*บทความนี้มีการสปอยเนื้อหาภาพยนตร์
" What do you know about this mist? "
- The Mist (2007)
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ว่างๆวันนึง ที่ผมไม่มีอะไรทำจึงไปหยิบหนังเก่าขึ้นหิ้งของผมมาดูซ้ำ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็คือ The mistนั่นเอง ซึ่งเป็นหนังที่คนหลายคนไปดูในโรงรวมดูแผ่นแล้วบอกว่าน่าเบื่อ เพราะการเดินเรื่องที่ไม่ค่อยหวือหวา และมีสัตว์ประหลาดออกมาน้อยเหลือเกิน แต่ถ้าดูแล้วเข้าใจ ถึงตัวเนื้อของหนังว่าผู้สร้าง ต้องการจะสื่ออะไรแล้ว หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่คุณ มิอาจลืมได้
ตัวหนัง ดำเนินเรื่องด้วยชายคนหนึ่งที่ชื่อ เดวิด ซึ่งได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งวันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายขึ้น หมอกสีขาวปริศนาได้แผ่ปกคลุม เมืองทั้งเมืองซึ่งทำให้เขาและลูกต้องติดอยู่ที่ มินิมาร์ท ใจกลางเมืองร่วมกับผู้คนอีกมากมาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสถานที่แห่งนั้นดูเหมือนจะเป็นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขา เขาจำเป็นต้องตั้งหลักอยู่ในมินิมาร์ทแห่งนั้น โดยมีกำแพงและกระจกของมินิมาร์ทเป็นโล่กำบัง เขาและคนอื่นๆต้องพบกับสัตว์ประหลาด ที่คอยมาเยี่ยมเยียน เข่นฆ่าผู้คนที่หลบอยู่ในนั้น ตัวหนังดำเนินเรื่องให้กลุ่มของพระเอกต้องต่อสู้กับความสิ้นหวังและ ความสิ้นหวังนี้ที่ว่านี้ก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่มาของฉากจบอันเลื่องลือ เพราะมันช่างเป็นอะไรที่หดหู่และจิตตกเหลือเกิน
ตัวหนังดูผิวเผินแล้ว ออกเป็นแนว sci-fi horror เรื่องนึง ซึ่งถ้าดูโดยไม่คิดอะไรแล้ว มันช่างห่างตัวเราเหลือเกิน ใครจะคิดล่ะครับว่าวันนึงจะมีหมอกมาปกคลุมหมู่บ้านของคุณ และมีสัตว์ประหลาดเดินยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แต่ถ้าดู แล้วคิดตาม หนังเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องเจอ และ ใกล้ตัวเราอย่างคิดไม่ถึงเลยครับ
ตามธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น ได้ สร้างเกราะกำบังเพื่อรู้สึกให้ตัวเองปลอดภัยจากสิ่งที่เราไม่อาจรู้ได้ ถ้าให้พูดเจาะจงกว่านี้ก็คือ กรอบการใช้ชีวิตของเราทุกคนหล่ะครับ กรอบที่ทุกคนจะได้รับการสั่งสมมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน การสั่งสมการศึกษา แม้กระทั่งการทำงาน เราถูกผู้ใหญ่หลายคน สร้างกรอบกำบังให้เราตั้งแต่เรายังจำความได้ โดยส่วนใหญ่ก็สร้างจากพื้นฐานของความกลัวทั้งสิ้น ถูกปลูกฝังให้อยู่ในกรอบมาเสมอ ถ้ามาเทียบกับหนังแล้วกรอบการใช้ชีวิตของเราก็ไม่ต่างกับ กระจกบางๆ ของมินิมาร์ท ที่กั้นผู้คนที่อยู่ในนั้นให้รู้สึกปลอดภัย จากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในหมอกนั้น
