาจึงร่วมมือกับเธอทำเพลงด้วยงบเงินอันน้อยนิด ใช้มหานครนิวยอร์คเป็นห้องบันทึกเสียงขนาดใหญ่ เพื่อให้ทั้งเธอและเขากลับมา Begin Again กันอีกครั้งกับชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม
เพลงเพราะมาก เพราะทุกเพลง ยอดขายซีดีถล่มทลายต้องจองกันเป็นเดือนๆ และนักแสดงก็เล่นธรรมชาติและมีพรสวรรค์ทางดนตรีอย่างไม่น่าเชื่อ บรรยากาศนิวยอร์คก็เข้ากับความเหงา ความโรแมนติกได้ดี มุขตลกเล็กๆน้อยๆก็ทำให้มีรอยยิ้มได้ตลอดเรื่อง
แล้วยังมีประเด็นย่อยๆซอยลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน พ่อ-ลูก การก้าวข้ามผ่านวัยของวัยรุ่น การรับมือกับรักครั้งเก่าที่ผ่านเข้ามาอีกครั้ง และการประคองความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมงานไม่ให้เกินเลยไปกว่านั้น
ทุกอย่างในหนังมันลงตัว น่ารัก ขนาดเสื้อผ้าสไตล์ที่นางเอกใส่ยังฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพลง Lost Stars ก็ได้เข้าชิงออสการ์ สุดหล่อ Adam Levine ก็แจ้งเกิดในทางสายนักแสดงได้ดี คือพอดีวีดีออกต้องรีบซื้อเก็บเลย ทุกวันนี้ก็ยังเปิดดูเรื่อยๆ มันให้ความรู้สึกดีจริงๆ
ชอบฉากเปิดเรื่องที่เคียร่านั่งร้องเพลงเล่นกีตาร์ เพลง"A Step You Can't Take Back" ให้อารมณ์นิวยอร์คที่โคตรเหงา เหงาสึสๆ เพลง"Like a Fool" ก็แบบเป็นเพลงด่าแฟนเก่าที่กินใจและกัดกร่อนความรู้สึกไปพร้อมๆกัน คือจะบอกว่าคลั่งหนังเรื่องนี้มากในปี 2014 ซื้อทั้งซีดีเพลง ดีวีดีหนังมาเก็บไว้
มีใครรักหนังรัก เรื่องนี้เหมือนกันบ้างครับ?
อันดับ8
Lost in Translation (2003)
จริงๆเรื่องนี้มันไม่ใช่รักที่โรแมนติกสักเท่าไหร่ มันออกจะเหงา เศร้า หดหู่ด้วยซ้ำ แต่ว่ากันว่า ก็เพราะความเหงานี่แหละที่พาให้เราพบกับความรักมานักต่อนักแล้ว ถ้าจะมีใครถามว่าหนังเรื่องไหนที่ทำให้เหงาที่สุดของโคตรของโคตรของโคตรของโคตรเหงา ตอบแบบไม่คิดเลยครับว่าเรื่องนี้
มันเป็นเรื่องของคนเหงาสองคนมาเจอกันในเมืองที่แสนวุ่นวายจนไม่น่าจะเหงา แต่ยิ่งคนเยอะมากมาย และพูดภาษาที่เราฟังไม่เข้าใจเนี่ยแหละ มันเลยยิ่งเหง้าเหงาาา Bob Harris นักแสดงฮอลลิวู้ดอายุเยอะแล้วเดินทางไปถ่ายหนังโฆษณาเหล้าวิสกี้ที่โตเกียว ดินแดนที่คนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ที่โรงแรม เขาได้เจอกับคนที่พูดภาษาเดียวกับเขานั่นก็คือ Charlotte นักศึกษาสาวที่ตามสามีมาทำงานที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน สามีเธอทำงานเป็นช่างภาพชื่อดัง เนื้อหอม สาวๆรุมติดตรึม เขามักจะปล่อยให้เธอคอยอย่างเหงาๆที่โรงแรม บ้อบเองก็กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติวัยกลางคน(Midlife crisis) สัมพันธ์รักกับภรรยาที่แต่งงานกันมา 25 ปีเริ่มสั่นคลอน เมื่อคนเหงาสองคนมาเจอกันจึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ต่อให้ผ่านไปสิบปีก็ลืมไม่ลง
