เหตุใดมารผู้มีใจบาปจึงทราบความตรึกแห่งพระทัยพระศาสดาได้ ?
[๔๑๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้ใหม่ ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้
อชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม้น้ำเนรัญชรา ณ ตำบลอุรุเวลา ครั้งนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าประทับพักร้อนอยู่ในที่ส่วนพระองค์ ได้เกิดความตรึกแห่งพระทัย
อย่างนี้ว่า สาธุ เราเป็นผู้พ้นจากทุกรกิริยานั้นแล้วหนอ สาธุ เราเป็นผู้
พ้นแล้วจากทุกรกิริยาอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์นั้นหนอ สาธุ เราเป็นสัตว์
ที่บรรลุโพธิญาณแล้วหนอ.
[๔๑๗] ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้ทราบความตรึกแห่งพระทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยจิต
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วได้ทูลด้วยคาถาว่า
มาณพทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วย
การบำเพ็ญตบะใด ท่านหลีกจากตบะนั้น
เสียแล้ว เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ มาสำคัญตนว่า
เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านพลาดมรรคาแห่งความ
บริสุทธิ์เสียแล้ว.
[๔๑๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป
จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
เรารู้แล้วว่า ตบะอื่น ๆ อย่างใด
อย่างหนึ่ง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ตบะทั้งหมดหาอำนวยประโยชน์ให้ไม่
ดุจถ่อเรือบนบก ฉะนั้น (เรา) เจริญมรรค
คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อความ
ตรัสรู้ เป็นผู้บรรลุความบริสุทธิ์อย่าง
ยอดเยี่ยมแล้ว ดูก่อนมารผู้กระทำซึ่งที่สุด
ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียแล้ว.
ครั้งนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้
จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.
ตโปกรรมสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒
มารจริง ๆ ตัวเป็น ๆ หรือภาษาธรรม ?
[๔๑๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้ใหม่ ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้
อชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม้น้ำเนรัญชรา ณ ตำบลอุรุเวลา ครั้งนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าประทับพักร้อนอยู่ในที่ส่วนพระองค์ ได้เกิดความตรึกแห่งพระทัย
อย่างนี้ว่า สาธุ เราเป็นผู้พ้นจากทุกรกิริยานั้นแล้วหนอ สาธุ เราเป็นผู้
พ้นแล้วจากทุกรกิริยาอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์นั้นหนอ สาธุ เราเป็นสัตว์
ที่บรรลุโพธิญาณแล้วหนอ.
[๔๑๗] ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้ทราบความตรึกแห่งพระทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยจิต
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วได้ทูลด้วยคาถาว่า
มาณพทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วย
การบำเพ็ญตบะใด ท่านหลีกจากตบะนั้น
เสียแล้ว เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ มาสำคัญตนว่า
เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านพลาดมรรคาแห่งความ
บริสุทธิ์เสียแล้ว.
[๔๑๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป
จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
เรารู้แล้วว่า ตบะอื่น ๆ อย่างใด
อย่างหนึ่ง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ตบะทั้งหมดหาอำนวยประโยชน์ให้ไม่
ดุจถ่อเรือบนบก ฉะนั้น (เรา) เจริญมรรค
คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อความ
ตรัสรู้ เป็นผู้บรรลุความบริสุทธิ์อย่าง
ยอดเยี่ยมแล้ว ดูก่อนมารผู้กระทำซึ่งที่สุด
ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียแล้ว.
ครั้งนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้
จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.
ตโปกรรมสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