วาเลนไทน์นี้...ที่...Macau
ปีนี้เราแพลนไปฉลองวาเลนไทน์ที่มาเก๊าค่ะ
แต่วันวาเลนไทน์ในปีนี้ดันตรงกับวันเสาร์พอดี
แล้วโรงแรมที่มาเก๊าก็จะอัพราคาขึ้นมาอีกพอสมควร
ฉะนั้นหากเลี่ยงได้แนะนำว่าไม่ควรมาพักคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์นะคะ
เราก็เลยตัดสินใจมาพักเร็วขึ้นก่อนวาเลนไทน์จะมาถึง
พอหลีกหนีราคาห้องพักได้แล้ว ลืมคิดถึงวันตรุษจีนไปซะอีก
อุตส่าห์มาก่อนเกือบ 10 วันก็ยังไม่วายเจอกับคลื่นมหาชนอันล้นหลาม
โดยเฉพาะ Senado Square อันเป็น Landmark ของมาเก๊า
เรื่องที่คิดว่าจะตามรอยรายการเปรี้ยวปากหรือ Pantip เป็นอันตัดทิ้ง
บอกตัวเองว่ากินอะไรง่ายๆและรวดเร็วเหอะ
ว่าแล้วก็พุ่งตรงไปยังร้านขายขนมปังระหว่างทางกลับโรงแรม
ยังดีที่ได้เชอร์รี่มาอีกครึ่งกิโล ราคา 30 เหรียญพอกล้อมแกล้ม
วันแรกเรามาถึงประมาณบ่ายสองซึ่งเราตั้งใจเลือกเวลานี้
เพราะปกติโรงแรมที่ต่างประเทศมักจะให้เชคอินไม่บ่ายสองก็บ่ายสามประจำ
ซึ่งมาถึงเราก็อยากจะเข้าห้องพักไปเก็บกระเปํา พักผ่อนและเปลี่ยนชุดก่อน
เราเลือกนั่ง Taxi มาที่โรงแรม Ole London เสียค่ามิเตอร์ไป 77 เหรียญ
ซึ่งเราตั้งใจวว่าจะใช้บริการ Taxi ในวันกลับด้วยเช่นกัน
เพราะราคาพอๆกับที่เรานั่งจากหมอชิตไปสุวรรณภูมิเลยค่ะ
ส่วนการเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆเราเลือกทั้งเดิน นั่งรถเมล์และนั่งรถฟรีคาสิโน
วันแรกที่มาถึงก็บ่ายๆ แต่กว่าจะออกจากโรงแรมก็เย็นนั่นแหละค่ะ
มาเก๊าเป็นทริปที่เราขาดแรงบันดาลใจในการแพลนมาก
ขนาดมาถึงโรงแรมแล้วยังไม่รู้ว่าจะเลือกไปที่ไหนก่อนดี
ตัดสินใจได้ในนาทีสุดท้ายก่อนออกจากโรงแรมก็คือไป Senado Square ก่อนละกัน
พอมาถึงจตุรัสแห่งนี้ปรากฏว่าสถานที่ถูกตกแต่งไว้ต้อนรับตรุษจีนที่ใกล้จะมาถึง
คนเยอะมากจนเราเลือกที่จะไม่แวะตามหาร้านเด็ดร้านดังของที่นี่
เดินมาไม่ไกลก็จะเจอกับซากโบสถ์เซนต์ปอลซึ่งเป็นอีกหนึ่ง Landmark ที่ต้องแชะ
ลืมบอกว่าวันจันทร์ทางพิพิธภัณฑ์มาเก๊าไม่ได้เปิดนะคะ อดชมไปโดยปริยาย
แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพอข้ามถนนจากฝั่งเซนาโด้ไป
เราก็จะเจอกับสำนักงานเทศบาลมาเก๊าหรือ Loyal Senate หรือ Leal Senado
ภายในเปิดให้เข้าชมฟรีนะคะ สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมและดอกไม้หลากสีสัน
จบวันแรกไปด้วยอาการหนาวสั่นเพราะก่อนมาเช็คอุณหภูมิว่าประมาณ 18-20 องศา
เราเลยเตรียมเสื้อผ้ามาแบบสบายๆเหมือนตอนไปเที่ยวที่ปารีส
แต่ปรากฏว่าพอมาถึงอุณหภูมิกลับกลายเป็น 13-14 องศา
ซึ่งหนาววมากมายสำหรับคนขึ้หนาวอย่างเรา
แถมสายตาของมาเก๊าเกอร์ (ขอก็อปนิวยอร์กเกอร์เค้ามา) ต่างก็มองมาที่เรา
ประมาณว่าคนอื่นเค้าแต่ง Winter แบบจัดเต็ม
แต่ยัยคนนี้แต่งมาซะ Summer แบบไม่แคร์สื่อ
อยากจะบอกอาม๊า อากงเหลือเกินว่า อั๊วม่ายล่ายตั้งจายจา Summer เลย
...................................................................................................................
