ขอนำเรื่องราวของน้องที่รู้จัก เพิ่งโดนมาสดๆร้อนๆมาเมื่อคืน มาให้อ่านกัน นี่ขนาดคนไทยด้วยกันเองยังโดน แล้วถ้าต่างชาติละ จะเหลือรึ
Mootik Natty
9 ชม. · อำเภอบางบัวทอง ·
เหตุการณ์รถแท๊กซี่โกงค่าโดยสารติ๊กประสบเหตุด้วยตนเอง !!!!
เตือนภัยแท็กซี่มหาภัย สนามบินสุวรรณภูมิ โตโยตาแวน ทะเบียน มฎ 750 กรุงเทพมหานคร !!!!!
ไม่คาดคิดว่ารถแท็กซี่โกงมิเตอร์ค่าโดยสารจะเกิดขึ้นกับตนเอง
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (7 ก.พ. 58): ดิฉันเดินทางจากกลับจากการประชุมที่ประเทศเวียดนาม ได้กดบัตรคิวเรียกรถแท็กซี่จากสนามบินสุวรรณภูมิชั้น 1 มีผู้โดยสาร 2 คน กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบ และมีกระเป๋าล้อลากใบเล็กใส่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 1 ใบ เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องกดบัตรคิวแจ้งให้ดิฉันกดที่เครื่องรถแวน โดยกดหมายเลขบัตรคิวได้ช่องเบอร์ 24 เวลา 23:13 น. ผู้ขับขี่ชื่อ นายสุรชัย ณ เชียงใหม่ รถโตโยตาสี เขียว - เหลือง หมายเลขทะเบียนรถ >>> มฎ 750 กรุงเทพมหานคร จุดหมายปลายทางมี 2 จุด คือหมู่บ้านที่ซอยวัดพระเงิน และหมู่บ้านที่ซอยวัดส้มเกลี้ยง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
ตอนขึ้นรถแท๊กซี่ คนขับไม่ได้ขอดูใบสลิปจากดิฉัน พอรถออกไปได้เพียง 1 นาที คนขับได้ขอใบสลิปจากดิฉัน ซึ่งดิฉันก็เกิดความสงสัยในใจว่าจะเอาไปทำไม เนื่องจากได้ติดตามอ่านข่าวมาระยะหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาแท๊กซี่ที่โกงผู้โดยสารชาวญี่ปุ่น และข่าวได้เสนอบอกว่า ห้ามให้สลิปกับคนขับรถเด็ดขาด!! แต่ดิฉันได้ยื่นให้ไป พอคนขับรถได้ไป คนขับได้ยื่นสลิปใบนี้ออกไปนอกตัวรถคลับคล้ายเหมือนกับหาแสงไฟแล้วส่องดูสลิปของดิฉัน (ดิฉันงงว่า ทำไมไม่เปิดไฟในรถส่องดู) จึงรีบถามไปว่า ดูอะไรคะ คนขับจึงบอกว่า ผมขอดูก่อนว่าคุณขึ้นถูกคันหรือเปล่า หากขึ้นผิดคันจะได้วนกลับไปที่เดิมเพื่อขึ้นให้ถูกคัน >>> จุดนี้งงมากค่ะว่า ทำไมไม่ขอดูตั้งแต่แรก เริ่มเอะใจ แต่ไม่คิดอะไรมากว่าจะเจอเหตุการณ์โกงมิเตอร์เกิดขึ้น
ระหว่างทางกลับบ้าน คนขับแท๊กซี่ได้เปิดประเด็นสนทนา กรณีผู้โดยสารชาวญี่ปุ่นร้องเรียนคนขับแท๊กซี่ โดยคนขับคนนี้ได้ตำหนิติเตียนชาวญี่ปุ่นคนนั้น ว่าพูดโกหก และกล่าวหาว่าคนญี่ปุ่นคนนั้นมีกระเป๋ากอล์ฟ 4 ใบ และกระเป๋าเดินทางอีกหลายใบ (ซึ่งขัดกับข้อมูลที่ดิฉันได้ติดตามข่าวมา) ดิฉันก็ได้แสดงความคิดเห็นกลางๆ ไปในเชิงเห็นใจคนขับรถแท๊กซี่ และพยายามเปลี่ยนเรื่องมาคุยกับเพื่อนร่วมงานที่เดินทางมาด้วยกัน และหนึ่งในบทสนทนากับเพื่อนร่วมงานคนนั้นเกี่ยวกับอัตราค่ารถแท๊กซี่กลับบ้านที่บางใหญ่ ซึ่งดิฉันใช้บริการรถแท๊กซี่จากสนามบินสุวรรภูมิกลับบ้านเป็นประจำทุกเดือน เส้นทางที่ใช้ประจำคือ ขึ้นทางด่วนพระราม 9 ลงแคราย วิ่งเข้าถ.