วันนี้เป็นวันที่เราได้ย้อนคิดถึงวันนั้นอีกครั้ง มันคือความรักครั้งแรกที่ไม่เคยลืมไปจากหัวใจ....
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว สมัยยังเป็นเด็กน้อยที่อำลาวัยประถมจากโรงเรียนหญิงล้วนผมเปียสู่โรงเรียนสห
จากเด็กผู้หญิงทอมๆคนหนึ่ง ที่มีแฟนผู้หญิงเป็นตัวเป็นตน เข้าสู่สังคมที่มีทั้งหญิงและชาย
วันนั้นเป็นวันแรกของการปรับพื้นฐานก่อนเข้าม.1 วันแรกที่เราได้พบกับเขา ในห้องเรียนคอมพิวเตอร์
เหตุการณ์มันชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เราเข้ามาในห้องเรียนสายจึงทำให้ไม่ได้นั่งกับกลุ่มเพื่อนที่ย้ายมาจากโรงเรียนเดียวกัน ต้องไปนั่งข้างเด็กชายคนหนึ่งที่เลขที่1ของห้อง การเรียนคาบนั้นไม่สนุกเอาเสียเลย
เราต้องนั่งเงียบตลอดทั้งคาบเพราะไม่รู้จะคุยกับใคร ด้วยความที่มาจากหญิงล้วน จึงแอบมีอคติกับผู้ชายเล็กๆ ไม่เคยคิดจะชวนคุยก่อนอยู่แล้ว จนเวลาใกล้จะหมดคาบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
"เธอ ยืมยางลบหน่อย"
เราแอบตกใจ แต่ก็ยื่นยางลบให้เขาแต่โดยดี
หลังจากนั้นเมื่อกริ่งบอกเวลาหมดคาบ เราก็เก็บกระเป๋าเตรียมย้ายห้อง แต่ด้วยความจำที่ดีเลิศ จึงทำให้ต้องหันไปทวงยางลบที่เขายืมไปคืน เพราะเขาไม่ยอมคืนเรา!
"ยางลบเราอ่ะ"
"เราคืนแล้วนะ" เขาทำหน้าตาใสซื่อประมาณว่าคืนแล้วจริงๆ แต่เราก็ความจำยังไม่เลอะเลือนนะ เขายังไม่ได้คืนเราจริงๆนี่
"ยังเลย"
เขาเกาหัวแกรกๆ ทำหน้างงๆ จนเด็กผู้หญิงที่นั่งข้างเขาอีกฝั่งหนึ่งยื่นหน้าเข้ามา
"อันนี้ป่าว"
นั่นไง ยางลบเรา และวันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของพวกเราทั้งสองคน....
การเรียนปรับพื้นฐานเป็นช่วงเวลาสั้นๆก่อนเปิดเทอมที่เรายังคงจับกลุ่มกับเพื่อนโรงเรียนหญิงล้วนที่ย้ายมาด้วยกันอย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าจะก่อนเข้าเรียน พักกินข้าว พักเบรค เลิกเรียน เราไม่เคยแตกกลุ่มไปไหน ไม่มีใครสามารถทำลายกำแพงของเด็กนักเรียนโรงเรียนหญิงล้วนได้ แต่ก็นั่นแหละ เวลาผ่านไปสังคมใหม่ๆก็เริ่มแทรกซึมเข้ามา เราเริ่มมีเพื่อนสาวในร่างชายมาร่วมโต๊ะกินข้าว เพื่อนผู้หญิงจากโรงเรียนอื่นๆ กลุ่มของเราจึงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่เชื่อมั้ย ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้ามาสักคน เพราะอะไรนั่นหรอ เราแผ่รังสีอำมหิตแอนตี้ผู้ชายมากไปมั้ง อิอิ
พอถึงเวลาเปิดเทอม ม.1 ความฝันของกลุ่มเด็กหญิงล้วนเป็นอันต้องสลายลง เพราะพวกเราถูกจับแยกห้องหมด! โชคดีหน่อยเพื่อนส่วนมหญ่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เราน่ะหรอ โดนแยกจ้าT^T เหลือกันอยู่สองสามหน่อ เหงาชะมัด แถมเปิดเทอมวันเเรกยังเป็นการเปิดตึกใหม่อีก ต้องทั้งแบกโต๊ะ แบกเก้าอี้ขึ้นห้อง เหนื่อยมาก เพื่อนเราเขาก็ขอแรงผู้ชายช่วยกันหมดละ แต่เราน่ะหรอ อย่าหวังจะยอม เป็นผู้หญิงก็ทำได้เหมือนกันล่ะน่า
วันเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ ยอมรับจริงๆว่าเราน่ะกลัวผู้ชาย ก็เกิดมาไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายเลยนี่นา โหว แล้วตอนอยู่หญิงล้วนไปนั่งรถโรงเรียนชายล้วนข้างๆก็โดนแกล้งตลอด เข็ดเลยอ่ะ (ที่โดนแกล้งเนี่ยก็แกล้งเขาคืนเรียบร้อยละนะ เราซะอย่าง แมนๆอยู่ละ555) แต่ทำยังไงได้ ย้ายมารร.สหก็ต้องมีเพื่อนทั้งหญิงชาย มันก็เลยต้องมีการปรับตัวกันหน่อย จะบอกว่าเขาก็อยู่ห้องเดียวกับเรานะ นายยางลบคนนั้น ไปๆมาๆก็กลายมาเป็นกลุ่มเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็สนิทกันไปละ คงเป็นเพราะเขาเป็นผู้ชายนิ่มๆมั้ง ไม่กระโชกโฮกฮาก ใจดี แอบขี้แกล้งเล็กๆพอรับได้ แต่เราน่ะหรอ ชอบชวนเขาทะเลาะประจำ แต่มันก็ทำให้สนิทกันมากขึ้นทุกครั้ง เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย ทั้งเรื่องเรียนที่เขาเก่งอังกฤษมากและจะคอยช่วยเราอยู่เสมอ เรื่องงานศิลปะที่เราเก่งกว่าและเราก็คอยช่วยเขา เรื่องแฟน! เพราะเขาแอบชอบเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มคนนึงที่เป็นสาวป๊อปมากจนหนุ่มๆต่างห้องก็รุมจีบ แต่ด้วยความที่เป็นผู้ชายนิ่มๆนี่แหละ จะไปสู้อะไรใครได้ โดนหนักนะตอนนั้น ห้องอื่นๆนี่แทบจะรุมกระทืบอยู่แล้ว ก็ต้องอาศัยแม่สื่อทอมบอยสุดโหดอย่างเราคอยช่วยอยู่เสมอนั่นแหละ เพราะตอนนั้นเราก็มีแฟนอยู่แล้วเหมือนกันเป็นผู้หญิงจากโรงเรียนเก่า เขาก็มาขอคำปรึกษาบ้าง คุยเล่นบ้าง จนไปๆมาๆก็กลายเป็นคุยกันทุกวัน รู้ตัวอีกทีกลายเป็นว่าเราคุยกับเขาบ่อยกว่าแฟนเราเสียอีก งงจริงๆตอนนั้น เพราะเราห่างกับแฟนเราด้วย เรียนคนละโรงเรียน ไม่ค่อยได้เจอ บ้านก็ไกล สุดท้ายก็ต้องเลิกกัน แต่ถามว่าเฮิร์ทมั้ย ตอนนั้นไม่รู้นะ คงยังเด็กมั้ง แถมไม่รู้ว่ามันเป็นความรักจริงๆรึเปล่า เลิกไปก็จบ ไม่เห็นมีอะไร เราก็มีเพื่อนเยอะเเยะ มีเขาที่ให้คุยด้วยทุกวันเผลอแปปเดียวก็ ม.2 ซะแล้ว
พอขึ้นม.2 มันก็สนิทกันมากขึ้น เราเริ่มเปลี่ยนตัวเองจากกลัวผู้ชายเป็นแกล้งผู้ชาย กิจกรรมก็เริ่มเปลี่ยนจากกลางวันกินข้าวแล้วเม้ามอย เป็นจองแป้นเล่นบาสกับแก๊งชายโฉด (โฉดที่ไหนผู้ชายห้องเราติ๋มๆทั้งนั้น5555) ตกเย็นก็เล่นบาส ถ้าวันไหนมาเช้าหน่อยก็เล่นบาสอีก ผอมเลยช่วงนั้น แถมสนิทกับเขามากขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะเขาก็มาเล่นด้วยทุกวัน แทบจะตัวติดกันเลยล่ะ ส่วนเรื่องสาวป๊อปที่เขาชอบคนนั้นก็ยังไม่หนีไปไหน กลายเป็นว่าเราต้องไปคอยเชียร์แล้วเชียร์อีก ยืนยันกับสาวเจ้าคนนั้นว่าเขาเป็นครดีจริงๆนะ แต่ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่เราเชียร์เขา คำพูดทุกคำมันทำให้รู้สึกดีและออกมาจากใจจริงๆแต่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไม คงเพราะเขาเป็นคนที่ดีมาก เทคแคร์ดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง แม้แต่กับเพื่อนเขายังดีขนาดนี้เลย กับแฟนเขาจะดีขนาดไหน หน้าตาก็ไม่ได้ขี้เหร่เกินจะควงหรอก จนสุดท้ายเขาก็ได้เป็นแฟนกับสาวป๊อปเพื่อนสนิทเราจริงๆ ดีใจจะตายเพื่อนสนิทเป็นแฟนกัน แต่อะไรๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก....