วันที่สอง
ตื่นมาแต่เช้าเพื่อไปทาน Breakfast ของโรงแรม หัวละ 38 เหรียญ
อาหารก็มีทั้งข้าวต้มเปล่า ข้าวผัด คะน้าผัดน้ำมันหอย ไชวโป๊วกับผักคล้ายถั่วฝักยาว
ส่วนอาหารฝรั่งก็มีไข่ดาว แฮม ไส้กรอก สลัด ขนมปัง ไข่ลวกประมาณนี้นะคะ
ทานเสร็จตั้งใจว่าจะเดินไปวัดอาม่าแต่ดันดูแผนที่ผิดแทนที่จะเลี้ยวซ้ายดันเลี้ยวขวา
ที่นี้ก็หลงยาวไปเลยค่ะ ยังดีที่ตัดสินใจถามจนรู้ว่าเราต้องย้อนกลับไปทางเดิม
ตอนนั้นเลยเลือกนั่งรถเมล์แทน ไม่ดงไม่เดินมันละ
รอรถเมล์สาย 1 เสียค่ารถคนละ 3.20 เหรียญ
ตอนแรกเกือบจะรอขึ้นสาย 26 แล้วค่ะ แต่เสียคนละ 5 เหรียญเลยเปลี่ยนใจ
พอมาถึงวัดอาม่า ป้ายบนรถจะเขียนว่า A-mo Templo ถ้าจำไม่ผิดนะคะ
เราตั้งใจมาไหว้ขอพรโดยเฉพาะเพราะอ่านทำนายดวงชะตาสำหรับราศีเรา
เค้าแนะนำว่าให้ไปไหว้ขอพรยังวัดที่มีอายุเก่าแก่มากๆ
ซึ่งเป็นจังหวะที่เรามีโอกาสได้มาเที่ยวที่มาเก๊าพอดี
เราเลย List ไว้ในแพลนแล้วว่าที่นี่เราต้องมาให้ได้ หลงยังไงก็ต้องหาให้เจอ
จบจากวัดอาม่าข้ามมาฝั่งตรงข้ามเพื่อจะรอรถไป Fisherman's Wharf
ถามน้องๆแถวนั้น บอกว่าต้องนั่งสาย 10 ค่ะไปลง
ไอ้เราก็เห็นแต่ 10A ผ่านมาหลายคันก็ไม่ขึ้น
จนสาย 10 ผ่านมารีบโบกและหยอดเงินไป คนละ 3.20 เหรียญ
ฉลาดมากเพราะดันถามคนขับหลังจากหยอดเงินแล้ว
คนขับรีบบอกว่าไม่ใช่สาย 10 จ้า มันต้อง 10A นะจ๊ะ
อ้าวแล้วเงินที่หยอดไปแล้วหล่ะจะทำยังไง สรุปก็เสียค่าโง่ไปไง
ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการนั่งรถเมล์ในระยะทางที่สั้นที่สุดในชีวิต
หลังจากนั้นพอเจอสาย 10A ก็ลุ้นอีกว่าจะลงตรงไหนดี
ยังดีที่จำได้ว่าอยู่ตรงข้ามกับคาสิโน Sands
พอป้ายบนรถบอก Next Station ชื่ออะไรไม่รู้ยาวเหยียดเลยแต่มี /Sands ปิดท้าย
เรารีบตัดสินใจลงเลยค่ะ และเมื่อหันไปมองฝั่งตรงข้ามก็ใจชื้นว่าเรามาถูกที่แล้วน้ะ
มองไปที่ตึกข้างหน้าเห็นคนกำลังโรยตัวอยู่นอกอาคารเลยถ่ายรูปมาให้ชมค่ะ
ข้ามถนนมาแล้วเดินผ่านทะลุคาสิโนออกมาก็จะเจอสถาปัตยกรรมอาคารทรงยุโรป
ไฮไลท์ของที่นี่ก็คงไม่พ้นโซนอาณาจักรกรีกโรมัน
ส่วนอาณาจักรราชวงศ์ถังของจีนเนี่ยเราไม่เห็นเลยค่ะ
ไม่แน่ใจว่าตาไม่ดีหรือเค้าปิดปรับปรุงนะเพราะเห็นปิดอยู่หลายจุดเลยค่ะ
สรุปเราไม่ประทับใจที่นี่เลยค่ะ ไม่น่ามาเลยรมณ์เสีย
โมโหแล้วก็หิวก็เลยเลือกมานั่งทานอาหารไทยที่ร้าน Talay Thai กันค่ะ