รัตนาธิเบศร์ จนถึงบางใหญ่ ค่าโดยสารเฉลี่ย 400 - 420 บาท (ไม่รวมเงินเพิ่ม 50 บาท และค่าทางด่วน) แต่พอค่ารถแท๊กซี่ได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ทำให้ค่ารถแท๊กซี่กลับมาบ้านเพิ่มขึ้นเป็น 450 - 460 บาท
แต่สำหรับการโดยสารเมื่อคืนที่ดิฉันประสบนั้น คนขับแท๊กซี่ได้ขอลงด่านรัชดา เพื่อวิ่งผ่านวงศ์สว่าง ข้ามสะพามพระราม 5 ดิฉันเองก็โอเคไม่มีปัญหา เพราะคุ้นเคยทุกเส้นทางกลับบ้านดี แต่ระหว่างนั้น ราคาค่ามิเตอร์ค่อนข้างผิดปกติ เพราะราคาแลดูจะแพงกว่าทุกครั้ง (แต่ดิฉันพยายามไม่มองโลกในแง่ร้ายว่าจะโดน "โกง") โดยพอรถวิ่งมาถึงโรงเรียนเด่นหล้า ถ.พระราม 5 ค่าโดยสารขึ้นมาที่ประมาณ 500 บาทแล้ว ดิฉันก็อดทนในใจว่ามิเตอร์บางคันอาจมีคลาดเคลื่อนกันได้ จนพอมาส่งที่บ้านเพื่อนร่วมงานคนแรกที่ซอยวัดพระเงิน ค่าโดยสารได้ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 550 บาท พอดิฉันเดินลงไปส่งเพื่อนร่วมงานเข้าบ้านเสร็จ (คนขับลงมายกกระเป๋าให้) ดิฉันกลับขึ้นมานั่งบนรถ หลังจากนั้นสิ่งที่ดิฉันไม่เชื่อสายตาก็คือ....................................
ระยะทางจากบ้านเพื่อนมาถึงป้อมยาม (บ้านเป็นหมู่บ้าน) ห่างกันประมาณ 100 เมตร สิ่งที่ทำให้ดิฉีนช็อค !!!! คือ ค่าแท๊กซี่ได้ขยับขึ้นวินาทีละ 2 บาท ขยับไหลขึ้นมาแบบน้ำหลากท่วมทุ่ง จากประมาณ 550 บาท ขึ้นมาเป็น 600 บาท # ในช่วงระยะทางแค่ 100 เมตร ไม่เกิน 1 นาที ค่าแท๊กซี่ขยับขึ้นมา 50 บาท ดิฉันนั่งช็อคจ้องมองมิเตอร์ว่านี่ผีหลอกหรืออะไรกัน ตอนนั้นงงจนทำอะไรไม่ถูก มันเกิดขึ้นเร็วมากจนตัดสินใจไม่ทันว่า ควรจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปไว้หรือไม่ เพราะอีกแว็บหนึ่งของการตัดสินใจคือกลัวอันตราย ถ้าคนขับเห็นเราถ่ายคลิป (ขณะนั้นเป็นเวลา 00.30 แล้ว) จนพอต้องแลกบัตรคืนที่ป้อมยาม ดิฉันจึงตัดสินใจพูดอย่างมีสติและสมาธิกับคนขับว่า
ดิฉัน: พี่คะ หนูว่ามิเตอร์พี่อาจจะมีปัญหาขัดข้องนะคะ เพราะเมื่อกี้มิเตอร์ไหลขึ้นมาวินาทีละ 2 บาท ขึ้นมาทีเดียว 50 บาทเลย
คนขับ: อ๋อ ตอนนี้มิเตอร์เพิ่งปรับราคาขึ้นมา แล้วมิเตอร์นี่ก็ได้มาตรฐานด้วยนะ นี่ไงๆ สติ๊กเกอร์รับรอง (คนขับชี้ให้ดูสติ๊กเกอร์อะไรสักอย่างหนึ่งที่ติดไว้ที่กระจกหน้ารถ)
ดิฉัน: แต่เมื่อกี้มันไหลขึ้นมาแบบไม่หยุดเลยนะคะ หนูนั่งดูอยู่เห็นกับตาเลย เดือนที่แล้วหนูเพิ่งกลับมาจากเมืองจีน นั่งแท๊กซี่กลับมาบ้านหนูอยู่ซอยถัดไป (วัดส้มเกลี้ยง) ค่าโดยสารแค่ 450 บาทเอง แต่นี่มันตั้ง 600 บาทแล้ว
