ปัญหาทางบ้านของเด็กวัยรุ่นที่ไม่ได้เกเรอะไร

สวัสดีครับ ผมพึ่งเคยจะโพสพันทิปเป็นครั้งแรก ยังไงก็ขอคำปรึกษาด้วยนะครับ  อาจจะยาวสักหน่อย
    สวัสดีครับ ผมชื่อแชมป์ เป็น ผู้ชาย ที่ชอบ ผู้ชาย ตอนนี้ เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนในกรุงเทพ บ้านอยู่แถบชานเมือง  ผมเป็นคนที่การเรียนดี กิจกรรมดี เป็นคนดี เป็นที่รักของทุกๆคน แต่ก็ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับว่า จะมีปัญหากับทางครอบครัว ผมโตมาในสังคมแบบที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย เป็นคนเดินดินธรรมดา ผมโตมาตั้งแต่จำความได้ ผมเข้าใจครับว่า ทางบ้านผมรายได้ก็อยู่ในระดับปานกลาง พอมีพอกิน พอใช้  แต่เมื่อโตขึ้น ความจำเป็นของเด็กวัยรุ่นย่อมมากขึ้น เด็กคนอื่นๆ ก็อาจจะได้ของขวัญจากพ่อแม่ ในวันเกิดของตัวเอง แต่ผมกลับไม่เคยได้เลย ผมก็เข้าใจอีกแหละว่าแกคงไม่มีเงินไปซื้อ นับจนวันนี้ผมก็ไม่เคยได้อะไร  เพื่อนคนอื่นๆ พ่อแม่ซื้อของใช้จำเป็นให้ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และอีกหลายๆอย่างที่ฮิตกัน ผมเคยขอแกซื้อให้  แต่ก็ไม่ซื้อให้ ผมก็คงต้องเหมือนเดิมแหละ แกคงไม่มีเงิน  ในบางครั้งผมไปเที่ยวบ้านเพื่อน  ผมชอบนะที่เห็นเพื่อนสนิทกับพ่อแม่ พูดกับได้อย่างสนิทใจ พูดกันได้เหมือนเพื่อนคุยกับคุยได้ทุกอย่าง  แต่กลับเป็นว่า ที่บ้านผมกลับแบ่งชั้นวรรณอย่างชัดเจน ว่า นี่เป็นแม่นะ นี่เป็นพ่อนะ นี่เป็นพี่นะ ทำให้ในเรื่องบางเรื่องผมไม่กล้าที่จะพูด ด้วย จนครั้งนึง ผมมีปัญหาที่เกิดขึ้นที่ โรงเรียน แม่ผมรู้เข้า มันเป็นปัญหาที่ไม่ใหญ่เท่าไรนัก แกก็มาบอกกับผมว่า ถ้ามีปัญหาอะไร ก็บอกแกได้ เดี๋ยวแกช่วยให้คำปรึกษา คอยอยู่ข้างๆ เสมอผมก็ดีใจนะที่อย่างน้อยอาจจะมีแม่คอยอยู่ข้างๆ และผ่านไปไม่นาน ผมมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน เป็นปัญหาใหญ่พอควรเลยแหละ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผมก็คิดว่าอย่างน้อยแม่คงข่วยให้คำปรึกษาเราได้ แต่ไม่เลย ไม่เป็นอย่างที่คิด พอผมเข้าไปหา เพื่อขอคำปรึกษา ว่า “แม่ หนูมีปัญหาอะช่วยหนูหน่อย” แม่ยังไม่ทันฟังอะไรเลย กลับพูดตอบกลับมาว่า “ปัญหาของเอ็ง เอ็งก็แก้เองสิ มาบอกแม่ทำไม “ ตอนนั้นผมช็อตเลยครับ ทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว นับตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยเล่าอะไรให้ที่บ้านฟังเลย  แม้ตอนทานข้าว ก็จะนั่งทานข้าวด้วยกัน พี่ผมก็จะเล่าเรื่องตอนทำงานอย่างโน้นอย่างนี้ได้ทุกวัน