ระหว่างรออาหารก็เลยดับหิวด้วยการถ่ายรูปซะเลย
อาหารที่สั่งคือทอดมันกุ้ง กับ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง จานละ 88 เหรียญ ข้าวเปล่าจานละ 15 เหรียญ
กาแฟเอสเปรสโซ่ แก้วละ 20 เหรียญ โอวัลตินร้อนเซ็ตละ 26 เหรียญ
รสชาติอาหารอร่อยดีค่ะ การบริการโดยน้องๆคนไทยก็เยี่ยมค่ะ
เสียอย่างเดียวข้าวแข็งเหมือนตักไว้นานแล้วไม่ใช่ข้าวไม่สุกนะคะ
ทานเสร็จว่าจะนั่งรถเมล์ไปที่เกาะ Coloane
เพื่อตามหาทาร์ตไข่อันเลื่องชื่อ แห่ง Lord's Stow ร้านแรกต้นตำรับ
แต่พอแฟนได้ยินน้องๆเล่าถึงทริปชายแดนจีนว่ามีของขายเต็มสองข้างทาง
เราเลยต้องเบนเข็มข้ามไป Casino Sands ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เพื่อไปรอขึ้นรถคาสิโนฟรีไปที่ Portas do Cerco Barrier Gate
พอมาถึงที่จอดรถก็ต้องขึ้นสะพานลอยแล้วเดินไปที่ประตูชัยแแห่งนี้
หลังจากนั้นก็ตามฝูงคลื่นมหาชนนับเรือนหมื่นไปเรื่อยๆ
ผ่านด่านแรกเข้าไปได้นึกว่าเรียบร้อยแล้วยังแอบดดีใจว่าง่ายจัง
ปรากฏว่าต้องไปผ่านด่านสองคราวนี้แหละที่ต้องเสียเงินค่าวีซ่า
แต่โชคดีเจอสองสาวบอกราคาวีซ่ามาว่าคนละ 350 เหรียญแถมรอเรื่องอีก 1 ชั่วโมง
เราเลยตัดสินใจไม่ไปมันแล้วเพราะคงไม่คุ้มกับเวลาที่มีอยู่อันน้อยนิด
แต่ตอนออกนี่ก็คิดอยู่ว่าแล้วชั้นจะกลับไปทางไหนเนี่ย
ยังดีที่มีทางออกอีกทางโดยมีเจ้าหน้าที่รอส่งแขกต่างด้าวอย่างเราอยู่
นี่ก็เป็นอีกทริปที่สั้นอีกหนึ่งทริปซึ่งอีกนิดเดียวก็จะไปถึงจีนแล้วเรา
เสียดายที่เค้าห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีรูปมาอวด
กลับออกมาได้ก็มุ่งไปขึ้นรถฟรีของคาสิโน The Venetian
ระหว่างทางเห็นเค้ากำลังถมทะเลเพื่อสร้างเกาะใหม่ขี้นมาอีกค่ะ
ซึ่งนี่จะเป็นทริปส่งท้ายสำหรับมาเก๊าของเราสองคน
โดยเป้าหมายสำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จคือตามไปชิมทาร์ตไข่ Lord Stow's Bakery
รสชาติสมคำร่ำลือ มิเสียแรงที่ตามหากันจนเจอ
ชิมเสร็จก็เดินชมคลองเวนิสจำลองไปแบบสวยๆ
หลังจากนั้นก็ไปเดินดูเค้าเล่นคาสิโนแบบเพลินๆ
คาสิโนไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เลยถ่ายก้นหนุ่มๆมาให้ดูแทน
ชมเพลินจนพลาดรถรอบสุดท้ายที่จะไปที่ท่าเรือ Yuet Tung Pier ซึ่งใกล้กับโรงแรม Ole London
เพราะรอบสุดท้ายที่จะไปท่าเรือนี้คือ 18:00 น.