หลังจากนั้นบทสนทนาเงียบเพียงอึดใจก็ถึงหน้าปากซอยถนนใหญ่ ถนนกาญจนาภิเษก ตอนนั้นค่าแท๊กซี่ขึ้นมาอยู่ที่ 631 บาท (ราคาสุดท้ายที่ดิฉันตัดสินใจลงจากรถ เพราะไม่อย่างนั้น จากปากซอยวัดพระเงิน ไปบ้านดิฉันที่ซอยวัดส้มเกลี้ยง ค่าโดยสารอาจขึ้นมาอีก 200 บาท) ดิฉันจึงตัดสินใจบอกคนขับด้วยน้ำเสียงที่มีสติว่า
ดิฉัน: เดี๋ยวขอลงตรงหน้าปากซอย ตรงหน้าเซเว่นนี่เลยค่ะ เดี๋ยวให้เพื่อนมารับกลับ (ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ต้องลงจากรถคันนี้ให้เร็วที่สุด และไม่ต้องการให้คนขับรู้จักบ้านดิฉัน เพราะถ้าสุดท้ายเกิดการโต้เถียงกันขึ้น อาจเกิดอันตรายขึ้นได้)
คนขับ: งั้นค่าโดยสารไม่ต้องบวก 50 ก็ได้
ดิฉัน: <กำลังหยิบเงินให้คนขับซึ่งหยิบได้แบงค์ 500 กับแบงค์ 100> เดี๋ยวหาแบงค์ 20 กับเศษให้ก่อนค่ะ
คนขับ: เอามาแค่ 600 บาทก็พอ
ดิฉัน: <ยื่นให้ 600 บาท> และในใจตอนนั้น อยากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายมิเตอร์เอาไว้เป็นหลักฐาน แต่เกรงอันตรายเพราะกระเป๋าใบใหญ่ยังอยู่ท้ายรถ
หลังจากนั้น ดิฉันลงจากรถพร้อมกระเป๋าทั้งหมด และได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายทะเบียนท้ายรถไว้ แต่คงด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่พยายามประคองสติเอาไว้ ทำให้รูปที่ได้ไม่ค่อยชัด และดิฉันได้เรียกรถแท๊กซี่คันใหม่กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ (ค่ารถแท๊กซี่รอบใหม่ถึงบ้านแค่ 57 บาท)
หลังจากนั้น ดิฉันได้โทรไปแจ้งเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานเบอร์ 02-132-9199 เวลาประมาณ 01.00น. และได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ชายท่านนั้นรับปากว่าจะดำเนินการเรื่องให้ (ดิฉันถามชื่อแล้ว แต่ดันลืมจดไปซะงั้น)
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เอะใจตั้งแต่ทีแรก คือ การที่คนขับเอาสลิปดิฉันไปดู ถ้าตอนนั้นดิฉันไม่ถามว่าดูอะไร ป่านนั้น คนขับอาจแกล้งทำปลิวหล่นออกไปนอกรถ และดิฉันจะไม่มีหลักฐานอะไรร้องเรียนได้เลย
อ้อ ลืมบอกไปว่า ตัวเครื่องมิเตอร์ของรถคันนี้ ได้มีผ้าเหมือนผ้าขนหนูเล็กๆ สีแดงพันรอบตัวมิเตอร์ไว้ เหลือแค่ช่องค่าโดยสารแสดงให้เราเห็นเท่านั้น (ช่องระยะทาง และช่องเวลาถูกปิดบังเอาไว้ค่ะ)
อุทาหรณ์สอนใจคนใช้บริการรถแท๊กซี่จากสนามบินสุวรรณภูมิชั้น 1
1. ห้ามให้สลิปกับคนขับโดยเด็ดขาด !!! ถ้าคนขับขอ อ้างไปเลยว่ากฎระเบียบห้ามคนขับรับสลิปจากผู้โดยสาร
2. สติเป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องห่วงสวัสดิภาพความปลอดภัยของตนเองให้มากที่สุด
3. ถ้าโดยสารมาเพียงคนเดียวตอนกลางคืน การถ่ายคลิปต้องระมัดระวังให้มากที่สุด
