[Review] The Imitation Game : เราคือเครื่องจักรหรือมนุษย์?

เนื้อเรื่องย่อ : ฉากหลังเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่ออัจฉริยะทางคณิตศาสตร์อย่าง Alan Turing ได้เสนอตัวเข้าไปเข้าปฏิบัติการลับ ในการสร้างเครื่องจักร เพื่อถอดรหัสเครื่องมือสื่อสารของนาซีอย่าง 'อีนิกม่า' เพื่อจบสงครามให้ได้โดยเร็ว

- ด้านตัวละคร
สิ่งที่น่าประทับใจอย่างแรกของหนังเรื่องนี้ คือการ Cast ตัวละครที่ยอดเยี่ยม เริ่มต้นที่ตัวเอกชายอย่าง Alan Turing (Benedict Cumberbatch) ที่ตีบทเนิร์ดอัจฉริยะคณิตศาสตร์ได้ยอดเยี่ยมมาก ทั้งการแสดงออกที่ขาดๆเกินๆ การพูดจาที่ไม่เต็มปากเต็มคำ หรืออากัปกิริยาที่แสดงออกมาเวลาเข้าตาจน ทั้งหมดนี้คือความสมจริงที่พ่อเบเนดิกท์จะให้เราได้, ในขณะเดียวกัน การเล่นมุกตลกหน้าตายในช่วงต้นเรื่องก็ถือเป็นอะไรที่ดีงามมาก เล่นเอาฮาครืนทั้งโรงเลยทีเดียว

ดาวรุ่งพุ่งแรงอีกคนหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากเป็นการส่วนตัว ก็คือนางเอก Joan Clarke ซึ่ง Keira Knightley ก็ยังรักษาคุณภาพการแสดงได้ดีเช่นเดิม(เทียบจากผลงานล่าสุด Begin Again) ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่า บุคลิกที่มีลูกล่อลูกชนของนางประกอบกับดวงตาที่สื่ออารมณ์ได้อย่างซื่อตรง ล้วนเป็นเสน่ห์ที่อดพูดถึงไม่ได้ และเป็นตัวละครที่คอยถ่วงดุลให้ 'อลัน' แสดงด้านของมนุษย์ออกมาเสมอ

และที่แอบกรี๊ดเช่นเคย คือการที่คุณป้อไทวิน (Charles Dance) มาเล่นบทขรึมอย่าง ผู้พันเดนนิสตัน ซึ่งแม้จะไม่ได้ออกฉากเยอะ แต่เราก็จะกรี๊ดต่อไป

- ด้านการดำเนินเรื่อง
สิ่งที่ The Imitation Game จะให้เราได้สัมผัส คือความรู้สึกจริงจัง หนักแน่น และกดดัน ด้วยพล็อตที่สร้างจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ ฉากหลังของสงครามโลกอันโด่งดัง ทำให้เราอินกับแกนเรื่องได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และถึงแม้หนังจะไม่ได้พาเราไปสัมผัสกับสนามรบจริงๆ แต่การเลือกฟุตเทจเข้ามาแทรกในหนังอยู่เนืองๆ ส่งผลให้น้ำหนักของเรื่องราวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งต้องยกประโยชน์ให้ความละเอียดของทีมงานและผกก.ในจุดนี้

อลัน ทูริ่ง เป็นอัจฉริยะที่ไม่สมบูรณ์แบบ โดยการแบกรับตราบาปที่สังคมมอบให้ ในการเป็น 'คนผิดแผก'  ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นความผิดร้ายแรงในอังกฤษ โดยในเรื่องจะเห็นได้ชัดว่า แม้อลันจะเป็นบุคคลสำคัญที่จะถอดรหัสสงครามได้ แต่ด้านชีวิตของเขากลับต้องถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิดชนิดให้ใครรู้ไม่ได้ และถูกปฏิบัติด้วยดุจคนนอกรีต, ดังนั้นการต่อสู้ของอลันจะไม่ได้มีเพียงการเอาชนะรหัสเพียงอย่างเดียว แต่เบื่องหลังของเขาก็คือศัตรูอย่างศีลธรรมและบรรทัดฐานของสังคมด้วย

ความเข้มข้นของเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนถึงช่วงถอดรหัสปลายเรื่องเป็นเหมือนกราฟที่ทะลุเพดาน, ด้วยความที่หนังดำเนินเนื้อเรื่องหลักไปพร้อมๆกับพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครที่มีอยู่จำกัดได้อย่างชาญฉลาด ทำให้เรารู้สึก 'เพลิน' กับเนื้อเรื่องได้ไม่ขาดสาย และการใช้ flashback ไปในช่วงวัยเด็กของอลัน ก็ช่วยเสริมความสลักสำคัญของปมในรสนิยมของเขาขึ้นมาอีก และในท้ายที่สุดอยากจะขอยกให้ฉากที่คริสโตเฟอร์ถอดรหัสสำเร็จนั้น เป็นฉากที่ทรงพลังที่สุด (ผู้เขียนถึงกับขนลุกเกรียว) และค่อยๆแผ่วปลายในช่วงตอนจบของเรื่องอย่างช้าๆ..

- ด้านงานภาพ-เพลงประกอบ
การเล่นเพลงประกอบอย่างชาญฉลาด ทำให้หนังถูกเน้นย้ำอยู่บ่อยครั้ง ในทุกๆฉากสำคัญ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมอารมณ์หนังให้คงเส้นคงวา และเร่งจังหวะขึ้นอย่างถูกท่วงที และมุมกล้องจะเรียบง่ายสบายตัว ก็ถือเป็นสไตล์การเล่าเรื่องอย่าเนิบนาบ อย่างที่ชีวิตของอลันถูกนำเสนอให้เราดู

"The Imitation Game เป็นหนังดราม่า-ทริลเลอร์ ที่มีเอกลักษณ์ของตัวละครที่ใช้เล่าเรื่องที่โดดเด่น และมีเสน่ห์ให้น่าจดจำไม่เว้นแม้แต่รายละเอียดเพียงยิบย่อย มีบทสนทนาที่ชาญฉลาดที่กล้าเล่นกับความคิดและท้าทายศีลธรรมของเรา และเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าจดจำ ทั้งหลายทั้งมวลอาจจะเป็นหนังที่ดีที่สุดในรอบ 2-3 เดือนที่ผ่านมา และไม่ควรพลาดด้วยนานาประการใด"

คะแนนความเห็นส่วนตัว : 12/10
คุณไม่เข้าใจถึงความสำคัญของสิ่งที่ผมกำลังสร้างหรอก by Jayz Hunhaboon
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่