ซึ่งอ่านเน็ตมาก็เข้าใจว่ามีจนดึกปรากฏว่ามันไม่ใช่อ่ะ
ตอนนั้นเหนื่อยมากละ เลยขึ้น Taxi กลับมันซะเลย โดนไป 85 เหรียญค่ะคราวนี้
รอขึ้น Taxiเลยแชะรูปคาสิโนฝั่งตรงข้ามมาคะ
วันสุดท้ายแพ็กของทานมาม่ากะชงไมโลที่เตรียมมาก็พร้อมไปสนามบินแล้วค่ะ
ขากลับยังเลือกนั่ง Taxi เหมือนเดิม เสียไป 85 เหรียญ
แต่โดนชาร์จค่ากระเปําอีกใบละ 3 เหรียญ ไม่เข้าใจว่าขามาไม่เห็นชาร์จเลย
แถมไม่ได้มาช่วยยกขึ้นยกลงให้แต่อย่างใด
และมีกระเปําเดินทางแค่ 1 ใบ ส่วนอีกใบเป็นเป้ของคุณแฟน
หากรู้ว่าวางไว้ท้ายรถจะโดนชาร์จด้วย เราคงเลือกเอาเป้มาไว้ในรถดีกว่า
จ่ายเงินไปแบบงงุนงง แต่ก็โอเคเพราะไม่ได้แพงอะไร
เงินมาเก๊าที่เหลือ เราพยายามเอาไปกดตู้ซื้อน้ำกับขนมให้หมด
เพราะกลับไทยก็หาที่แลกคืนยาก เหลือไว้ดูต่างหน้าแค่ 1 MOP พอให้ได้ระลึกถึง
ลาแล้วหนามาเก๊า See you again for Sure!
[img]http://f.ptcdn.info/393/028/000/1423806076-DSCN7442JP-o.jpg[/img
[CR] วาเลนไทน์นี้...ที่...Macau
ปีนี้เราแพลนไปฉลองวาเลนไทน์ที่มาเก๊าค่ะ
แต่วันวาเลนไทน์ในปีนี้ดันตรงกับวันเสาร์พอดี
แล้วโรงแรมที่มาเก๊าก็จะอัพราคาขึ้นมาอีกพอสมควร
ฉะนั้นหากเลี่ยงได้แนะนำว่าไม่ควรมาพักคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์นะคะ
เราก็เลยตัดสินใจมาพักเร็วขึ้นก่อนวาเลนไทน์จะมาถึง
พอหลีกหนีราคาห้องพักได้แล้ว ลืมคิดถึงวันตรุษจีนไปซะอีก
อุตส่าห์มาก่อนเกือบ 10 วันก็ยังไม่วายเจอกับคลื่นมหาชนอันล้นหลาม
โดยเฉพาะ Senado Square อันเป็น Landmark ของมาเก๊า
เรื่องที่คิดว่าจะตามรอยรายการเปรี้ยวปากหรือ Pantip เป็นอันตัดทิ้ง
บอกตัวเองว่ากินอะไรง่ายๆและรวดเร็วเหอะ
ว่าแล้วก็พุ่งตรงไปยังร้านขายขนมปังระหว่างทางกลับโรงแรม
ยังดีที่ได้เชอร์รี่มาอีกครึ่งกิโล ราคา 30 เหรียญพอกล้อมแกล้ม
วันแรกเรามาถึงประมาณบ่ายสองซึ่งเราตั้งใจเลือกเวลานี้
เพราะปกติโรงแรมที่ต่างประเทศมักจะให้เชคอินไม่บ่ายสองก็บ่ายสามประจำ
ซึ่งมาถึงเราก็อยากจะเข้าห้องพักไปเก็บกระเปํา พักผ่อนและเปลี่ยนชุดก่อน
เราเลือกนั่ง Taxi มาที่โรงแรม Ole London เสียค่ามิเตอร์ไป 77 เหรียญ
ซึ่งเราตั้งใจวว่าจะใช้บริการ Taxi ในวันกลับด้วยเช่นกัน
เพราะราคาพอๆกับที่เรานั่งจากหมอชิตไปสุวรรณภูมิเลยค่ะ
ส่วนการเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆเราเลือกทั้งเดิน นั่งรถเมล์และนั่งรถฟรีคาสิโน
