"เราชอบนาย" ความในใจของ Backpacker

จะพยายามเล่าสั้นๆนะครับ ฮ่าๆๆ (กระทู้แรก ฮ่า)
คือผม อายุ 24 ครับ ทำงานประจำ แต่ผมเป็นคนชอบเที่ยวต่างจังหวัด ภูเขา ทะเลกับเพื่อนๆเป็นประจำ (จนเพื่อนทักว่าลาออกจากงานแล้วหรอ ฮ่าๆๆ)
พอย้ายกลับต่างจังหวัด ไอ้แก้งค์ RCA เอกมัย ทองหล่อ มันก็หายไป เมืองอุดรธานีนี้มีแต่เพื่อนร่วมงานใหม่ ก็เลยจำใจไปไหนคนเดียวตลอด แต่นิสัยชอบเที่ยวก็ยังไม่เลิกนะครับ ผมเป็นคนชอบเที่ยวธรรมชาติ วัด เลยมองไปเที่ยว ตปท (ลาว เขมร กัมพูชา เวียดนาม) 5555 ด้วยเป็นคนอีสานเลยมุ่งไปที่ลาวประเทศเเรกเลยครับ และเป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจวางแผนที่จะไปคนเดียว หรือ Backpack ไป (ตอนแรกกลัวนั่น กลัวนี่ หลายอย่างมากครับ) โดยเฉพาะกลัวเหงา แต่ก็ลุยไปคนเดียวจนได้ครับ ที่ "หลวงพระบาง" ตอนช่วง วันพ่อ ของปีที่แล้ว (2557) อากาศดีมากครับ ผมพักที่เกสเฮาส์ ริมแม่น้ำโขง กับเพื่อนชาวต่างชาติมากมาย

ผมรู้สึกตื่นเต้นกับแผนการเที่ยวเมืองนี้ที่ตระเตรียมมา มีกล้องตัวใหญ่ๆ ตัวนึง พร้อมมุมต่างๆที่คิดไว้ ผมก็เที่ยวถ่ายรูปเลยครับบบบ







ผมก็ถ่ายรูปตามปกติครับ แล้วผมก็พบกับคนญี่ปุ่นคนนึง ที่ผมจำได้ว่าอยู่เกสเฮ้าเดียวกัน ผมก็เลยทักทาย ตอนแรกเขาจำผมไม่ได้ครับ ผมเลยเดินต่อไป แล้วเขาก็มาสะกิดผม แล้วบอกว่า จำได้แล้ว เราพักที่เดียวกัน



นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างครับ อย่างที่คุณรู้ เราคุยกันในฐานะเพื่อนใหม่ ที่เป็นผู้ชาย (ที่เริ่มจะไม่ใช่อย่างนั้น) ผมรู้สึกสนุกมากกับการไปเที่ยวที่ๆ เราทั้งคู่ไม่เคยไปมาก่อน เขาพูดอังกฤษได้ไม่เก่งนัก ผมก็เหมือนกัน การสื่อสารเราเลยพยายามกันพอสมควร แต่มันทำให้เราไว้ใจและสนุกกับมันมากเลยทีเดียว เขาอายุ 22 มาเที่ยวลาวคนเดียว หลังเรียนจบที่โยโกฮามา มาที่ลาวเพราะอยากเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ และมาสัมผัสที่เขาเกิดมาไม่ทันในสังคมญี่ปุ่น นั่นคือธรรมาติและวิถีชีวิตชนบทนั่นเองครับ



ตลอดเวลา 4 วันที่หลวงพระบาง ผมและทาคาชิ สนิทกันอย่างรวดเร็ว ผมเป็นคนอีสานและรู้จักวัฒนธรรมของลาวดี ก็ไดกลายเป็นไกด์จำเป็น พาชิมอาหารลาว และเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของคนแถบนี้ และดูเหมือนเขาจะชอบมากครับ



ทุกๆวันที่เราเที่ยวกันมาตลอดทั้งวัน ผมก็มองหาร้านชิวๆ ดนตรีเพราะๆ เสมอๆ ก็คุยกับน้องที่ดูแลเกสเฮ้าจนสนิทกัน น้องเค้าก็พาแว้นมอไซ ไปกิน "เบียลาว" กันอยู่หลายขวด พอผมกับทาคาชิพูดคุยกันมากขึ้น บางครั้งผมก็รู้สึกว่า "ผมเริ่มชอบเขาเข้าซะแล้ว"