ความทรงจำที่เกิดขึ้นเวลาที่เราเหงามักประทับตราลึกและเหนียวแน่นกว่าทั่วไปเสมอ ทั้งคู่เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี ในเมืองใหญ่ ใครๆก็ไม่พูดภาษาอังกฤษ คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งคู่นอกจากจะพูดจาภาษาเดียวกันแล้ว ภาษาใจก็เป็นภาษาที่ไม่ต่างกัน ภาษาแห่งความเหงา ที่คนเหงาๆเหมือนกันเท่านั้นจะเข้าใจ และเกิดการเติมเต็มความเหงาให้แปรเปลี่ยนเป็นความสุขขึ้นมาได้
แต่ความสุขที่มันเกิด มันไม่ได้เต็มปรี่อย่างที่มันจะเป็น ด้วยว่ากำแพงแห่งจริยธรรม ศีลธรรมคอยกั้นความรู้สึกนั้นไว้ เธอมีสามี เขามีภรรยา อณุความเหงาจึงไม่สลายหายไปเสียหมดเมื่อทั้งคู่พยายามจะเติมเต็มมัน
ฉากสุดท้ายที่เป็นตำนาน คือฉากที่ทั้งคู่กอดกัน คือเรื่องทั้งเรื่องบ้อบกับชาลอตแทบไม่ถูกตัวกันเลย ขนาดนอนเตียงเดียวกัน ต่างคนต่างนอนขดหันหน้ามองกันแค่นั้น แต่การกอดกันในครั้งนั้นคือเหมือนความรู้สึกมันเอ่อล้นสุดๆแล้ว บ้อบยังกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูชาลอต ก่อนจะพละออกไป โดยหนังไม่ได้เฉลยจนทุกวันนี้ว่าทั้งคู่กระซิบอะไรกัน ได้ยินแต่ไม่ชัด จนผ่านไปหลายปีมีคนใช้เครื่องขยายเสียงถอดประโยคนั้นออกมาได้ ดังคลิปนี้ครับ https://www.youtube.com/watch?v=5MV7Sym8bIQ
พอความนัยจากการะซิบได้รับการเฉลย ก็ยิ่งชอบหนังเรื่องนี้และรักตัวละครขี้เหงาสองคนนี้มากขึ้นไปอีก หนังได้ออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมด้วยโดย Sofia Coppola นอกจากนี้เธอยังได้เข้าชิงสาขาผู้กำกับ(นับเป็นผู้หญิงคนที่สาม)และสาขาภาพยนต์ยอดเยี่ยมด้วย นักแสดงนำชายบิล เมอเรย์ก็ฝากลายครามได้เข้าชิงออสการ์นำชายด้วยเช่นกัน
ถ้าใครอยากเข้าใจความรักที่เกิดจากความเหงา หยิบหนังเรื่องนี้มาดูรับรองไม่ผิดหวังครับ
อันดับ7
Before Trilogy (1995, 2004, 2013)
ใครจะเชื่อว่าหนังที่ไม่มีอะไรเลย มีแค่ผู้ชายกับผู้หญิงสองคนพูดกันทั้งเรื่องจะครองใจผู้ชมหนังแนวโรแมนติกได้มากขนาดนี้ เป็นหนังรักสามภาคที่สะท้อนภาพชีวิตคู่ได้ตรงที่สุด จริงที่สุด และกินใจที่สุด
Before Sunrise ในปี 1995 เล่าเรื่องเจสซี่หนุ่มอเมริกันมาพบกับสาวฝรั่งเศสซิลีนบนรถไฟยูเรลจากบูดาเปสท์ไปเวียนนา ซิลีนเพิ่งกลับจากเยี่ยมญาติกำลังจะไปปารีส แต่พอถึงเวียนนาเจสซี่ชวนซิลีนให้เที่ยวเวียนนาไปด้วยกัน แต่เจสซี่เองไม่มีเงินพอจะเช่าโรงแรมเพราะเขาจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินกลับอเมริกาไว้ ทั้งสองเลยตกลงเดินเที่ยวชมเมืองทั้งคืนแทน และบทสนนทนาทลายกำแพงแห่งความแปลกหน้าก็เริ่มขึ้น ทั้งคู่เล่าเรื่องชีวิต เรื่องรัก ศาสนา ความเชื่อ ชื่นชมความสวยงามของเวียนนาอยู่ทั้งคืน จนได้พบว่า ซิลีนเพิ่งเลิกกับแฟนมาเมื่อ 6 เดือนก่อน ส่วนเจสซี่เพิ่งเลิกกับแฟนหลังมาทัวร์ยุโรปด้วยกันในครั้งนี้ เขาเลยจะกลับอเมริกาก่อน ความสัมพันธ์จากการสนทนาค่อยๆก่อตัวขึ้นจนเกิดเป็นความรักโดยไม่มีอะไรเลยเกินเลย นอกจากจุมพิตกัยเบาๆแค่นั้น แต่ทรงพลังและทำให้เราเชื่อและอินกับความรักของทั้งคู่มากๆ ก่อนจากกันทั้งคู่ตกลงจะมาเจอกันที่นี่ที่เดิมอีกครั้งใน 6 เดือนโดยไม่แลกเบอร์หรือcontactsใดๆไว้ แล้วรถไฟก็แล่นออกไป