วันแรกที่มาถึงก็บ่ายๆ แต่กว่าจะออกจากโรงแรมก็เย็นนั่นแหละค่ะ
มาเก๊าเป็นทริปที่เราขาดแรงบันดาลใจในการแพลนมาก
ขนาดมาถึงโรงแรมแล้วยังไม่รู้ว่าจะเลือกไปที่ไหนก่อนดี
ตัดสินใจได้ในนาทีสุดท้ายก่อนออกจากโรงแรมก็คือไป Senado Square ก่อนละกัน
พอมาถึงจตุรัสแห่งนี้ปรากฏว่าสถานที่ถูกตกแต่งไว้ต้อนรับตรุษจีนที่ใกล้จะมาถึง
คนเยอะมากจนเราเลือกที่จะไม่แวะตามหาร้านเด็ดร้านดังของที่นี่
เดินมาไม่ไกลก็จะเจอกับซากโบสถ์เซนต์ปอลซึ่งเป็นอีกหนึ่ง Landmark ที่ต้องแชะ
ลืมบอกว่าวันจันทร์ทางพิพิธภัณฑ์มาเก๊าไม่ได้เปิดนะคะ อดชมไปโดยปริยาย
แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพอข้ามถนนจากฝั่งเซนาโด้ไป
เราก็จะเจอกับสำนักงานเทศบาลมาเก๊าหรือ Loyal Senate หรือ Leal Senado
ภายในเปิดให้เข้าชมฟรีนะคะ สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมและดอกไม้หลากสีสัน
จบวันแรกไปด้วยอาการหนาวสั่นเพราะก่อนมาเช็คอุณหภูมิว่าประมาณ 18-20 องศา
เราเลยเตรียมเสื้อผ้ามาแบบสบายๆเหมือนตอนไปเที่ยวที่ปารีส
แต่ปรากฏว่าพอมาถึงอุณหภูมิกลับกลายเป็น 13-14 องศา
ซึ่งหนาววมากมายสำหรับคนขึ้หนาวอย่างเรา
แถมสายตาของมาเก๊าเกอร์ (ขอก็อปนิวยอร์กเกอร์เค้ามา) ต่างก็มองมาที่เรา
ประมาณว่าคนอื่นเค้าแต่ง Winter แบบจัดเต็ม
แต่ยัยคนนี้แต่งมาซะ Summer แบบไม่แคร์สื่อ
อยากจะบอกอาม๊า อากงเหลือเกินว่า อั๊วม่ายล่ายตั้งจายจา Summer เลย
...................................................................................................................
วันที่สอง
ตื่นมาแต่เช้าเพื่อไปทาน Breakfast ของโรงแรม หัวละ 38 เหรียญ
อาหารก็มีทั้งข้าวต้มเปล่า ข้าวผัด คะน้าผัดน้ำมันหอย ไชวโป๊วกับผักคล้ายถั่วฝักยาว
ส่วนอาหารฝรั่งก็มีไข่ดาว แฮม ไส้กรอก สลัด ขนมปัง ไข่ลวกประมาณนี้นะคะ
ทานเสร็จตั้งใจว่าจะเดินไปวัดอาม่าแต่ดันดูแผนที่ผิดแทนที่จะเลี้ยวซ้ายดันเลี้ยวขวา
ที่นี้ก็หลงยาวไปเลยค่ะ ยังดีที่ตัดสินใจถามจนรู้ว่าเราต้องย้อนกลับไปทางเดิม
ตอนนั้นเลยเลือกนั่งรถเมล์แทน ไม่ดงไม่เดินมันละ
รอรถเมล์สาย 1 เสียค่ารถคนละ 3.20 เหรียญ
ตอนแรกเกือบจะรอขึ้นสาย 26 แล้วค่ะ แต่เสียคนละ 5 เหรียญเลยเปลี่ยนใจ
พอมาถึงวัดอาม่า ป้ายบนรถจะเขียนว่า A-mo Templo ถ้าจำไม่ผิดนะคะ
เราตั้งใจมาไหว้ขอพรโดยเฉพาะเพราะอ่านทำนายดวงชะตาสำหรับราศีเรา
เค้าแนะนำว่าให้ไปไหว้ขอพรยังวัดที่มีอายุเก่าแก่มากๆ