เพราะผมรู้ว่าอีกไม่กี่วันเราต้องจากกันแล้ว แล้วไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกไหม ความลับในใจก็อยากจะบอก แต่ก็กลัวเสียเพื่อนไป เพราะเท่าๆที่สังเกตดูแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะชอบผู้ชายเลย แต่ผมก็พยายามดูแลเขามาก (ออกตัวแรง) พอสมควร คอยถามทางพาเที่ยว พาไปกินของอร่อยๆ (เนื้อควาย) ตลอดทางเราก็เรียนภาษาญี่ปุ่นกัน

"ทาคาชิ ฉันรักเธอ ภาษาญี่ปุ่นนี่มันพูดว่าไงอะ"   >>> วาตาชิวะ อานาตากะ ไอชิเตรุ  

ผมก็ทวนมันอยู่นั่นแหละครับ เผื่อจะได้ยินและเข้าใจว่าผมใบ้ให้เต็มที่ละนะ หรือเป็นฝ่ายถามกุมั่งงง ฮ่าๆๆๆ

จนแล้วจนรอด ผมก็บอกเขาว่าพรุ่งนี้ผมจะกลับแล้ว จะไปต่อรถที่เวียงจันทน์ ส่วนเขาจะกลับอีกวัน (ยังอยากอยู่ต่อมากๆ) ก็เลยชวนเขากลับพร้อมกันซะเลย เขาก็โอเคครับ เพราะเขาแพลนจะไปค้างที่เวียงจันทน์สองคืน ก็เข้าแผนผมให้ต่อลมหายใจ ให้โอกาสตัวเองอีกนิด เผื่อลมพัดลมเพไปบอกเขาที่เวียงจันทน์นู่นละมั้งงงงง





         พอถึงเวียงจันทน์เช้า เราก็ไปไหว้พระธาตุหลวง ไปประตูชัย  แต่ตอนบ่ายผมจะต้องกลับอุดรธานีแล้ว เพราะต้องทำงานตอนเย็น ก็ได้ตัดใจไม่บอกความรู้สึก เลือกที่จะเก็บความสัมพันธ์และความทรงจำดีๆนี้ไว้ ก่อนจากกัน ก็ได้แลกไดอารี่เขียนความรู้สึกให้กัน ด้วยความเงียบในห้องพัก ก่อนที่จะเดินลงมาส่งด้านล่าง ก่อนตุ้กๆจะออก ผมก็ได้แต่พูดภาษาญี่ปุ่นที่แอบเปิดกูเกิลมาว่า "เพื่อน แล้วเจอกันอีกนะ" ก่อนที่ผมจะหันหน้าหนี เพราะยิ่งมองหน้าเพื่อนคนนี้ แววตาเขาก็ดูปนเศร้า พอจะทำเราน้ำตาไหล ก็หยิบเอาไดอารี่ที่เขาเขียนมาอ่านบนตุ้กๆ ก่อนจะถึงสถานีขนส่ง ทาคาชิได้บอกเพียงว่า "ดีใจที่ได้พบกัน นับว่าเป็นทริปที่มีคุณค่ามากๆ ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือเขาในหลายเรื่อง เรามีหลายๆเรื่องที่อยากคุยกะนาย แต่ขอโทดที่บางครั้งเราสื่อสารกันอย่างยากลำบาก ไว้โอกาสหน้าเราต้องพูดอังกฤษเก่งๆแล้วล่ะ โชคดีนะ"

มันยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหล จนลุงคนขับถามว่า "ไม่เปนไรนะพ่อหนุ่ม"  ครับๆๆๆ ผมก็ทำท่าเป็นซับเหงื่อเต็มที่ครับผมมม ฮ่าๆๆ   


จากนั้นผมก็กลับมาทำงาน และรู้เพียงว่า เขาแพลนจะไปเที่ยวกรุงเทพอีก 4 -5 วันก่อนกลับญี่ปุ่น ผมก็ได้แต่ทักไลน์เป็นพักๆ ว่าเขาทำอะไรที่ไหน มองดูวันหยุดที่ใช้ไปตอนต้นเดือนแล้วถอนหายใจ มีแค่วันนึงที่พอหยุดได้ แต่คงไม่พอที่ไปกรุงเทพ ไปพบเขาอีกครั้ง หรือเพื่อ "อำลา"

แต่ดูเหมือนว่าฟ้าจะเป็นใจ เมื่อเพื่อนร่วมงานที่ผมเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง คาบข่าวไปบอกหัวหน้า ทำให้หัวหน้าส่งเสริมการมีคู่ครอง ได้สลับเวลาทำงานให้คนอย่างผมได้หยุด สามวัน เพื่อจะไปตามหารักแท้ที่ กทม. (เริ่มเว่ออละครับ)  ผมก็ดีใจและตื่นเต้นมากครับ ผมรีบส่งข่าวให้ทาคาชิรู้ และโกหกเขาว่า ผมต้องไปงานแต่งเพื่อน และพอมีเวลาพาเขาเที่ยวนะ เขาก็ดีใจมากครับ  ผมก็พาเขาเที่ยววัดพระแก้ว ดูพระมหาชนกฟีโนมีนอน ไปชมนิทรรศรัตนโกสินทร์ วัดโพธิ์ วัดอรุณ ตามระเบียบ พานั่งเรือล่องเจ้าพระยาไปเอเชียทีค บรรยากาศตอนเย็นมันสุดแสนจะเป็นใจให้ผมอยากหยิบคำพูดในใจออกมาบอกเขาอีกครั้ง .......

ผมบอกเขาว่า หลังกินข้าววันนี้ผมมีอะไรจะบอก ผมก็วางแผนการเสียว่า ยังไงก็ต้องบอกให้ได้ จัดแจงจองห้องอาหารที่ตึกใบหยกชั้น 82 ทันทีเลยครับ (เอาวะๆๆๆๆ) อยากให้เขาประทับใจน่าาาา ขึ้นไปดูกรุงเทพสักหน่อย




และแล้ววว หลังทานข้าวเสร็จ ก็ขึ้นไปดาดฟ้า จุดชมวิว ภาพเมืองหลวงตอนค่ำคืนนี่เหมาะมากครับ กับการสารภาพความในใจ

ผม : ทาคาชิ จำได้ไหม เรามีอะไรจะบอก
เขา : อืม จำได้ มีไรรึป่าว?
ผม : อ้ำ อึ้งพอสมควรครับ "ที่จริงแล้ว มันไม่มีงานแต่งอะไรหรอก ที่เรามาที่นี่เพราะเราไม่รู้ว่าถ้านายกลับญี่ปุ่นไปแล้ว นายจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ เราอยากพานายเที่ยว อยากให้นายได้เห็น ได้ไปในที่ที่ดีสุดในกรุงเทพ อยากให้นายประทับใจนะ"

เขา : ทำท่าตกใจมาก "อาริกาโตะ เราตกใจจริงๆ แสดงว่าพรุ่งนี้นายก็ต้องกลับไปทำงานใช่ไหม?"
ผม : ใช่แล้ว เราจะออกจากที่พักพร้อมกัน เราเชคอิน 7:45 นาที นายเชคอิน 9:15 นาที นายคงต้องไปส่งเราก่อนอ่ะ"
เขา : ได้ๆ ขอบคุณอีกครั้งนะ
ผม : ไม่เป็นไร ไว้เราไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องพาเราเที่ยวด้วยนะ กลับไปพักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเเต่เช้า

แล้วเราทั้งคู่ก็กลับที่พัก โดยเป็นอีกครั้งที่ผมไม่ได้บอกชอบเขา ทั้งๆที่มันก็ค้างคาใจเสียเหลือเกิน .....




ก่อนจะนอนคืนนั้น ผมก็ยังนอนไม่หลับ พลิกไป พลิกมาๆๆๆๆๆ จึงได้พูดขึ้นมาในห้องที่มืดสนิดว่า
ผม : ทาคาชิ นายรู้สึกยังไงก็ทริปนี้บ้างอะ
เขา : มันสนุกมากเลย โชคดีที่เราที่เจอกัน มันทำให้ทริปนี้ง่ายขึ้นเยอะ นายใจดีมาก ขอบคุณที่พาเที่ยวนะ
ผม : อืมม เราก็เหมือนกัน ดีใจที่ได้รู้จักนายนะ พรุ่งนี้เราจะจากกันแล้ว เราขอกอดนายได้ไหม?
เขา : ได้ดิ
    ผมก็พลิกตัวไปกอดทาคาชิ เขาก็เอื้อมตัวขึ้นมา ก่อนที่ทั้งสองคนจะตบหลังกันเบาๆ ก่อนที่วันรุ่งขึ้นต้องจากกันจริงสะที

5: 30 นาที  นาฬิกาปลุก เราทั้งสองคนก็รีบตื่นเก็บของ ทาคาชิหาของบางอย่างไม่เจอ เลยช้าไปนิดหน่อย จากนั้นก็เรียก Taxi ไป แอร์พอตลิงค์
พอไปถึงรถออกพอดี ต้องรออีก 15 นาที ผมก็ร้อนใจแล้วว่า ผมจะไปไม่ทันเชคอินใน  เวลา 7:15 นาที ตอนนี้ก็ 6:45 แล้ว

เมื่อรถไฟมาถึง ชั้นใต้ดินที่สุวรรณภูมิ เวลา  7:13 นาที (ยังกะในหนัง) ผมพยายามบอกทาคาชิด้วยสีหน้าปกติว่า "เราอาจจะได้ลากันตรงนี้นะ เราอาจจะต้องวิ่งขึ้นไปชั้น 4 เพื่อเช็คอินให้ทัน"   ทาคาชิอาสาถือกระเป๋าให้ และให้ผมวิ่งไปก่อน ซึ่งผมปฏิเสธ กลัวเพื่อนลำบาก ... เมื่อประตูเปิด ผมมองหน้าเขาอีกครั้ง บอกลาและวิ่งออกจากขบวนรถ แหวกคนมากมายที่บันไดเลื่อน เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยมาก มองนาฬิกาเหลืออีกเพียง 1 นาทีเท่านั้น แล้วผมก็ล้มคว่ำลงไปกลางบันไดเลื่อนที่ชั้น 3 ไม่น่าเชื่อว่าทาคาชิวิ่งตามผมมา ผมรีบลุกขึ้น อุ้มกระเป๋าใบใหญ่แล้ววิ่งต่อ

พอถึงชั้น 4 ผมรีบวิ่งไปที่ช่อง stand by/staff ticket  วางกระเป๋าลง ยื่นบัตรประชาชน แล้วฟุบลงหน้าเค้าเตอร์เช็คอิน "ผมมาทันเวลาครับ"
พอผมได้บอรดดิ้งพาส ผมก็รีบเดินสวนคนมากมาย ออกมาไปมองหาทาคาชิ แล้วผมก็เจอเขามองหาผมเช่นกัน ผมรีบเดินตรงดิ่งไปหาเขา กอดเขาอีกครั้งด้วยความดีใจ และนี่เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆที่ผมกล่าวอำลา...... พร้อมกับคำว่า "เพื่อนใหม่"





บ๊าย บาย

มันคิดถึงบ้างนะ เวลาทำงาน ในครั้งหนึ่งเราพยายามเต็มที่แล้ว ก็ลงเอยกับคำว่า "เพื่อน" ที่ไม่อยากให้มันหายไป นั่งๆทำงานอยู่ ก็มองไปเห็นโปรเครื่องบินของแอร์ เอเชีย ไปญี่ปุ่นครับ   เอาละหว่าาาาาาา ท่าจะไม่จบง่ายๆ หัวหน้าก็ใจดีอีกครับ จัดวันหยุดให้ 7 วัน จองตั๋วทันทีครับ พร้อมกับส่งข่าวให้เพื่อนรักต่างแดนทราบ เจอกันนะเพื่อน 29 มีนา ถึง 4 เมษา 2558 นี้  See U in Japan >>>>>


ผมว่าจะไม่ยาวแล้วนะครับ ตั้งกระทู้ครั้งแรกของผมนะเนี่ย จะมีใครอ่านมาถึงตรงนี้ไหมนะ สรุปก็แค่ว่า "ผมจะบอกเขาดีไหม โอกาสสุดท้ายจริงแล้วนะบักหล้าเอ้ยยยย"



ขอบคุณมากนะครับ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เอาใจช่วยนะคะ  ญี่ปุ่นโรแมนติกมาก  ขอให้มีความสุขกับทริปนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่