4. พยายามพูดจากับคนขับด้วยวาจาที่สุภาพ แต่เป็นเหตุเป็นผล ห้ามโต้เถียงด้วยอารมณ์ เพราะชีวิตเราแขวนอยู่ในรถเค้า
5. หาจุดสว่างที่แลดูปลอดภัย เช่น หน้าเซเว่น ป้อมยาม แล้วลงจากรถ เราไม่สามารถโต้เถียงชนะเค้าได้ เพราะคนจะ "โกง" ไม่มีคำว่าเหตุผล และสามัญสำนึก
ที่เล่ามาทั้งหมด ถึงแม้ดิฉันจะไม่มีคลิปประกอบ แต่ดิฉันรับรองด้วยความสัตย์จริง ว่าเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงวินาทีที่ค่าโดยสารไหลวินาทีละ 2 บาท พรวดเดียว 50 บาทเป็นเรื่องจริง และอยากให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจทุกคนว่าคนขับแท๊กซี่ที่เลว และโกง มีอยู่จริงจำนวนหนึ่ง แต่คนขับที่ดีและทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริตก็มีไม่น้อย ดังนั้นหากจะต้องเดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถแท๊กซี่ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด
และวันพรุ่งนี้ 9 ก.พ. 58 ดิฉันจะโทรไปติดตามผลว่าทางการท่าอากาศยาน ได้ตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดไปถึงไหนแล้วค่ะ
หวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะเป็นตัวอย่าง เป็นอุทาภรณ์ในการรับมือกับแท๊กซี่มหาภัยที่โกงค่าโดยสารอย่างไม่น่าให้อภัย
เชื้อชั่วไม่ยอมตาย!! Taxi Suvarnbhumi Airport
ขอนำเรื่องราวของน้องที่รู้จัก เพิ่งโดนมาสดๆร้อนๆมาเมื่อคืน มาให้อ่านกัน นี่ขนาดคนไทยด้วยกันเองยังโดน แล้วถ้าต่างชาติละ จะเหลือรึ
Mootik Natty
9 ชม. · อำเภอบางบัวทอง ·
เหตุการณ์รถแท๊กซี่โกงค่าโดยสารติ๊กประสบเหตุด้วยตนเอง !!!!
เตือนภัยแท็กซี่มหาภัย สนามบินสุวรรณภูมิ โตโยตาแวน ทะเบียน มฎ 750 กรุงเทพมหานคร !!!!!
ไม่คาดคิดว่ารถแท็กซี่โกงมิเตอร์ค่าโดยสารจะเกิดขึ้นกับตนเอง
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (7 ก.พ. 58): ดิฉันเดินทางจากกลับจากการประชุมที่ประเทศเวียดนาม ได้กดบัตรคิวเรียกรถแท็กซี่จากสนามบินสุวรรณภูมิชั้น 1 มีผู้โดยสาร 2 คน กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบ และมีกระเป๋าล้อลากใบเล็กใส่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 1 ใบ เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องกดบัตรคิวแจ้งให้ดิฉันกดที่เครื่องรถแวน โดยกดหมายเลขบัตรคิวได้ช่องเบอร์ 24 เวลา 23:13 น. ผู้ขับขี่ชื่อ นายสุรชัย ณ เชียงใหม่ รถโตโยตาสี เขียว - เหลือง หมายเลขทะเบียนรถ >>> มฎ 750 กรุงเทพมหานคร จุดหมายปลายทางมี 2 จุด คือหมู่บ้านที่ซอยวัดพระเงิน และหมู่บ้านที่ซอยวัดส้มเกลี้ยง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