ซึ่งเป็นจังหวะที่เรามีโอกาสได้มาเที่ยวที่มาเก๊าพอดี
เราเลย List ไว้ในแพลนแล้วว่าที่นี่เราต้องมาให้ได้ หลงยังไงก็ต้องหาให้เจอ
จบจากวัดอาม่าข้ามมาฝั่งตรงข้ามเพื่อจะรอรถไป Fisherman's Wharf
ถามน้องๆแถวนั้น บอกว่าต้องนั่งสาย 10 ค่ะไปลง
ไอ้เราก็เห็นแต่ 10A ผ่านมาหลายคันก็ไม่ขึ้น
จนสาย 10 ผ่านมารีบโบกและหยอดเงินไป คนละ 3.20 เหรียญ
ฉลาดมากเพราะดันถามคนขับหลังจากหยอดเงินแล้ว
คนขับรีบบอกว่าไม่ใช่สาย 10 จ้า มันต้อง 10A นะจ๊ะ
อ้าวแล้วเงินที่หยอดไปแล้วหล่ะจะทำยังไง สรุปก็เสียค่าโง่ไปไง
ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการนั่งรถเมล์ในระยะทางที่สั้นที่สุดในชีวิต
หลังจากนั้นพอเจอสาย 10A ก็ลุ้นอีกว่าจะลงตรงไหนดี
ยังดีที่จำได้ว่าอยู่ตรงข้ามกับคาสิโน Sands
พอป้ายบนรถบอก Next Station ชื่ออะไรไม่รู้ยาวเหยียดเลยแต่มี /Sands ปิดท้าย
เรารีบตัดสินใจลงเลยค่ะ และเมื่อหันไปมองฝั่งตรงข้ามก็ใจชื้นว่าเรามาถูกที่แล้วน้ะ
มองไปที่ตึกข้างหน้าเห็นคนกำลังโรยตัวอยู่นอกอาคารเลยถ่ายรูปมาให้ชมค่ะ
ข้ามถนนมาแล้วเดินผ่านทะลุคาสิโนออกมาก็จะเจอสถาปัตยกรรมอาคารทรงยุโรป
ไฮไลท์ของที่นี่ก็คงไม่พ้นโซนอาณาจักรกรีกโรมัน
ส่วนอาณาจักรราชวงศ์ถังของจีนเนี่ยเราไม่เห็นเลยค่ะ
ไม่แน่ใจว่าตาไม่ดีหรือเค้าปิดปรับปรุงนะเพราะเห็นปิดอยู่หลายจุดเลยค่ะ
สรุปเราไม่ประทับใจที่นี่เลยค่ะ ไม่น่ามาเลยรมณ์เสีย
โมโหแล้วก็หิวก็เลยเลือกมานั่งทานอาหารไทยที่ร้าน Talay Thai กันค่ะ
ระหว่างรออาหารก็เลยดับหิวด้วยการถ่ายรูปซะเลย
อาหารที่สั่งคือทอดมันกุ้ง กับ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง จานละ 88 เหรียญ ข้าวเปล่าจานละ 15 เหรียญ
กาแฟเอสเปรสโซ่ แก้วละ 20 เหรียญ โอวัลตินร้อนเซ็ตละ 26 เหรียญ
รสชาติอาหารอร่อยดีค่ะ การบริการโดยน้องๆคนไทยก็เยี่ยมค่ะ
เสียอย่างเดียวข้าวแข็งเหมือนตักไว้นานแล้วไม่ใช่ข้าวไม่สุกนะคะ
ทานเสร็จว่าจะนั่งรถเมล์ไปที่เกาะ Coloane
เพื่อตามหาทาร์ตไข่อันเลื่องชื่อ แห่ง Lord's Stow ร้านแรกต้นตำรับ
แต่พอแฟนได้ยินน้องๆเล่าถึงทริปชายแดนจีนว่ามีของขายเต็มสองข้างทาง
เราเลยต้องเบนเข็มข้ามไป Casino Sands ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เพื่อไปรอขึ้นรถคาสิโนฟรีไปที่ Portas do Cerco Barrier Gate
พอมาถึงที่จอดรถก็ต้องขึ้นสะพานลอยแล้วเดินไปที่ประตูชัยแแห่งนี้