พอเขามีแฟน เราก็เริ่มห่างกัน เขาไม่มาเล่นบาส ไม่ค่อยโทรหา ยกเว้นมีปัญหาอะไรก็จะโทรมาเป็นครั้งคราว เวลานั่งที่โรงเรียนก็เริ่มห่างกัน เขาย้ายไปนั่งข้างแฟน เราก็มองอยู่ห่างๆ ก็โอเคนะ แต่ก็เริ่มรู้สึกเหงาแปลกๆ ไม่เข้าใจตัวเองเท่าไหร่ เราก็เลยไปสนิทกับเพื่อนผู้ชายในกลุ่มเล่นบาสคนอื่น ก็อยู่ได้ปกติทุกวันแค่ไม่มีเขาให้แกล้งเหมือนเดิม แต่พอเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มโทรมาบ่อยขึ้นอีกครั้ง เพราะมีปัญหากับแฟนบ่อยขึ้น ประเด็นคือไม่ใช่แค่เขานะที่โทรมาบ่อย แฟนเขาหรือเพื่อนสนิทเรานั่นแหละก็โทรมา ปรึกษาโน่นนี่ เรื่องเดียวกันแต่คนละมุมมอง! โอ้ยตาย แยกประสาทคุยไม่ออกเลยตอนนั้น ยอมรับว่าปวดหัวมาก จะเอาเรื่องเขาไปบอกเธอ เรื่องเธอไปบอกเขาก็ไม่ได้ ทำได้แค่รับฟังไกล่เกลี่ยดีกันเถอะๆ ตอนนั้นเป็นห่วงเขามาก เพราะเริ่มรู้ว่าแฟนเขาเริ่มหมดรักเขาแล้ว เพราะเขาโทรหาทุกวันจู้จี้น่ารำคาญ(หรอ?) แถมยังมีหนุ่มๆต่อคิวรออีกเพียบ สาวเจ้าเธอไม่เเคร์เขาหรอก แต่จะให้เราไปพูดอย่างนั้นกับเขาหรอ ไม่มีทาง ทำร้ายเพื่อนมากไปละ แต่ทำอะไรไม่ได้หรอก สุดท้ายเขาก็เลิกกันอยู่ดี ปลอบกันยกใหญ่เลยคราวนี้ ห้องแอบแตก เพราะดันอยู่ห้องเดียวกันเป็นแฟนกันเลิกกันนี่ล่ะ เพื่อนทำตัวไม่ถูกเลย จะเข้าข้างใครก็ไม่ได้ก็เพื่อนทั้งคู่ แต่ก็ความรักเด็กๆอ่ะนะ ไม่นานสาวเจ้าก็มีแฟนใหม่ เขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เราก็ได้เพื่อนสนิทเรากลับคืนมา ดีจะตาย^^
นอกจากเขาเราก็มีเพื่อนสนิทอีกเยอะนะ แต่ด้วยนิสัยทอมๆอย่างเรา การจีบสาวก็ใช่ย่อย ระหว่างเขาไปมีแฟน เราก็จีบเพื่อนสาวจากโรงเรียนหญิงล้วนที่ย้ายมาด้วยกันไปด้วย หยอดกันไปหยอดกันมา ก็คุยกันว่าลองคบกันดูหน่อยละกัน เราก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ(เธอบอกมา อิอิ) เราก็เลยมีเวลาให้เขาน้อยลงหน่อย เริ่มกลับมาอยู่กลุ่มผู้หญิงมากขึ้นเพราะต้องมาตามอยู่กับแฟน แต่เราก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก ยังเล่นบาสเหมือนเดิม เพราะเเฟนเราเธอน่ารักตามมาเชียร์ข้างแป้นบาสตลอด บอกได้เลยว่าหนุ่มๆต้องอิจฉาเราเลยล่ะ
เวลาผ่านไปไม่นาน เราก็เริ่มรู้ตัวว่ามันไม่ใช่ เราไม่ได้อยากคุยกับแฟนสาวของเราเท่ากับอยากคุยกับเขา เราไม่ได้อยากนั่งกินข้าวกับแฟนเรา แต่เราอยากเล่นบาสกับเขา เราไม่ได้ชอบนั่งเม้ามอยในกลุ่มเพื่อนสาวของแฟน แต่เราชอบไปขลุกอยู่กับแก๊งชายโฉดกับเขา เหมือนแฟนเราก็คงเข้าใจมั้ง เธอไม่ได้ว่าอะไรสักคำ เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมง่ายๆเพราะเราต่างคนต่างรู้ว่าความรู้สึกของพวกเรามันไม่ใช่ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