ตอนขึ้นรถแท๊กซี่ คนขับไม่ได้ขอดูใบสลิปจากดิฉัน พอรถออกไปได้เพียง 1 นาที คนขับได้ขอใบสลิปจากดิฉัน ซึ่งดิฉันก็เกิดความสงสัยในใจว่าจะเอาไปทำไม เนื่องจากได้ติดตามอ่านข่าวมาระยะหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาแท๊กซี่ที่โกงผู้โดยสารชาวญี่ปุ่น และข่าวได้เสนอบอกว่า ห้ามให้สลิปกับคนขับรถเด็ดขาด!! แต่ดิฉันได้ยื่นให้ไป พอคนขับรถได้ไป คนขับได้ยื่นสลิปใบนี้ออกไปนอกตัวรถคลับคล้ายเหมือนกับหาแสงไฟแล้วส่องดูสลิปของดิฉัน (ดิฉันงงว่า ทำไมไม่เปิดไฟในรถส่องดู) จึงรีบถามไปว่า ดูอะไรคะ คนขับจึงบอกว่า ผมขอดูก่อนว่าคุณขึ้นถูกคันหรือเปล่า หากขึ้นผิดคันจะได้วนกลับไปที่เดิมเพื่อขึ้นให้ถูกคัน >>> จุดนี้งงมากค่ะว่า ทำไมไม่ขอดูตั้งแต่แรก เริ่มเอะใจ แต่ไม่คิดอะไรมากว่าจะเจอเหตุการณ์โกงมิเตอร์เกิดขึ้น
ระหว่างทางกลับบ้าน คนขับแท๊กซี่ได้เปิดประเด็นสนทนา กรณีผู้โดยสารชาวญี่ปุ่นร้องเรียนคนขับแท๊กซี่ โดยคนขับคนนี้ได้ตำหนิติเตียนชาวญี่ปุ่นคนนั้น ว่าพูดโกหก และกล่าวหาว่าคนญี่ปุ่นคนนั้นมีกระเป๋ากอล์ฟ 4 ใบ และกระเป๋าเดินทางอีกหลายใบ (ซึ่งขัดกับข้อมูลที่ดิฉันได้ติดตามข่าวมา) ดิฉันก็ได้แสดงความคิดเห็นกลางๆ ไปในเชิงเห็นใจคนขับรถแท๊กซี่ และพยายามเปลี่ยนเรื่องมาคุยกับเพื่อนร่วมงานที่เดินทางมาด้วยกัน และหนึ่งในบทสนทนากับเพื่อนร่วมงานคนนั้นเกี่ยวกับอัตราค่ารถแท๊กซี่กลับบ้านที่บางใหญ่ ซึ่งดิฉันใช้บริการรถแท๊กซี่จากสนามบินสุวรรภูมิกลับบ้านเป็นประจำทุกเดือน เส้นทางที่ใช้ประจำคือ ขึ้นทางด่วนพระราม 9 ลงแคราย วิ่งเข้าถ.รัตนาธิเบศร์ จนถึงบางใหญ่ ค่าโดยสารเฉลี่ย 400 - 420 บาท (ไม่รวมเงินเพิ่ม 50 บาท และค่าทางด่วน) แต่พอค่ารถแท๊กซี่ได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ทำให้ค่ารถแท๊กซี่กลับมาบ้านเพิ่มขึ้นเป็น 450 - 460 บาท
แต่สำหรับการโดยสารเมื่อคืนที่ดิฉันประสบนั้น คนขับแท๊กซี่ได้ขอลงด่านรัชดา เพื่อวิ่งผ่านวงศ์สว่าง ข้ามสะพามพระราม 5 ดิฉันเองก็โอเคไม่มีปัญหา เพราะคุ้นเคยทุกเส้นทางกลับบ้านดี แต่ระหว่างนั้น ราคาค่ามิเตอร์ค่อนข้างผิดปกติ เพราะราคาแลดูจะแพงกว่าทุกครั้ง (แต่ดิฉันพยายามไม่มองโลกในแง่ร้ายว่าจะโดน "โกง") โดยพอรถวิ่งมาถึงโรงเรียนเด่นหล้า ถ.พระราม 5 ค่าโดยสารขึ้นมาที่ประมาณ 500 บาทแล้ว ดิฉันก็อดทนในใจว่ามิเตอร์บางคันอาจมีคลาดเคลื่อนกันได้ จนพอมาส่งที่บ้านเพื่อนร่วมงานคนแรกที่ซอยวัดพระเงิน ค่าโดยสารได้ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 550 บาท พอดิฉันเดินลงไปส่งเพื่อนร่วมงานเข้าบ้านเสร็จ (คนขับลงมายกกระเป๋าให้) ดิฉันกลับขึ้นมานั่งบนรถ หลังจากนั้นสิ่งที่ดิฉันไม่เชื่อสายตาก็คือ....................................