หลังจากนั้นก็ตามฝูงคลื่นมหาชนนับเรือนหมื่นไปเรื่อยๆ
ผ่านด่านแรกเข้าไปได้นึกว่าเรียบร้อยแล้วยังแอบดดีใจว่าง่ายจัง
ปรากฏว่าต้องไปผ่านด่านสองคราวนี้แหละที่ต้องเสียเงินค่าวีซ่า
แต่โชคดีเจอสองสาวบอกราคาวีซ่ามาว่าคนละ 350 เหรียญแถมรอเรื่องอีก 1 ชั่วโมง
เราเลยตัดสินใจไม่ไปมันแล้วเพราะคงไม่คุ้มกับเวลาที่มีอยู่อันน้อยนิด
แต่ตอนออกนี่ก็คิดอยู่ว่าแล้วชั้นจะกลับไปทางไหนเนี่ย
ยังดีที่มีทางออกอีกทางโดยมีเจ้าหน้าที่รอส่งแขกต่างด้าวอย่างเราอยู่
นี่ก็เป็นอีกทริปที่สั้นอีกหนึ่งทริปซึ่งอีกนิดเดียวก็จะไปถึงจีนแล้วเรา
เสียดายที่เค้าห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีรูปมาอวด
กลับออกมาได้ก็มุ่งไปขึ้นรถฟรีของคาสิโน The Venetian
ระหว่างทางเห็นเค้ากำลังถมทะเลเพื่อสร้างเกาะใหม่ขี้นมาอีกค่ะ
ซึ่งนี่จะเป็นทริปส่งท้ายสำหรับมาเก๊าของเราสองคน
โดยเป้าหมายสำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จคือตามไปชิมทาร์ตไข่ Lord Stow's Bakery
รสชาติสมคำร่ำลือ มิเสียแรงที่ตามหากันจนเจอ
ชิมเสร็จก็เดินชมคลองเวนิสจำลองไปแบบสวยๆ
หลังจากนั้นก็ไปเดินดูเค้าเล่นคาสิโนแบบเพลินๆ
คาสิโนไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เลยถ่ายก้นหนุ่มๆมาให้ดูแทน
ชมเพลินจนพลาดรถรอบสุดท้ายที่จะไปที่ท่าเรือ Yuet Tung Pier ซึ่งใกล้กับโรงแรม Ole London
เพราะรอบสุดท้ายที่จะไปท่าเรือนี้คือ 18:00 น.
ซึ่งอ่านเน็ตมาก็เข้าใจว่ามีจนดึกปรากฏว่ามันไม่ใช่อ่ะ
ตอนนั้นเหนื่อยมากละ เลยขึ้น Taxi กลับมันซะเลย โดนไป 85 เหรียญค่ะคราวนี้
รอขึ้น Taxiเลยแชะรูปคาสิโนฝั่งตรงข้ามมาคะ
วันสุดท้ายแพ็กของทานมาม่ากะชงไมโลที่เตรียมมาก็พร้อมไปสนามบินแล้วค่ะ
ขากลับยังเลือกนั่ง Taxi เหมือนเดิม เสียไป 85 เหรียญ
แต่โดนชาร์จค่ากระเปําอีกใบละ 3 เหรียญ ไม่เข้าใจว่าขามาไม่เห็นชาร์จเลย
แถมไม่ได้มาช่วยยกขึ้นยกลงให้แต่อย่างใด
และมีกระเปําเดินทางแค่ 1 ใบ ส่วนอีกใบเป็นเป้ของคุณแฟน
หากรู้ว่าวางไว้ท้ายรถจะโดนชาร์จด้วย เราคงเลือกเอาเป้มาไว้ในรถดีกว่า
จ่ายเงินไปแบบงงุนงง แต่ก็โอเคเพราะไม่ได้แพงอะไร
เงินมาเก๊าที่เหลือ เราพยายามเอาไปกดตู้ซื้อน้ำกับขนมให้หมด
เพราะกลับไทยก็หาที่แลกคืนยาก เหลือไว้ดูต่างหน้าแค่ 1 MOP พอให้ได้ระลึกถึง
ลาแล้วหนามาเก๊า See you again for Sure!
[img]http://f.ptcdn.info/393/028/000/1423806076-DSCN7442JP-o.jpg[/img