แทนที่ผมจะป็นคนเล่า ผมกลับเงียบ เพราะเหมือนมันฝังใจอะครับ ว่าถ้าเล่าไปแล้ว เขาอาจจะไม่อยากฟัง หรืออาจจะด่าเรากลับมาอีก ทั้งเรื่องที่บ้านที่โรงเรียนว่ามีปัญหาอะไรผมก็ไม่เคยเล่า ผมกลับต้องเป็นคนแก้ปัญหาเองทั้งหมด อาจจะดีบ้างไม่ดีบ้าง บางทีผมก็เก็บกดนะครับ ที่ไม่ได้พูดออกไป บางครั้งผมมีปัญหากับที่บ้าน ไปเรียนผมก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง มีปัญหาที่ โรงเรียน ก็ไม่เคยเล่าให้ที่บ้านฟัง  ผมได้ไปเรียน ปวช. ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ ซึ่งได้ทุนการศึกษา (ผมเอาเกรดที่ทำได้ยื่นขอทุน) พ่อแม่ก็เห็นดีเห็นงานด้วยยุยงส่งเสริมอีกต่างหาก  และระยะทางจากบ้านไป โรงเรียนมันไกลมาก เพราะบ้านผมอยู่แถบชานเมือง ซึ่งผมต้องขับรถมอเตอร์ไซออกไปจอดที่จอดรถเพื่อขึ้นรถตู้ครั้งละ 35 บาท ไปกลับ 70 บาท ค่ารถเมจากอนุเสาวรี ไปโรงเรียนอีก 11 บาท ไปกลับ 22 บาท รวมแล้ว 92 บาท ซึ่งผมได้ตังไปโรงเรียนเพียงแค่วันละ 100 บาท ผมเคยขอขึ้นค่าขนม เพื่อเป็นค่าข้าวตอนกลางวันอีก 50 บาท แต่ผมกลับไม่ได้ ผมจึงต้องใช้เงินวันละ 100 บาท ตลอด ซึ่งก็ไม่ได้ทั้งกินข้าวเช้าเพราะต้องไปเรียนแต่เช้า ข้าวกลางวันไม่ได้กินเพราะไม่มีเงิน ต้องเก็บไว้เป็นค่ารถกลับบ้าน  ผมจึงตัดสินใจขอพ่อกับแม่ทำงาน เพราะเรียนเลิกประมาณต่อนบ่ายสองบ่ายสาม  ตอนแรกเขาก็ไม่ให้ทำนะ เพราะว่าไหนจะกลับบ้านไหนจะค่าใช้จ่ายเดินทางต่างๆ นาๆ ผมก็เสนอว่าไปอยู่หออีก เขาก็ไม่ให้อีก เขาก็อ้างนุ้นนี่นั้นเรื่อย ผมก็เลย แหกคำห้ามของเขาไปสมัครงาน ไปอยู่หอโดยจ่ายค่าเช่าเอง พอไปอยู่ผมก็รู้สึกโอเคกว่าตอนที่ไปกลับบ้าน และแถมเห็นดีเห็นงานกับผมอีกว่า แบบว่า ก็ดีนะจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ ทำงานมีเงินใช้   เงินเหลือใช้มากขึ้น แต่เขาก็ยังให้อยู่วันละ 100 บาท อาทิตนึงจะได้ อาทิตย์ละ 500 บาท ทำได้สักพักนึง ประมาน 1 ปี เป็นช่วงจะต้องจบการศึกษา คือต้องมีวิชาโครงการโครงงานต่างๆนาๆ ทำให้ผมไม่มีเวลาไปทำงาน ทำให้ผมมีปัญหาในเรื่องค่าใช้จ่าย ผมแก้ปัญหาจนแล้วจนรอด ก็ลยตัดสินใจบอกทางบ้านว่ามีปัญหา คราวนี้เขาด่าว่าผมเป็นชุดเลย ว่าเตือนแล้วอย่างโน้นอย่างนี้ ผมก็เลยได้กลับไปอยู่บ้าน จและก็ไปกลับเหมือนเดิมบางทีผมก็ต้องกลับ 3 4 ทุ่ม 4 5 ทุ่มบ้างเพราะงานเยอะ ผมเลยตัดสินใจขอซื้อคอมพิวเตอร์อีก แต่ก็อย่างว่าอีกแหละครับ เขาก็ไม่ซื้อให้จนผมต้องเก็บเงินวันละเล็กละน้อย จนได้ คอมพิวเตอร์ ตั้งโต๊ะ มือ 2 มา เพราะไม่มีปัญญาซื้อ มือ 1 หรอกครับ แต่มันก็ใช้ได้ ผมก็ใช้มันจนจบการศึกษาได้เกรด 3 กว่า เกือบ 4 เป็นที่น่าพอใจ ระหว่างปิดเทอม เข้ามหาลัย ผมก็เลยไปสมัครงาน แต่เป็นอีกบริษัทนึง ผมได้ค่าจ้างเงินเดือนวันละ 500 บาทตกเดือนละ 10,500 บาท ประมาณนี้ ก็ซื้อโทรศัพท์ให้แม่ใหม่ (ราคาไม่แพง มือ 2 แต่ได้ของดีมา) ใน OLX จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟให้ พาไปกินของดีๆ ตอนนั้นผมก็เลยตัดสินใจว่าไหนๆก็มีงานทำแล้ว ก็เลยจะซื้อโทรศัพท์ใหม่ ให้แม่รูดบัตรซื้อให้ แล้วตัวผมจะผ่อนเอง  แต่ก็กลับว่าไม่ให้ซื้อ เพราะผมก็อยากจะได้เครื่องที่ดีๆ ไปเลย ราคา หมื่นกว่าบาท ผมก็เลยตัดสินใจไปหาเพื่อน เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก และสนิทกับทั้งพ่อและแม่เพื่อนเลยก็ว่าได้ ก็เลยขอให้เขาช่วยรูดโทรศัพท์ให้หน่อย เนื่องด้วยผมเคยช่วยครอบครัวเพื่อนหลายครั้ง พ่อเพื่อนก็เลยตัดสินใจรูดให้ ผมก็ได้มาเครื่องละ หมื่นกว่าบาท ผ่อน 12 เดือน เดือนละ  พัน กว่าบาท เดือนแรกๆ ก็พอไปได้ ก็มีเงินใช้เรื่อยๆ  จนวันเปิดเทอมขอมหาวิทยาลัย ผมต้องลาออกจากงาน แต่ก็ยังมีเงินเหลือจากเงินเดือนอยู่ ช่วงที่ผมจะเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็ได้ปรึกษากับทางบ้านว่า มหาวิทยาลัยไหนดี ผมเข้ารัฐบาลไม่ได้เพราะเนื่องจาก ผมเรียนจบ วุฒิ ปวช . เลยตั้งเข้าเอกชน พ่อแม่ผผมก็เห็นดีเห็นงามด้วยอีก  และเขาก็บอกผมว่าไปเรียนไกล เดี๋ยวยังไงจะซื้อรถให้ขับไปมหาลัย ผมก็ดีใจ ครั้งนึงในชีวิต เขาจะซื้อของแพงๆให้ ผมก็ไม่คิดหรอกครับว่าจะต้อง มือ 1 ขอมือ 2 ถูกๆ พอขับได้ก็พอ  แต่พอผมเปิดเรียน ผมบอกเรื่องรถ ผมหาข้อมูลให้ทุกอย่าง ราคา ไม่เกิน 2 แสนเลย เขาก็กลับตอบกลับมาอีกว่า ไม่มีเงิน รถไม่ต้องเอาหรอก ไปกลับบ้าน อะดีแล้ว ผมนี่เหนื่อยเลยครับ ผมกู้ กรอ.เพราะเนื่องจากผมคิดว่าต้องแบ่งเบาภาระให้พ่อแม่ให้มากที่สุดเพราะคิดว่าเขาคงไม่มีเงินมาส่งเสียเราเรียนถึงขั้นมหาลัยเอกชนหรอก ผมเลยตัดสินใจกู้ และขอค่าครองชีพจาก กรอ. อีก 2,200 บาท  และผมก็ตกลงกับทางบ้านว่า ขอเงินวันละ 200 และเงินค่าครองชีพขอเป็น ค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์ ค่าจิปาถะในมหาลัยที่จะต้องจ่าย และชุดนักศึกษา ผมก็ใช้เงินที่เหลือจากเงินเดือนนั้นมาใช้  จากนั้นเรียนไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มมีปัญหา เพราะว่า เงินที่เหลือในบัญชีนั้นหมด  ตอนแรกผมคิดว่าเงินค่าครองชีพจะออกในเดือนที่เราเซ็นสัญญา แต่ไม่เลย ไปออกในเดือน พฤศจิกายน เท่ากับว่าผมต้องมีเงินขาดมือ ประมาน 2-3 เดือน ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้ทำงานแล้ว  แล้วก็มีทั้งงานที่มหาลัย กิจกรรมต่างๆ มากมายททำให้ผมต้องกลับดึก ผมเลยตัดสินใจอยู่หอ ซึ่งหารกับเพื่อน 2 คน ตกแล้วก็เสียคนละ ประมาน 3,000 กว่าบาท เพราะตอนนั้นผมกลับบ้านที ก็ 5 ทุ่ม ไปเรียนที ก็ ตี 5 กว่าจะเดินทางไปถึง เพราะรถติดก็ประมาน เกือบๆ 8 โมงกว่าจะถึง ผมก็เลยได้อยู่หอ ค่ามัดจำออกเองอะไรเองทุกอย่าง ผมก็ได้เงินวัละ 200 บาทและได้เสาร์อาทิตย์อีก 500 บาท คำนวนดูแล้ว เดือนๆนึง เสียกับผม แค่ค่าขนมเกือบเดือนละ 6000 บาท และไหนจะต้องเสียต่าโทรศัพท์อีก  และเงินค่าครองชีพ ให้พ่อกับแม่ เท่ากับว่า ผมได้กินแค่ค่าขนม  จนมีปัญหาอีกที่ว่า  เพื่อนที่อยู่ด้วยกัน กลับย้ายออกเพียงแค่มาอยู่เพียงอาทิตย์เดียว เท่ากับว่าเกือบทั้งเดือนผมต้องออกค่าห้องผมคนเดียว ปรึกษาที่บ้าน อีก  เขาก็ว่าผมอีก ยาวเลยครับ ตอนนั้นยังย้ายกลับบ้านไม่ได้เพราะงานยังเยอะอยู่ ผมเลยย้ายไปอยู่กับเพื่อนอีกหอนึงซึ่ง เพื่อนอยู่กัน 2 คนแล้ว ผมย้ายไปอยู่ด้วย ก็เป็น 3 แรกๆก็โอเคดี แต่ก็มาติดเรื่องค่าเช่าห้องนี่แหละ เพราะเงิน จาก กรอ.ไม่ออกสักที จ่กที่วางแผนการเงินไว้ก็เหลวหมด พ่อกับแม่ผมก็ว่า ยกใหญ่เลยครับ จนกลับไปอยู่บ้าน ผมก็โอเคขึ้นในระดับนึงเพราะเปลี่ยนเทอมแล้ว วิชาผมก็เลือกลงสายๆหน่อย ก็ไม่ต้องรีบตื่นอะไรมากมาย ผมก็ไปกลับได้ กิจกรรมไม่เยอะ ผมก็ใช้เงิน แค่ วันละ 200 บาท ไม่มีการให้ เสาร์ อาทิตย์ ผมก็โอเคเพราะเสาร์อาทิตย์ไม่มีเรียน  เงิน ค่าครองชีพเดือนนี้ออกมา ผมขอเอาไปซื้อเครื่องปริ้นเพราะเนื่องจากทำงานการบ้าน ตอนนี้ผมย้ายกลับมาอยู่บ้านเท่ากับว่า เขาให้ค่าขนมเพียงเดือน ละ 4000 บาท และไม่ได้เสียค่า หอ ค่าอื่นๆที่เคยเสีย ผมก็พยายามเก็บตังจากที่ได้วันละ 200 นั่นแหละ เพื่อที่ซื้อของใช้ที่จำเป็น และไปเที่ยวตามใจเราบ้าง  แต่เขาก็กลับบอกว่าเราอะฟุ่มเฟือยไม่รู้จักประหยัดตัง  ผมก็คิดนะว่าผมใช้เงินน้อยลงจากเดือนอื่นๆแทบจะไม่ขออะไรเพิ่ม จนทะเลาะกันเรื่องนี้  ผมบอกว่าให้แม่ให้เงินปกติ แค่ จันทร์-ศุกร์ วันละ 200 บาท  วัน พฤ ผมหยุดวันนึง  แต่แม่เขาจะไม่ให้เงินผมวันพฤ เพราะผมจะเอาตังที่ได้จากวันพฤ นั้นแหละ ไปซื้อ ของกินของใช้ หนังสือ และของอีกต่างๆนาๆ จนทะเลาะกันยกใหญ่ ผมก็บอกนะว่า ให้ แค่นี้แหละ จะไม่ขอเพิ่มอีกเพื่อไปซื้อ เพราะถ้าเขาไม่ให้ผมก็ไม่มีเงินเก็บไปซื้อ ผมก็พูดไป ว่า “หนูก็เก็บเงินนะ เอาไปซื้อของใชช้เอง ไม่เคยขอเพิ่มเลย” ผมก็พูดเชิงแบบว่า ประหยัดแล้วนะ ดีใจไหม อะไรประมานนี้ แต่กลับโดนตอบกลับมาอีกว่า  เงินที่เอ็งเก็บก็เงินที่แม่ให้นั้นแหละ  เลิกขอเงินแม่แล้วค่อยมาว่ากัน  ผมก็เงิบเลย  ผมก็อยากทำงานนะ  แต่เรียนมหาลัย บ้านอยู่ไกลนี่อุปสรรคจริงๆ จนเงินคงที่และลงตัว ผมก็อยู่บ้านอย่างสบายใจนิดหน่อย งานก็เริ่มเยอะขึ้นเพราะเรียนเพิ่มขึ้น ต้องสืบค้นสืบหาข้อมูล  ผมก็เลยขอติดอินเตอร์เน็ทที่บ้าน พูแรกๆ จะติดดีมั้ยเราก็อธิบายให้ฟังว่า มันก็ดีนะ เสียเดือนละไม่เท่าไร ได้ใช้กันทุดคนในบ้าน พ่อก็พูดว่า “ก็ช่วยๆกัน หารกัน คนละ 100 กว่าบาท แชมป์ก็ออกเยอะหน่อยใช้เยอะสุด 200 “ ผมก็โอเคไม่ได้ว่าไร พี่ชายผมก็พูดขึ้นมาอีกว่า “เอ็งอยู่บ้าน เอ็งใช้ เน็ทบ้าน  อยู่มหาลัยใช้เน็ท มหาลัย  ละพี่ล่ะ อยู่บ้านใช้เน็ทบ้าน ละที่ทำงานพี่ล่ะจะใช้อะไร “ เหมือนเขาจะไม่ยอมเสีย ที่ช่วยกันหาร ผมก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวออกให้เองก็ได้ แค่ 6 ร้อยกว่าบาทเนี่ยะ เดี๋ยวผมจะเอาเงินที่ ไป มหาลัย เก็บเอามาจ่ายค่าเน็ตเอง เพราะมันจำเป็นต้องใช้งาน ก็โดนแย้งจากพี่ชายอีก ว่า  “เงินที่เอ็งเก็บมาจ่ายค่าเน็ท ก็มาจากแม่เอ็ง เอ็งเรียนจบแล้วทำงานได้ก่อนค่อยติด” ผมนี่ช็อตอีกแล้ว คือผมต้องการใช้เน็ทเพื่อทำงานการบ้านมหาลัยตอนนี้  แต่ก็อีกแหละ เขาก็บอกอีกอะว่าแบบว่า ค่าใช้จ่ายเยอะ ค่าโน้นค่านี่ค่านั่น สรุปแล้ว ก็ไม่ได้อีก ผมนี่ไม่รู้จะพูดยังไงเลย  แล้วพี่ก็เปรียบเทียบอีกว่า “ตอนที่เขาเรียน เห็นจะต้องใช้เน็ทใช้ไรแบบนี้เลย เอ็งจะใช้ไปทำไม” ซึ่งพี่ผมเรียนก็ ปี 2546 ซึ่ง 10 กว่าปี แล้ว ยุคสมัยเปลี่ยนเทคโนโลยีก็เปลี่ยน การเรียนการสอนก็อิงเทคโนโลยีมากขึ้น มันเอามาเปรียบกันไม่ได้ จนแล้วจนรดผมก็ไม่อยากจะเถียง  ประหยัดให้ตายยังไง เขาก็ยังเห็นว่าใช้ฟุ่มเฟือย
ผมรู้สึกเหนื่อยท้อแท้ขึ้นมาทันทีว่า  บางทีสิ่งที่ผมจำเป็นทำไมเขาไม่ทำให้ผม บ้าง สิ่งที่ผมต้องการก็ไม่เคยสรรหาให้ผม  สิ่งที่มันดีเขาก็ชื่อชม แต่พอผมล้ม แต่บางทีก็เหมือนกระทืบซ้ำ ผมอยากได้กำลังใจจากครอบครัวบ้าง ไม่ใช่แบบนี้ ผมเรียนดี เรียนเก่ง เป็นผู้นำในทุกๆ เรื่องตลอด  แต่ผมก็คิดว่าผมทำเพื่ออนาคตตัวผมเอง  ผมทำอะไร ดีเลิศแค่ไหน พ่อแม่ครอบครัวเขาก็ไม่เคยสนใจอะไรผมเลย บางทีเหมือนผมอยู่คนเดียวบนโลกด้วยซ้ำไป

ขออภัยนะครับที่อาจจะมีข้อความที่ยาวไป อาจจะเรียบเรียงเนื้อเรื่องไม่ค่อยดีนัก เพราะเขียนออกมาตามความรู้สึก  และผมอยากได้ความคิดเห็นว่าผมควรจะทำไงดี ผมเหมือนเป็นโรคซึมเศร้าด้วยแหละครับ ยังไงก็ขอบคุณทุกคนนะครับที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่