ม.3 ...จากการเรียนๆเล่นๆไปวันๆ อ่านหนังสือแค่ก่อนสอบ โรงเรียนก็ปล่อยเกรดคะแนนเก็บเกินครึ่ง สอบก็สอบไปงั้นๆ ทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงเรามาก อยากให้ม.4 เราย้ายไปเรียนโรงเรียนชื่อดังในเมืองจะได้มีโอกาสสอบเข้ามหาลัยได้ เราจึงต้องเริ่มไปเรียนพิเศษทุกอาทิตย์ที่สยาม แต่สำหรับเขาตอนนี้เป็นโอกาสของการสอบชิงทุนนักเรียนแรกเปลี่ยนต่างประเทศเหมือนกับเพื่อนๆหลายคนในห้องที่อายุถึง(เราอายุไม่ถึงไง) แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราคุยกันน้อยลงเลย มันกลับยิ่งมากขึ้นด้วยซ้ำ พอเครียดๆเราก็มาคุยกันหัวเราะกัน อาจไม่ได้เล่นบาสทุกวันเหมือนเดิม แต่เราก็สนุกที่ได้นั่งเรียนข้างกันในปีนี้ ความจริงก็ไม่ได้ข้างหรอก มีเพื่อนคนนึงนั่งคั่นกลาง แต่เราชอบเล่นกันข้ามหัวมันตลอด555 จนเพื่อนเริ่มแซวว่าสองคนนี้มันยังไงกันแน่ เพื่อนสนิทอดีตแฟนของเรายังแซวเลย เธอเป็นคนที่รู้จักเราดีที่สุด ดียิ่งกว่าตัวเราเองซะอีก เริ่มมีคนถามว่ายังไงๆกันนะสองคนนี้ จนเราน่ะเริ่มหวั่นไหว แต่เขาคงไม่หรอก เราก็เลยคุยกันปกติเหมือนเดิม เอาเรื่องที่เพื่อนล้อมานั่งขำกัน เราคุยกันทั้ง msn ทั้งโทรศัพท์ ตอนแรกก็แค่โทรศัพท์นะ แต่มันเปลืองมาก เราก็เลยสมัครอีเมลให้เขาซะเลย กลายเป็นว่าเรารู้พาสเวิร์ดเขาด้วยล่ะ อิอิ แต่เราก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับเรื่องส่วนตัวเขานะ แค่แอบเข้าไปแกล้งเปลี่ยนชื่อเอมบ้างเอาฮา (ไม่ยุ่งเลย) เราสนิทกันมากๆ มากจนไม่อยากเชื่อวันเมื่อก่อนเคยอคติกับผู้ชาย เราโทรคุยกันทุกวันจนความรู้สึกของเรามันเริ่มเปลี่ยนไป เราเริ่มเขียนไดอารี่ถึงเขา เริ่มเก็บอะไรดีๆที่เขาทำให้ เริ่มเขินเวลาเขาพูดหวานๆใส่(แบบล้อเล่นอ่ะนะ) และก็เขินมากๆตอนเขาเปิดเทปที่เขาร้องเพลง when you say nothing at all ที่อัดไว้ให้เราฟังเป็นคนแรก ตั้งแต่ตอนนั้น เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเราไม่เหมือนเดิม แต่เราก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยการแกล้งเขาแรงๆบ้าง แซวเขากับคนอื่นบ้าง โดยไม่รู้เลยว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น...
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพื่อนเราหลายๆคนกำลังฟอร์มวงอยากทำวงดนตรีประจำห้อง ความจริงก็ไม่เชิงว่าจริงจังมากมายแต่เพียงแค่มีเพื่อนหลายๆคนในห้องที่เล่นดนตรีเป็นเยอะ หนึ่งในนั้นก็คือเราที่เรียนกีตาร์อยู่แล้วตั้งแต่ ม.1 และเขาก็เรียนแซกโซโฟนอยู่เหมือนกัน เราเรียนอยู่ที่เดียวกันมาสักพัก มันทำให้วันเสาร์เราก็ได้เจอเขา ได้แอบไปมองเขาเรียนในห้อง(ความจริงก็แกล้งเเซวมากกว่า) มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เขาเป็นคนโรแมนติกเหมือนกันนะ เราเริ่มมีหัวข้อคุยกันในเรื่องดนตรี แชร์โน้ตดนตรีกันบ้าง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เราสองคนหรอก ยังมีเพื่อนสาวในร่างชายมือคีย์บอร์ด กับเพื่อนสาวอดีตแฟนของเราอีกคนที่เล่นไวโอลิน วงมันแอบดูมั่วๆ แต่มันก็สนุกมากเลย บางทีก็แอบไปเล่นเครื่องเพื่อน บางทีก็เดินแบกเครื่องดนตรีเดินห้างด้วยกันเป็นแก๊งค์(ยกเว้นคีย์บอร์ดนะ555) ส่วนใหญ่เราก็แบกกีตาร์เอง แต่เขาจะถือให้ไวโอลินเพื่อนเราเสมอ ก็เรามันแมนๆไม่คิดอะไรอยู่แล้ว แต่ก็แอบรู้สึกแปลกๆกับพฤติกรรมของเขาและเธอบ้างในบางครั้ง แต่ตอนนั้นก็คิดว่าเราคงคิดไปเอง
To be continue...