หมอกสีขาวในหนังเป็นสัญลักษณ์ของความไม่รู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งความไม่รู้นี้เองมันเป็นจุดเริ่มของความกลัวและสุดท้ายความกลัวก็ทำให้ตัวละครส่วนใหญ่ ไม่กล้าที่จะออกมาข้างนอกเพื่อที่จะเผชิญกับความจริงอันน่ากลัวอาจเพราะคิดว่าโล่กำบังที่พวกตนอาศัยอยู่นั้นแข็งแรงและปลอดภัยเพียงพอ และแล้ววันหนึ่งเมื่อเกราะกำบังที่ ดูแข็งแรง มันไม่ได้แข็งแรงอย่างที่พวกเขาคิด สัตว์ประหลาดมากมาย ซึ่งอาจจะสื่อถึงอุปสรรคต่างๆในการใช้ชีวิต ได้ถาโถมเข้ามาโจมตี ใส่โล่กำบัง จนวันนึง คุณคิดได้ว่าสิ่งที่คุณคิดว่าแข็งแรง พึ่งพาได้ ความจริงมันช่างอ่อนแอเหลือเกิน ความสิ้นหวังย่อมตามมา จนสุดท้ายแล้วเดวิดได้ตัดสินใจหนีออกมาจากมินิมาร์ท ด้วยความกลัวและสิ้นหวัง ซึ่ง ณ จุดนี้ ถ้าคุณดูถึงตอนจบ หนังจะแยกประเด็นให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการ แหกกรอบ การใช้ชีวิตของตัวเองด้วยความหวัง กับ แหกกรอบการใช้ชีวิต ด้วยความกลัว (สังเกตไอตัวแม่บนรถทหาร)
หนังเรื่องนี้ได้เล่นประเด็นของความกลัวของมนุษย์ได้อย่างมีชั้นเชิงบวกและให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตที่ว่า ถ้าวันหนึ่งคุณตัดสินใจที่จะแหกกรอบการใช้ชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการลาออกจากงานประจำเพื่อ มาเริ่มธุรกิจใหม่ คุณต้องทำมันด้วยความหวัง ไม่ใช่ความกลัว เพราะถ้าคุณตัดสินอะไรโดยใช้ความกลัวเป็นที่ตั้งแล้วสุดท้ายจุดจบของคุณคงไม่ต่างอะไรจากในหนัง
Credit: บทความผ่านแผ่นฟิล์ม
ฝากเพจและผลงานอื่นๆ วิจารณ์ ติชมได้เลยครับ
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%A1/680159158772066?ref=hl
<The Mist> ข้อคิดที่ถูกแฝงอยู่ในหมอกขาว
" What do you know about this mist? "
- The Mist (2007)
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ว่างๆวันนึง ที่ผมไม่มีอะไรทำจึงไปหยิบหนังเก่าขึ้นหิ้งของผมมาดูซ้ำ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็คือ The mistนั่นเอง ซึ่งเป็นหนังที่คนหลายคนไปดูในโรงรวมดูแผ่นแล้วบอกว่าน่าเบื่อ เพราะการเดินเรื่องที่ไม่ค่อยหวือหวา และมีสัตว์ประหลาดออกมาน้อยเหลือเกิน แต่ถ้าดูแล้วเข้าใจ ถึงตัวเนื้อของหนังว่าผู้สร้าง ต้องการจะสื่ออะไรแล้ว หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่คุณ มิอาจลืมได้
ตัวหนัง ดำเนินเรื่องด้วยชายคนหนึ่งที่ชื่อ เดวิด ซึ่งได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งวันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายขึ้น หมอกสีขาวปริศนาได้แผ่ปกคลุม เมืองทั้งเมืองซึ่งทำให้เขาและลูกต้องติดอยู่ที่ มินิมาร์ท ใจกลางเมืองร่วมกับผู้คนอีกมากมาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสถานที่แห่งนั้นดูเหมือนจะเป็นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขา เขาจำเป็นต้องตั้งหลักอยู่ในมินิมาร์ทแห่งนั้น โดยมีกำแพงและกระจกของมินิมาร์ทเป็นโล่กำบัง เขาและคนอื่นๆต้องพบกับสัตว์ประหลาด ที่คอยมาเยี่ยมเยียน เข่นฆ่าผู้คนที่หลบอยู่ในนั้น ตัวหนังดำเนินเรื่องให้กลุ่มของพระเอกต้องต่อสู้กับความสิ้นหวังและ ความสิ้นหวังนี้ที่ว่านี้ก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่มาของฉากจบอันเลื่องลือ เพราะมันช่างเป็นอะไรที่หดหู่และจิตตกเหลือเกิน