ระยะทางจากบ้านเพื่อนมาถึงป้อมยาม (บ้านเป็นหมู่บ้าน) ห่างกันประมาณ 100 เมตร สิ่งที่ทำให้ดิฉีนช็อค !!!! คือ ค่าแท๊กซี่ได้ขยับขึ้นวินาทีละ 2 บาท ขยับไหลขึ้นมาแบบน้ำหลากท่วมทุ่ง จากประมาณ 550 บาท ขึ้นมาเป็น 600 บาท # ในช่วงระยะทางแค่ 100 เมตร ไม่เกิน 1 นาที ค่าแท๊กซี่ขยับขึ้นมา 50 บาท ดิฉันนั่งช็อคจ้องมองมิเตอร์ว่านี่ผีหลอกหรืออะไรกัน ตอนนั้นงงจนทำอะไรไม่ถูก มันเกิดขึ้นเร็วมากจนตัดสินใจไม่ทันว่า ควรจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปไว้หรือไม่ เพราะอีกแว็บหนึ่งของการตัดสินใจคือกลัวอันตราย ถ้าคนขับเห็นเราถ่ายคลิป (ขณะนั้นเป็นเวลา 00.30 แล้ว) จนพอต้องแลกบัตรคืนที่ป้อมยาม ดิฉันจึงตัดสินใจพูดอย่างมีสติและสมาธิกับคนขับว่า
ดิฉัน: พี่คะ หนูว่ามิเตอร์พี่อาจจะมีปัญหาขัดข้องนะคะ เพราะเมื่อกี้มิเตอร์ไหลขึ้นมาวินาทีละ 2 บาท ขึ้นมาทีเดียว 50 บาทเลย
คนขับ: อ๋อ ตอนนี้มิเตอร์เพิ่งปรับราคาขึ้นมา แล้วมิเตอร์นี่ก็ได้มาตรฐานด้วยนะ นี่ไงๆ สติ๊กเกอร์รับรอง (คนขับชี้ให้ดูสติ๊กเกอร์อะไรสักอย่างหนึ่งที่ติดไว้ที่กระจกหน้ารถ)
ดิฉัน: แต่เมื่อกี้มันไหลขึ้นมาแบบไม่หยุดเลยนะคะ หนูนั่งดูอยู่เห็นกับตาเลย เดือนที่แล้วหนูเพิ่งกลับมาจากเมืองจีน นั่งแท๊กซี่กลับมาบ้านหนูอยู่ซอยถัดไป (วัดส้มเกลี้ยง) ค่าโดยสารแค่ 450 บาทเอง แต่นี่มันตั้ง 600 บาทแล้ว
หลังจากนั้นบทสนทนาเงียบเพียงอึดใจก็ถึงหน้าปากซอยถนนใหญ่ ถนนกาญจนาภิเษก ตอนนั้นค่าแท๊กซี่ขึ้นมาอยู่ที่ 631 บาท (ราคาสุดท้ายที่ดิฉันตัดสินใจลงจากรถ เพราะไม่อย่างนั้น จากปากซอยวัดพระเงิน ไปบ้านดิฉันที่ซอยวัดส้มเกลี้ยง ค่าโดยสารอาจขึ้นมาอีก 200 บาท) ดิฉันจึงตัดสินใจบอกคนขับด้วยน้ำเสียงที่มีสติว่า
ดิฉัน: เดี๋ยวขอลงตรงหน้าปากซอย ตรงหน้าเซเว่นนี่เลยค่ะ เดี๋ยวให้เพื่อนมารับกลับ (ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ต้องลงจากรถคันนี้ให้เร็วที่สุด และไม่ต้องการให้คนขับรู้จักบ้านดิฉัน เพราะถ้าสุดท้ายเกิดการโต้เถียงกันขึ้น อาจเกิดอันตรายขึ้นได้)
คนขับ: งั้นค่าโดยสารไม่ต้องบวก 50 ก็ได้
ดิฉัน: <กำลังหยิบเงินให้คนขับซึ่งหยิบได้แบงค์ 500 กับแบงค์ 100> เดี๋ยวหาแบงค์ 20 กับเศษให้ก่อนค่ะ
คนขับ: เอามาแค่ 600 บาทก็พอ
ดิฉัน: <ยื่นให้ 600 บาท> และในใจตอนนั้น อยากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายมิเตอร์เอาไว้เป็นหลักฐาน แต่เกรงอันตรายเพราะกระเป๋าใบใหญ่ยังอยู่ท้ายรถ
หลังจากนั้น ดิฉันลงจากรถพร้อมกระเป๋าทั้งหมด และได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายทะเบียนท้ายรถไว้ แต่คงด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่พยายามประคองสติเอาไว้ ทำให้รูปที่ได้ไม่ค่อยชัด และดิฉันได้เรียกรถแท๊กซี่คันใหม่กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ (ค่ารถแท๊กซี่รอบใหม่ถึงบ้านแค่ 57 บาท)