First love รักแรกและตลอดไป
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว สมัยยังเป็นเด็กน้อยที่อำลาวัยประถมจากโรงเรียนหญิงล้วนผมเปียสู่โรงเรียนสห
จากเด็กผู้หญิงทอมๆคนหนึ่ง ที่มีแฟนผู้หญิงเป็นตัวเป็นตน เข้าสู่สังคมที่มีทั้งหญิงและชาย
วันนั้นเป็นวันแรกของการปรับพื้นฐานก่อนเข้าม.1 วันแรกที่เราได้พบกับเขา ในห้องเรียนคอมพิวเตอร์
เหตุการณ์มันชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เราเข้ามาในห้องเรียนสายจึงทำให้ไม่ได้นั่งกับกลุ่มเพื่อนที่ย้ายมาจากโรงเรียนเดียวกัน ต้องไปนั่งข้างเด็กชายคนหนึ่งที่เลขที่1ของห้อง การเรียนคาบนั้นไม่สนุกเอาเสียเลย
เราต้องนั่งเงียบตลอดทั้งคาบเพราะไม่รู้จะคุยกับใคร ด้วยความที่มาจากหญิงล้วน จึงแอบมีอคติกับผู้ชายเล็กๆ ไม่เคยคิดจะชวนคุยก่อนอยู่แล้ว จนเวลาใกล้จะหมดคาบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
"เธอ ยืมยางลบหน่อย"
เราแอบตกใจ แต่ก็ยื่นยางลบให้เขาแต่โดยดี
หลังจากนั้นเมื่อกริ่งบอกเวลาหมดคาบ เราก็เก็บกระเป๋าเตรียมย้ายห้อง แต่ด้วยความจำที่ดีเลิศ จึงทำให้ต้องหันไปทวงยางลบที่เขายืมไปคืน เพราะเขาไม่ยอมคืนเรา!
"ยางลบเราอ่ะ"
"เราคืนแล้วนะ" เขาทำหน้าตาใสซื่อประมาณว่าคืนแล้วจริงๆ แต่เราก็ความจำยังไม่เลอะเลือนนะ เขายังไม่ได้คืนเราจริงๆนี่
"ยังเลย"
เขาเกาหัวแกรกๆ ทำหน้างงๆ จนเด็กผู้หญิงที่นั่งข้างเขาอีกฝั่งหนึ่งยื่นหน้าเข้ามา
"อันนี้ป่าว"
นั่นไง ยางลบเรา และวันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของพวกเราทั้งสองคน....
การเรียนปรับพื้นฐานเป็นช่วงเวลาสั้นๆก่อนเปิดเทอมที่เรายังคงจับกลุ่มกับเพื่อนโรงเรียนหญิงล้วนที่ย้ายมาด้วยกันอย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าจะก่อนเข้าเรียน พักกินข้าว พักเบรค เลิกเรียน เราไม่เคยแตกกลุ่มไปไหน ไม่มีใครสามารถทำลายกำแพงของเด็กนักเรียนโรงเรียนหญิงล้วนได้ แต่ก็นั่นแหละ เวลาผ่านไปสังคมใหม่ๆก็เริ่มแทรกซึมเข้ามา เราเริ่มมีเพื่อนสาวในร่างชายมาร่วมโต๊ะกินข้าว เพื่อนผู้หญิงจากโรงเรียนอื่นๆ กลุ่มของเราจึงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่เชื่อมั้ย ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้ามาสักคน เพราะอะไรนั่นหรอ เราแผ่รังสีอำมหิตแอนตี้ผู้ชายมากไปมั้ง อิอิ
พอถึงเวลาเปิดเทอม ม.1 ความฝันของกลุ่มเด็กหญิงล้วนเป็นอันต้องสลายลง เพราะพวกเราถูกจับแยกห้องหมด! โชคดีหน่อยเพื่อนส่วนมหญ่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เราน่ะหรอ โดนแยกจ้าT^T เหลือกันอยู่สองสามหน่อ เหงาชะมัด แถมเปิดเทอมวันเเรกยังเป็นการเปิดตึกใหม่อีก ต้องทั้งแบกโต๊ะ แบกเก้าอี้ขึ้นห้อง เหนื่อยมาก เพื่อนเราเขาก็ขอแรงผู้ชายช่วยกันหมดละ แต่เราน่ะหรอ อย่าหวังจะยอม เป็นผู้หญิงก็ทำได้เหมือนกันล่ะน่า
วันเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ ยอมรับจริงๆว่าเราน่ะกลัวผู้ชาย ก็เกิดมาไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายเลยนี่นา โหว แล้วตอนอยู่หญิงล้วนไปนั่งรถโรงเรียนชายล้วนข้างๆก็โดนแกล้งตลอด เข็ดเลยอ่ะ (ที่โดนแกล้งเนี่ยก็แกล้งเขาคืนเรียบร้อยละนะ เราซะอย่าง แมนๆอยู่ละ555) แต่ทำยังไงได้ ย้ายมารร.สหก็ต้องมีเพื่อนทั้งหญิงชาย มันก็เลยต้องมีการปรับตัวกันหน่อย จะบอกว่าเขาก็อยู่ห้องเดียวกับเรานะ นายยางลบคนนั้น ไปๆมาๆก็กลายมาเป็นกลุ่มเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็สนิทกันไปละ คงเป็นเพราะเขาเป็นผู้ชายนิ่มๆมั้ง ไม่กระโชกโฮกฮาก ใจดี แอบขี้แกล้งเล็กๆพอรับได้ แต่เราน่ะหรอ ชอบชวนเขาทะเลาะประจำ แต่มันก็ทำให้สนิทกันมากขึ้นทุกครั้ง เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย ทั้งเรื่องเรียนที่เขาเก่งอังกฤษมากและจะคอยช่วยเราอยู่เสมอ เรื่องงานศิลปะที่เราเก่งกว่าและเราก็คอยช่วยเขา เรื่องแฟน! เพราะเขาแอบชอบเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มคนนึงที่เป็นสาวป๊อปมากจนหนุ่มๆต่างห้องก็รุมจีบ แต่ด้วยความที่เป็นผู้ชายนิ่มๆนี่แหละ จะไปสู้อะไรใครได้ โดนหนักนะตอนนั้น ห้องอื่นๆนี่แทบจะรุมกระทืบอยู่แล้ว ก็ต้องอาศัยแม่สื่อทอมบอยสุดโหดอย่างเราคอยช่วยอยู่เสมอนั่นแหละ เพราะตอนนั้นเราก็มีแฟนอยู่แล้วเหมือนกันเป็นผู้หญิงจากโรงเรียนเก่า เขาก็มาขอคำปรึกษาบ้าง คุยเล่นบ้าง จนไปๆมาๆก็กลายเป็นคุยกันทุกวัน รู้ตัวอีกทีกลายเป็นว่าเราคุยกับเขาบ่อยกว่าแฟนเราเสียอีก งงจริงๆตอนนั้น เพราะเราห่างกับแฟนเราด้วย เรียนคนละโรงเรียน ไม่ค่อยได้เจอ บ้านก็ไกล สุดท้ายก็ต้องเลิกกัน แต่ถามว่าเฮิร์ทมั้ย ตอนนั้นไม่รู้นะ คงยังเด็กมั้ง แถมไม่รู้ว่ามันเป็นความรักจริงๆรึเปล่า เลิกไปก็จบ ไม่เห็นมีอะไร เราก็มีเพื่อนเยอะเเยะ มีเขาที่ให้คุยด้วยทุกวันเผลอแปปเดียวก็ ม.2 ซะแล้ว
พอขึ้นม.2 มันก็สนิทกันมากขึ้น เราเริ่มเปลี่ยนตัวเองจากกลัวผู้ชายเป็นแกล้งผู้ชาย กิจกรรมก็เริ่มเปลี่ยนจากกลางวันกินข้าวแล้วเม้ามอย เป็นจองแป้นเล่นบาสกับแก๊งชายโฉด (โฉดที่ไหนผู้ชายห้องเราติ๋มๆทั้งนั้น5555) ตกเย็นก็เล่นบาส ถ้าวันไหนมาเช้าหน่อยก็เล่นบาสอีก ผอมเลยช่วงนั้น แถมสนิทกับเขามากขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะเขาก็มาเล่นด้วยทุกวัน แทบจะตัวติดกันเลยล่ะ ส่วนเรื่องสาวป๊อปที่เขาชอบคนนั้นก็ยังไม่หนีไปไหน กลายเป็นว่าเราต้องไปคอยเชียร์แล้วเชียร์อีก ยืนยันกับสาวเจ้าคนนั้นว่าเขาเป็นครดีจริงๆนะ แต่ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่เราเชียร์เขา คำพูดทุกคำมันทำให้รู้สึกดีและออกมาจากใจจริงๆแต่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไม คงเพราะเขาเป็นคนที่ดีมาก เทคแคร์ดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง แม้แต่กับเพื่อนเขายังดีขนาดนี้เลย กับแฟนเขาจะดีขนาดไหน หน้าตาก็ไม่ได้ขี้เหร่เกินจะควงหรอก จนสุดท้ายเขาก็ได้เป็นแฟนกับสาวป๊อปเพื่อนสนิทเราจริงๆ ดีใจจะตายเพื่อนสนิทเป็นแฟนกัน แต่อะไรๆมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก....