ตัวหนังดูผิวเผินแล้ว ออกเป็นแนว sci-fi horror เรื่องนึง ซึ่งถ้าดูโดยไม่คิดอะไรแล้ว มันช่างห่างตัวเราเหลือเกิน ใครจะคิดล่ะครับว่าวันนึงจะมีหมอกมาปกคลุมหมู่บ้านของคุณ และมีสัตว์ประหลาดเดินยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แต่ถ้าดู แล้วคิดตาม หนังเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องเจอ และ ใกล้ตัวเราอย่างคิดไม่ถึงเลยครับ
ตามธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น ได้ สร้างเกราะกำบังเพื่อรู้สึกให้ตัวเองปลอดภัยจากสิ่งที่เราไม่อาจรู้ได้ ถ้าให้พูดเจาะจงกว่านี้ก็คือ กรอบการใช้ชีวิตของเราทุกคนหล่ะครับ กรอบที่ทุกคนจะได้รับการสั่งสมมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน การสั่งสมการศึกษา แม้กระทั่งการทำงาน เราถูกผู้ใหญ่หลายคน สร้างกรอบกำบังให้เราตั้งแต่เรายังจำความได้ โดยส่วนใหญ่ก็สร้างจากพื้นฐานของความกลัวทั้งสิ้น ถูกปลูกฝังให้อยู่ในกรอบมาเสมอ ถ้ามาเทียบกับหนังแล้วกรอบการใช้ชีวิตของเราก็ไม่ต่างกับ กระจกบางๆ ของมินิมาร์ท ที่กั้นผู้คนที่อยู่ในนั้นให้รู้สึกปลอดภัย จากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในหมอกนั้น
หมอกสีขาวในหนังเป็นสัญลักษณ์ของความไม่รู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งความไม่รู้นี้เองมันเป็นจุดเริ่มของความกลัวและสุดท้ายความกลัวก็ทำให้ตัวละครส่วนใหญ่ ไม่กล้าที่จะออกมาข้างนอกเพื่อที่จะเผชิญกับความจริงอันน่ากลัวอาจเพราะคิดว่าโล่กำบังที่พวกตนอาศัยอยู่นั้นแข็งแรงและปลอดภัยเพียงพอ และแล้ววันหนึ่งเมื่อเกราะกำบังที่ ดูแข็งแรง มันไม่ได้แข็งแรงอย่างที่พวกเขาคิด สัตว์ประหลาดมากมาย ซึ่งอาจจะสื่อถึงอุปสรรคต่างๆในการใช้ชีวิต ได้ถาโถมเข้ามาโจมตี ใส่โล่กำบัง จนวันนึง คุณคิดได้ว่าสิ่งที่คุณคิดว่าแข็งแรง พึ่งพาได้ ความจริงมันช่างอ่อนแอเหลือเกิน ความสิ้นหวังย่อมตามมา จนสุดท้ายแล้วเดวิดได้ตัดสินใจหนีออกมาจากมินิมาร์ท ด้วยความกลัวและสิ้นหวัง ซึ่ง ณ จุดนี้ ถ้าคุณดูถึงตอนจบ หนังจะแยกประเด็นให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการ แหกกรอบ การใช้ชีวิตของตัวเองด้วยความหวัง กับ แหกกรอบการใช้ชีวิต ด้วยความกลัว (สังเกตไอตัวแม่บนรถทหาร)
หนังเรื่องนี้ได้เล่นประเด็นของความกลัวของมนุษย์ได้อย่างมีชั้นเชิงบวกและให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตที่ว่า ถ้าวันหนึ่งคุณตัดสินใจที่จะแหกกรอบการใช้ชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการลาออกจากงานประจำเพื่อ มาเริ่มธุรกิจใหม่ คุณต้องทำมันด้วยความหวัง ไม่ใช่ความกลัว เพราะถ้าคุณตัดสินอะไรโดยใช้ความกลัวเป็นที่ตั้งแล้วสุดท้ายจุดจบของคุณคงไม่ต่างอะไรจากในหนัง
Credit: บทความผ่านแผ่นฟิล์ม
ฝากเพจและผลงานอื่นๆ วิจารณ์ ติชมได้เลยครับ
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%A1/680159158772066?ref=hl