หลังจากนั้น ดิฉันได้โทรไปแจ้งเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานเบอร์ 02-132-9199 เวลาประมาณ 01.00น. และได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ชายท่านนั้นรับปากว่าจะดำเนินการเรื่องให้ (ดิฉันถามชื่อแล้ว แต่ดันลืมจดไปซะงั้น)
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เอะใจตั้งแต่ทีแรก คือ การที่คนขับเอาสลิปดิฉันไปดู ถ้าตอนนั้นดิฉันไม่ถามว่าดูอะไร ป่านนั้น คนขับอาจแกล้งทำปลิวหล่นออกไปนอกรถ และดิฉันจะไม่มีหลักฐานอะไรร้องเรียนได้เลย
อ้อ ลืมบอกไปว่า ตัวเครื่องมิเตอร์ของรถคันนี้ ได้มีผ้าเหมือนผ้าขนหนูเล็กๆ สีแดงพันรอบตัวมิเตอร์ไว้ เหลือแค่ช่องค่าโดยสารแสดงให้เราเห็นเท่านั้น (ช่องระยะทาง และช่องเวลาถูกปิดบังเอาไว้ค่ะ)
อุทาหรณ์สอนใจคนใช้บริการรถแท๊กซี่จากสนามบินสุวรรณภูมิชั้น 1
1. ห้ามให้สลิปกับคนขับโดยเด็ดขาด !!! ถ้าคนขับขอ อ้างไปเลยว่ากฎระเบียบห้ามคนขับรับสลิปจากผู้โดยสาร
2. สติเป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องห่วงสวัสดิภาพความปลอดภัยของตนเองให้มากที่สุด
3. ถ้าโดยสารมาเพียงคนเดียวตอนกลางคืน การถ่ายคลิปต้องระมัดระวังให้มากที่สุด
4. พยายามพูดจากับคนขับด้วยวาจาที่สุภาพ แต่เป็นเหตุเป็นผล ห้ามโต้เถียงด้วยอารมณ์ เพราะชีวิตเราแขวนอยู่ในรถเค้า
5. หาจุดสว่างที่แลดูปลอดภัย เช่น หน้าเซเว่น ป้อมยาม แล้วลงจากรถ เราไม่สามารถโต้เถียงชนะเค้าได้ เพราะคนจะ "โกง" ไม่มีคำว่าเหตุผล และสามัญสำนึก
ที่เล่ามาทั้งหมด ถึงแม้ดิฉันจะไม่มีคลิปประกอบ แต่ดิฉันรับรองด้วยความสัตย์จริง ว่าเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงวินาทีที่ค่าโดยสารไหลวินาทีละ 2 บาท พรวดเดียว 50 บาทเป็นเรื่องจริง และอยากให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจทุกคนว่าคนขับแท๊กซี่ที่เลว และโกง มีอยู่จริงจำนวนหนึ่ง แต่คนขับที่ดีและทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริตก็มีไม่น้อย ดังนั้นหากจะต้องเดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถแท๊กซี่ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด
และวันพรุ่งนี้ 9 ก.พ. 58 ดิฉันจะโทรไปติดตามผลว่าทางการท่าอากาศยาน ได้ตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดไปถึงไหนแล้วค่ะ
หวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะเป็นตัวอย่าง เป็นอุทาภรณ์ในการรับมือกับแท๊กซี่มหาภัยที่โกงค่าโดยสารอย่างไม่น่าให้อภัย