พอเขามีแฟน เราก็เริ่มห่างกัน เขาไม่มาเล่นบาส ไม่ค่อยโทรหา ยกเว้นมีปัญหาอะไรก็จะโทรมาเป็นครั้งคราว เวลานั่งที่โรงเรียนก็เริ่มห่างกัน เขาย้ายไปนั่งข้างแฟน เราก็มองอยู่ห่างๆ ก็โอเคนะ แต่ก็เริ่มรู้สึกเหงาแปลกๆ ไม่เข้าใจตัวเองเท่าไหร่ เราก็เลยไปสนิทกับเพื่อนผู้ชายในกลุ่มเล่นบาสคนอื่น ก็อยู่ได้ปกติทุกวันแค่ไม่มีเขาให้แกล้งเหมือนเดิม แต่พอเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มโทรมาบ่อยขึ้นอีกครั้ง เพราะมีปัญหากับแฟนบ่อยขึ้น ประเด็นคือไม่ใช่แค่เขานะที่โทรมาบ่อย แฟนเขาหรือเพื่อนสนิทเรานั่นแหละก็โทรมา ปรึกษาโน่นนี่ เรื่องเดียวกันแต่คนละมุมมอง! โอ้ยตาย แยกประสาทคุยไม่ออกเลยตอนนั้น ยอมรับว่าปวดหัวมาก จะเอาเรื่องเขาไปบอกเธอ เรื่องเธอไปบอกเขาก็ไม่ได้ ทำได้แค่รับฟังไกล่เกลี่ยดีกันเถอะๆ ตอนนั้นเป็นห่วงเขามาก เพราะเริ่มรู้ว่าแฟนเขาเริ่มหมดรักเขาแล้ว เพราะเขาโทรหาทุกวันจู้จี้น่ารำคาญ(หรอ?) แถมยังมีหนุ่มๆต่อคิวรออีกเพียบ สาวเจ้าเธอไม่เเคร์เขาหรอก แต่จะให้เราไปพูดอย่างนั้นกับเขาหรอ ไม่มีทาง ทำร้ายเพื่อนมากไปละ แต่ทำอะไรไม่ได้หรอก สุดท้ายเขาก็เลิกกันอยู่ดี ปลอบกันยกใหญ่เลยคราวนี้ ห้องแอบแตก เพราะดันอยู่ห้องเดียวกันเป็นแฟนกันเลิกกันนี่ล่ะ เพื่อนทำตัวไม่ถูกเลย จะเข้าข้างใครก็ไม่ได้ก็เพื่อนทั้งคู่ แต่ก็ความรักเด็กๆอ่ะนะ ไม่นานสาวเจ้าก็มีแฟนใหม่ เขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เราก็ได้เพื่อนสนิทเรากลับคืนมา ดีจะตาย^^
นอกจากเขาเราก็มีเพื่อนสนิทอีกเยอะนะ แต่ด้วยนิสัยทอมๆอย่างเรา การจีบสาวก็ใช่ย่อย ระหว่างเขาไปมีแฟน เราก็จีบเพื่อนสาวจากโรงเรียนหญิงล้วนที่ย้ายมาด้วยกันไปด้วย หยอดกันไปหยอดกันมา ก็คุยกันว่าลองคบกันดูหน่อยละกัน เราก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ(เธอบอกมา อิอิ) เราก็เลยมีเวลาให้เขาน้อยลงหน่อย เริ่มกลับมาอยู่กลุ่มผู้หญิงมากขึ้นเพราะต้องมาตามอยู่กับแฟน แต่เราก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก ยังเล่นบาสเหมือนเดิม เพราะเเฟนเราเธอน่ารักตามมาเชียร์ข้างแป้นบาสตลอด บอกได้เลยว่าหนุ่มๆต้องอิจฉาเราเลยล่ะ
เวลาผ่านไปไม่นาน เราก็เริ่มรู้ตัวว่ามันไม่ใช่ เราไม่ได้อยากคุยกับแฟนสาวของเราเท่ากับอยากคุยกับเขา เราไม่ได้อยากนั่งกินข้าวกับแฟนเรา แต่เราอยากเล่นบาสกับเขา เราไม่ได้ชอบนั่งเม้ามอยในกลุ่มเพื่อนสาวของแฟน แต่เราชอบไปขลุกอยู่กับแก๊งชายโฉดกับเขา เหมือนแฟนเราก็คงเข้าใจมั้ง เธอไม่ได้ว่าอะไรสักคำ เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมง่ายๆเพราะเราต่างคนต่างรู้ว่าความรู้สึกของพวกเรามันไม่ใช่ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
ม.3 ...จากการเรียนๆเล่นๆไปวันๆ อ่านหนังสือแค่ก่อนสอบ โรงเรียนก็ปล่อยเกรดคะแนนเก็บเกินครึ่ง สอบก็สอบไปงั้นๆ ทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงเรามาก อยากให้ม.4 เราย้ายไปเรียนโรงเรียนชื่อดังในเมืองจะได้มีโอกาสสอบเข้ามหาลัยได้ เราจึงต้องเริ่มไปเรียนพิเศษทุกอาทิตย์ที่สยาม แต่สำหรับเขาตอนนี้เป็นโอกาสของการสอบชิงทุนนักเรียนแรกเปลี่ยนต่างประเทศเหมือนกับเพื่อนๆหลายคนในห้องที่อายุถึง(เราอายุไม่ถึงไง) แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราคุยกันน้อยลงเลย มันกลับยิ่งมากขึ้นด้วยซ้ำ พอเครียดๆเราก็มาคุยกันหัวเราะกัน อาจไม่ได้เล่นบาสทุกวันเหมือนเดิม แต่เราก็สนุกที่ได้นั่งเรียนข้างกันในปีนี้ ความจริงก็ไม่ได้ข้างหรอก มีเพื่อนคนนึงนั่งคั่นกลาง แต่เราชอบเล่นกันข้ามหัวมันตลอด555 จนเพื่อนเริ่มแซวว่าสองคนนี้มันยังไงกันแน่ เพื่อนสนิทอดีตแฟนของเรายังแซวเลย เธอเป็นคนที่รู้จักเราดีที่สุด ดียิ่งกว่าตัวเราเองซะอีก เริ่มมีคนถามว่ายังไงๆกันนะสองคนนี้ จนเราน่ะเริ่มหวั่นไหว แต่เขาคงไม่หรอก เราก็เลยคุยกันปกติเหมือนเดิม เอาเรื่องที่เพื่อนล้อมานั่งขำกัน เราคุยกันทั้ง msn ทั้งโทรศัพท์ ตอนแรกก็แค่โทรศัพท์นะ แต่มันเปลืองมาก เราก็เลยสมัครอีเมลให้เขาซะเลย กลายเป็นว่าเรารู้พาสเวิร์ดเขาด้วยล่ะ อิอิ แต่เราก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับเรื่องส่วนตัวเขานะ แค่แอบเข้าไปแกล้งเปลี่ยนชื่อเอมบ้างเอาฮา (ไม่ยุ่งเลย) เราสนิทกันมากๆ มากจนไม่อยากเชื่อวันเมื่อก่อนเคยอคติกับผู้ชาย เราโทรคุยกันทุกวันจนความรู้สึกของเรามันเริ่มเปลี่ยนไป เราเริ่มเขียนไดอารี่ถึงเขา เริ่มเก็บอะไรดีๆที่เขาทำให้ เริ่มเขินเวลาเขาพูดหวานๆใส่(แบบล้อเล่นอ่ะนะ) และก็เขินมากๆตอนเขาเปิดเทปที่เขาร้องเพลง when you say nothing at all ที่อัดไว้ให้เราฟังเป็นคนแรก ตั้งแต่ตอนนั้น เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเราไม่เหมือนเดิม แต่เราก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยการแกล้งเขาแรงๆบ้าง แซวเขากับคนอื่นบ้าง โดยไม่รู้เลยว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น...
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพื่อนเราหลายๆคนกำลังฟอร์มวงอยากทำวงดนตรีประจำห้อง ความจริงก็ไม่เชิงว่าจริงจังมากมายแต่เพียงแค่มีเพื่อนหลายๆคนในห้องที่เล่นดนตรีเป็นเยอะ หนึ่งในนั้นก็คือเราที่เรียนกีตาร์อยู่แล้วตั้งแต่ ม.1 และเขาก็เรียนแซกโซโฟนอยู่เหมือนกัน เราเรียนอยู่ที่เดียวกันมาสักพัก มันทำให้วันเสาร์เราก็ได้เจอเขา ได้แอบไปมองเขาเรียนในห้อง(ความจริงก็แกล้งเเซวมากกว่า) มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เขาเป็นคนโรแมนติกเหมือนกันนะ เราเริ่มมีหัวข้อคุยกันในเรื่องดนตรี แชร์โน้ตดนตรีกันบ้าง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เราสองคนหรอก ยังมีเพื่อนสาวในร่างชายมือคีย์บอร์ด กับเพื่อนสาวอดีตแฟนของเราอีกคนที่เล่นไวโอลิน วงมันแอบดูมั่วๆ แต่มันก็สนุกมากเลย บางทีก็แอบไปเล่นเครื่องเพื่อน บางทีก็เดินแบกเครื่องดนตรีเดินห้างด้วยกันเป็นแก๊งค์(ยกเว้นคีย์บอร์ดนะ555) ส่วนใหญ่เราก็แบกกีตาร์เอง แต่เขาจะถือให้ไวโอลินเพื่อนเราเสมอ ก็เรามันแมนๆไม่คิดอะไรอยู่แล้ว แต่ก็แอบรู้สึกแปลกๆกับพฤติกรรมของเขาและเธอบ้างในบางครั้ง แต่ตอนนั้นก็คิดว่าเราคงคิดไปเอง
To be continue...