Before Sunset คือเรื่องในอีก 9 ปีต่อมา เจสซี่กลายเป็นนักเขียน best seller มาทัวร์โปรโมตหนังสือที่ปารีส เลยได้เจอกับซิลีนอีกครั้ง หลังโปรโมตหนังสือซึ่งเขาเขียนเกี่ยวกับคืนพิเศษคืนนั้นที่เวียนนาเสร็จ เขาจะต้องรีบไปขึ้นเครื่องกลับอเมริกาในตอนเย็น แต่ด้วยเวลายังเหลือทั้งคู่จึงได้ใช้เวลาด้วยกันอีกครั้ง พวกเขาเดินไปคุยไปทั่วปารีส บอกเล่าชีวิตที่ผ่านมาในช่วง 9 ปี ซิลีนแต่งงานกับช่างภาพ เจสซี่มีลูกชายหนึ่งคน และเล่าถึงว่าที่ซิลีนไม่ได้มาเจอตามนัดหลัง 6 เดือนนับจากคืนนั้นเพราะอะไร ทั้งคู่เล่าถึงชีวิตคู่ของตัวเองว่าไม่ค่อยดีแค่ไหน คุยกันถึงงานที่ทำ การเมือง สัพเพเหระ จนไปถึงอพาร์ทเมนท์ของซิลีน เธอเล่นกีตาร์ให้เจสซี่ฟัง เปิดเพลงแจ๊ซและเต้นรำไปอย่างมีความสุขพร้อมกับบอกเจสซี่ว่า คุณกำลังจะตกเครื่องแล้วนะ เจสซี่ยิ้มและบอกว่า "ผมรู้" แล้วหนังก๋จบตรงนั้นทิ้งแต่รอยยิ้มพร้อมความสงสัยให้ผู้ชม
Before Midnight เมื่อปี 2013 นี่เอง คราวนี้เป็นภาพชีวิตจริงเลยว่า ทั้งคู่แต่งงานกัน มีลูกสาวฝาแฝดสองคนอยู่ที่ปารีส ลูกชายของเจสซี่มาเยี่ยมช่วงปิดเทอม ทั้งครอบครัวไปเที่ยวกรีซด้วยกัน และเริ่มพูดคุยถึงชีวิตคู่ที่ผ่านมา พูดถึงอนาคตทางการงาน พูดคุยถึงอนาคตของลูก และพูดคุยถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ภาคนี้ดูจะเป็นเรื่องที่ดูไม่ไกลเกินฝันที่สุด คุยกันไป เจสซี่กับซิลีนก็มีปากเสียงกันไป เถียงกันไป ทะเลาะกันมา จนสุดท้ายหนังพาเราไปให้เห็นบทสรุปของชีวิตความสัมพันธ์ 18 ปีของคนคู่นี้ที่บัดนี้ได้กลายมาเป็นคู่ชีวิตเป็นพ่อแม่ของลูกสาวสองคน ว่าจะดำเนินเดินไปทางไหนก่อนที่จะถึงเวลาเที่ยงคืน...
ทั้งสามเรื่องสะท้อนภาพชีวิตคู่ได้งดงาม เพ้อฝัน อมยิ้ม และปริ่มใจน้ำตาคลอในที่สุด มันคือความจริง จับต้องสัมผัสได้ในความรักความสัมพันธ์ของคนทุกคน ตัวละครที่โตขึ้นต่างก็เข้าใจความรักที่ตรงความจริงมากที่สุด จากคืนแสนหวานในเวียนนา บ่ายหฤหรรษ์ในปารีส และการตื่นจากฝันมาเจอความจริงในกรีซ เผยให้เห็นว่า ตอนจบของนิยายไม่ใช่ live together happily ever after เสมอไป
ทั้งสามเรื่องได้คะแนนจาก imdb 8.1, 8.1 และ 8.0 ตามลำดับ Before Sunset และ Before Midnight ได้เข้าชิงออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมด้วยครับ
(อ่านต่อในรีพลาย พอดีมันเกิน 10,000 ตัวอักษรแล้ว)
https://www.facebook.com/overhyp
อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก