"บิ๊กซี" สยายปีกบุกลาว เผยแผนเตรียมเปิดสาขาในเวียงจันทน์ ยึดทำเลทองย่านการค้าสำคัญ "ตลาดเช้า" ทำสัญญาเช่ายาว 50 ปี ลั่นพร้อมอวดโฉมภายในปีนี้ รองรับดีมานด์มหาศาล ชี้คนลาวข้ามมาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากอุดรฯ-หนองคาย ทะลุปีละ 1 พันล้าน มั่นใจกวาดยอดขายปีละ 500-600 ล้านบาท เล็งลงทุนเพิ่มเปิดสาขา "สะหวันนะเขต-จำปาสัก-หลวงพระบาง"
หลังจากซุ่มเงียบมานาน ล่าสุด "บิ๊กซี" ได้ใบอนุญาตลงทุนในประเทศลาวเป็นที่แน่ชัดแล้ว โดยประเดิมสาขาแรกในช็อปปิ้งมอลล์ตลาดเช้า บนถนนล้านช้างอเวนิว ซึ่งเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจสำคัญของนครเวียงจันทน์ และตามแผนลงทุนพร้อมเดินหน้าขยายสาขาในสะหวันนะเขต-จำปาสัก-หลวงพระบาง ทันทีที่ได้รับการตอบรับจากตลาดลาว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นความท้าทายสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจคือการทำอย่างไรให้ "ราคา" สินค้าจากไทยและสาขาในลาวไม่ต่างกันจนเกินไป
ยึด 4 ทำเลทอง
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลลาวได้ให้ใบอนุญาตการลงทุนในประเทศลาวแก่บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าไปลงทุนในธุรกิจค้าปลีก ซึ่งบริษัทมีแผนและเตรียมจะเปิดให้บริการภายในปีนี้ ในพื้นที่ของศูนย์การค้าและช็อปปิ้งมอลล์แห่งใหม่ "ตลาดเช้า" (The New Taladsao Shopping) บนถนนล้านช้างอเวนิว ศูนย์กลางย่านธุรกิจสำคัญของนครเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นการเช่าในระยะยาว 50 ปี
"ฯพณฯ สมดี ดวงดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแผนการและการลงทุน ได้ทำพิธีมอบใบอนุญาตการลงทุนในประเทศลาว ซึ่งใบอนุญาติการลงทุนมีมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านกีบ หรือ5 ล้านบาท ให้แก่บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์จากประเทศไทย และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการภายในปีนี้"
เงินสะพัดปีละพันล้าน
ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ขยายความว่า บริษัทตัดสินใจเข้ามาลงทุนเปิดศูนย์การค้าในเวียงจันทน์ เนื่องจากเห็นโอกาสจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วของประเทศลาว ซึ่งการเข้าไปก่อนค่ายอื่น ๆ ย่อมเป็นโอกาสและข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ที่ผ่านมาบริษัทได้เก็บตัวเลขการจับจ่ายของผู้บริโภคลาวที่ข้ามพรมแดนมาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคใน 2 จังหวัด คือหนองคายและอุดรธานี พบว่ามีมูลค่ามากถึงปีละกว่า 1,000 ล้านบาท
"ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อจากประเทศลาวเข้ามาจับจ่ายสินค้าแต่ละปีมหาศาล หากบิ๊กซีเปิดสาขาในเวียงจันทน์ ก็น่าจะดึงดูดค่าใช้จ่ายมาได้ประมาณ 50% หรือ 500-600 ล้านบาทต่อปี"
ผู้บริหารบิ๊กซีฯยังให้รายละเอียดเพิ่มว่า สำหรับสินค้าที่ลูกค้าจากประเทศลาวนิยมซื้อ ส่วนใหญ่เป็นประเภทอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล ดังนั้นที่บิ๊กซีสาขาเวียงจันทน์ สินค้าประมาณ 70% จะเป็นอาหาร ที่ส่วนใหญ่บริษัทจะซื้อมาจากผู้ผลิต เกษตรกรในท้องถิ่น รวมถึงพืชผักแปรรูปในประเทศลาว และที่เหลืออีกราว 30% จะเป็นสินค้าจากเมืองไทย อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ภายในครัวเรือน และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น เนื่องจากสินค้าบางประเภทในลาวยังมีข้อจำกัดในการผลิต
"ทำราคา" ไทย-ลาวใกล้กัน
นอกจากนี้ บริษัทยังต้องศึกษาภาษีและโครงสร้างภาษีในประเทศลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบภาษีนำเข้า รวมถึงมาตรการที่จะทำให้ราคาขายปลีกในห้าง
บิ๊กซี สาขาเวียงจันทน์ มีความใกล้เคียงกับราคาสินค้าที่ซื้อในเมืองไทย ซึ่งจะช่วยลดการข้ามพรมแดนเพื่อมาจับจ่ายซื้อของในจังหวัดหนองคายและจังหวัดอุดรธานีได้ และหากสาขาแรกในเวียงจันทน์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ก็มีแผนจะขยายสาขาไปยังแขวงสะหวันนะเขต, แขวงจำปาสัก และแขวงหลวงพระบาง
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การเข้าไปเปิดสาขาในลาวของบิ๊กซี เป็นอีกขั้นการลงทุนของบิ๊กซีในการขยายสาขาในภูมิภาค หลังก่อนหน้านี้ได้เข้าไปลงทุนในเวียดนาม การขยายการลงทุนครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในภูมิภาค สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวตลอดช่วงที่ผ่านมาที่หลายกลุ่มธุรกิจในเมืองไทยต่างจับจองเข้าไปลงทุนทั้งเขตเศรษฐกิจตามจังหวัดชายแดนและการเข้าไปเปิดตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มทุนเจ้าสัว "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่ได้แตกโมเดลค้าปลีกรูปแบบใหม่เข้ามารองรับดีมานด์
ข้ามโขงวันละ 1 หมื่นคน
ด้วยการตั้งบริษัท ทีซีซี โลจิสติกส์ แอนด์ แวร์เฮ้าส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทน้องใหม่ในเครือทีซีซีกรุ๊ป สำหรับดำเนินธุรกิจห้างสรรพสินค้าประเภทค้าปลีกและค้าส่ง ภายใต้ชื่อ เอ็มเอ็ม เมก้ามาร์เก็ต พรีเมี่ยม แวร์เฮ้าส์ ซึ่งได้เลือกจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดแรกในการเปิดสาขา เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพและความพร้อมของหนองคายที่เป็นจังหวัดชายแดน
จากตัวเลขประชาชนชาวลาวนิยมเข้ามาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าในจังหวัดหนองคาย ในแต่ละวันเฉลี่ยวันละ 10,000 คน ส่วนในวันหยุดจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว นอกจากนี้ยังรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยได้ร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท เจียงรีเทลแอนด์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในการพัฒนาร้านค้ารูปแบบใหม่พื้นที่ 17,000 ตร.ม.
โดยเอ็มเอ็ม เมก้ามาร์เก็ต จะชูจุดขายเรื่องของสินค้าที่มีความหลากหลาย ทั้งแผนกอาหารสด แผนกเบเกอรี่ ของแห้ง เครื่องสำอาง เครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงขายส่ง ครอบคลุมความต้องการในราคาเหมาะสม และภายในปี 2562 บริษัทจะทำการขยายสาขาเพิ่มอีก 15 สาขา โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ แหล่งท่องเที่ยวตามจังหวัดชายแดน และในกรุงเทพฯ ภายใน 5 ปีนี้ คาดว่าบริษัทจะมียอดขายมากกว่า 12,000 ล้านบาท
ที่มา
http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1423671791
เสือซุ่ม"บิ๊กซี"เปิดฉาก4สาขาในลาว ประเดิม"เวียงจันทน์"ดักกำลังซื้อข้ามโขงสะพัดพันล.
หลังจากซุ่มเงียบมานาน ล่าสุด "บิ๊กซี" ได้ใบอนุญาตลงทุนในประเทศลาวเป็นที่แน่ชัดแล้ว โดยประเดิมสาขาแรกในช็อปปิ้งมอลล์ตลาดเช้า บนถนนล้านช้างอเวนิว ซึ่งเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจสำคัญของนครเวียงจันทน์ และตามแผนลงทุนพร้อมเดินหน้าขยายสาขาในสะหวันนะเขต-จำปาสัก-หลวงพระบาง ทันทีที่ได้รับการตอบรับจากตลาดลาว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นความท้าทายสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจคือการทำอย่างไรให้ "ราคา" สินค้าจากไทยและสาขาในลาวไม่ต่างกันจนเกินไป
ยึด 4 ทำเลทอง
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลลาวได้ให้ใบอนุญาตการลงทุนในประเทศลาวแก่บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าไปลงทุนในธุรกิจค้าปลีก ซึ่งบริษัทมีแผนและเตรียมจะเปิดให้บริการภายในปีนี้ ในพื้นที่ของศูนย์การค้าและช็อปปิ้งมอลล์แห่งใหม่ "ตลาดเช้า" (The New Taladsao Shopping) บนถนนล้านช้างอเวนิว ศูนย์กลางย่านธุรกิจสำคัญของนครเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นการเช่าในระยะยาว 50 ปี
"ฯพณฯ สมดี ดวงดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแผนการและการลงทุน ได้ทำพิธีมอบใบอนุญาตการลงทุนในประเทศลาว ซึ่งใบอนุญาติการลงทุนมีมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านกีบ หรือ5 ล้านบาท ให้แก่บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์จากประเทศไทย และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการภายในปีนี้"
เงินสะพัดปีละพันล้าน
ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ขยายความว่า บริษัทตัดสินใจเข้ามาลงทุนเปิดศูนย์การค้าในเวียงจันทน์ เนื่องจากเห็นโอกาสจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วของประเทศลาว ซึ่งการเข้าไปก่อนค่ายอื่น ๆ ย่อมเป็นโอกาสและข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ที่ผ่านมาบริษัทได้เก็บตัวเลขการจับจ่ายของผู้บริโภคลาวที่ข้ามพรมแดนมาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคใน 2 จังหวัด คือหนองคายและอุดรธานี พบว่ามีมูลค่ามากถึงปีละกว่า 1,000 ล้านบาท
"ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อจากประเทศลาวเข้ามาจับจ่ายสินค้าแต่ละปีมหาศาล หากบิ๊กซีเปิดสาขาในเวียงจันทน์ ก็น่าจะดึงดูดค่าใช้จ่ายมาได้ประมาณ 50% หรือ 500-600 ล้านบาทต่อปี"
ผู้บริหารบิ๊กซีฯยังให้รายละเอียดเพิ่มว่า สำหรับสินค้าที่ลูกค้าจากประเทศลาวนิยมซื้อ ส่วนใหญ่เป็นประเภทอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล ดังนั้นที่บิ๊กซีสาขาเวียงจันทน์ สินค้าประมาณ 70% จะเป็นอาหาร ที่ส่วนใหญ่บริษัทจะซื้อมาจากผู้ผลิต เกษตรกรในท้องถิ่น รวมถึงพืชผักแปรรูปในประเทศลาว และที่เหลืออีกราว 30% จะเป็นสินค้าจากเมืองไทย อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ภายในครัวเรือน และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น เนื่องจากสินค้าบางประเภทในลาวยังมีข้อจำกัดในการผลิต
"ทำราคา" ไทย-ลาวใกล้กัน
นอกจากนี้ บริษัทยังต้องศึกษาภาษีและโครงสร้างภาษีในประเทศลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบภาษีนำเข้า รวมถึงมาตรการที่จะทำให้ราคาขายปลีกในห้าง
บิ๊กซี สาขาเวียงจันทน์ มีความใกล้เคียงกับราคาสินค้าที่ซื้อในเมืองไทย ซึ่งจะช่วยลดการข้ามพรมแดนเพื่อมาจับจ่ายซื้อของในจังหวัดหนองคายและจังหวัดอุดรธานีได้ และหากสาขาแรกในเวียงจันทน์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ก็มีแผนจะขยายสาขาไปยังแขวงสะหวันนะเขต, แขวงจำปาสัก และแขวงหลวงพระบาง
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การเข้าไปเปิดสาขาในลาวของบิ๊กซี เป็นอีกขั้นการลงทุนของบิ๊กซีในการขยายสาขาในภูมิภาค หลังก่อนหน้านี้ได้เข้าไปลงทุนในเวียดนาม การขยายการลงทุนครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในภูมิภาค สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวตลอดช่วงที่ผ่านมาที่หลายกลุ่มธุรกิจในเมืองไทยต่างจับจองเข้าไปลงทุนทั้งเขตเศรษฐกิจตามจังหวัดชายแดนและการเข้าไปเปิดตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มทุนเจ้าสัว "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่ได้แตกโมเดลค้าปลีกรูปแบบใหม่เข้ามารองรับดีมานด์
ข้ามโขงวันละ 1 หมื่นคน
ด้วยการตั้งบริษัท ทีซีซี โลจิสติกส์ แอนด์ แวร์เฮ้าส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทน้องใหม่ในเครือทีซีซีกรุ๊ป สำหรับดำเนินธุรกิจห้างสรรพสินค้าประเภทค้าปลีกและค้าส่ง ภายใต้ชื่อ เอ็มเอ็ม เมก้ามาร์เก็ต พรีเมี่ยม แวร์เฮ้าส์ ซึ่งได้เลือกจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดแรกในการเปิดสาขา เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพและความพร้อมของหนองคายที่เป็นจังหวัดชายแดน
จากตัวเลขประชาชนชาวลาวนิยมเข้ามาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าในจังหวัดหนองคาย ในแต่ละวันเฉลี่ยวันละ 10,000 คน ส่วนในวันหยุดจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว นอกจากนี้ยังรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยได้ร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท เจียงรีเทลแอนด์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในการพัฒนาร้านค้ารูปแบบใหม่พื้นที่ 17,000 ตร.ม.
โดยเอ็มเอ็ม เมก้ามาร์เก็ต จะชูจุดขายเรื่องของสินค้าที่มีความหลากหลาย ทั้งแผนกอาหารสด แผนกเบเกอรี่ ของแห้ง เครื่องสำอาง เครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงขายส่ง ครอบคลุมความต้องการในราคาเหมาะสม และภายในปี 2562 บริษัทจะทำการขยายสาขาเพิ่มอีก 15 สาขา โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ แหล่งท่องเที่ยวตามจังหวัดชายแดน และในกรุงเทพฯ ภายใน 5 ปีนี้ คาดว่าบริษัทจะมียอดขายมากกว่า 12,000 ล้านบาท
ที่มา http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1423671791