"ครั้งนี้เป็นประสบการณ์การพาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในพันทิปเที่ยวเป็นครั้งแรกนะคะ ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ"
ประสบการณ์การเดินทางออกนอกประเทศในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่สาววัยเริ่มแย้มบาน 555 ไม่ใช่! เป็นครั้งแรกที่สาวสองคนนี้ว่างตรงกันค่ะ ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะพี่สาวได้เปิดรีวิวจากพันทิปนี่แหล่ะค่ะ เห็นรูปภูเขาไฟโบรโม่ เลยทำการตกลงกันภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที และจองตั๋วเครื่องบินในเวลาอันรวดเร็ว
แผนการเที่ยวคร่าวๆ ของพวกเรา คือ
วันที่ 12-17 พ.ย. Tanah lot – Ubud – Lovina (เกาะบาหลี)
วันที่ 18-22 พ.ย. Probolinggo – Yogyakarta – Jakarta (เกาะชวา)
งบประมาณในการเที่ยวตั้งไว้ที่ 15,000 บาท ประมาณ 4,050,000 Rp “ต่อสองคน” (ไม่รวมค่าเครื่องบินนะ) 555 อ่านกันไม่ผิดหร่อกจ้ะ เดี๋ยวมาดูกันว่าจะใช้ได้ตามงบกันหรือไม่ (เรทเงิน ณ ช่วงเวลานั้น ประมาณ 1 บาท : 270 Rp)
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า >>>
“วันที่ 1” 12 พ.ย.
เดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง ไฟลต์ 7 โมงเช้าค่ะ ถึงบาหลีประมาณเกือบๆ เที่ยง
เริ่มเข้าเขตประเทศอินโดฯ กันแล้ว เริ่มเห็นปากปล่องภูเขาไฟ ตื่นเต้นๆ
เมื่อถึงสนามบิน อย่างแรกที่เรามองตาแล้วรู้ใจกันเลยก็คือ “แล้วจะไปยังไงต่อ” เอาแล้วสิ! ที่นี่ใช้ภาษาอะไรกันนะ ภาษาอังกฤษเราก็ก๊อกๆ แก๊กๆ แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ พอเดินออกจากเกทสนามบิน คนขับแท๊กซี่จากหลากหลายบริษัทก็เริ่มรุมทึ้งเรา แต่ภาษาอังกฤษเค้าเป๊ะอยู่นะคะ แต่แรกๆ ไม่ชินเพราะว่าสำเนียง ร.เรือ เค้าจะเยอะกันซักหน่อย อ่อ.. การขึ้นแท๊กซี่แนะนำให้เดินออกมาเรียกของ Blue Bird นะคะ บริษัทนี้จะกดมิเตอร์ แต่บริษัทอื่นแล้วแต่เราจะตกลงกับเค้าค่ะ แต่! การไปถึงวันแรกของเรายังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็ไปเรียกเจอรถรับจ้างค่ะ (เป็นคล้ายๆ กับเอารถยนต์ตัวเองมาวิ่งรับส่ง) เราแค่ส่งที่อยู่ของที่พักเราที่ทำการจองไปตั้งแต่แรกให้เค้าดู เค้าก็โอเค และตกลงเรื่องเงินกันค่ะ
ถึงที่พักที่ Tanah lot แล้วค่ะ ตอนนั้นประมาณบ่ายสาม หิวค่ะ! เลยทำการเช่ามอร์เตอร์ไซด์ของทางที่พัก เพื่อจะไปเที่ยว Tanah lot temple และหาอะไรกินกันค่ะ
ทางเข้าของ Tanah lot temple บริเวณสองข้างทางจะมีขายพวกของฝากเต็มไปหมดเลยค่ะ แต่!! เราต้องทำตามงบๆ จึงไม่มีการแวะใดๆ นอกจากซื้อน้ำค่ะ เน้นน้ำเปล่าด้วยนะคะ เพราะน้ำอื่นๆ แพง 555 อ่อ... แนะนำให้ซื้อตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ นะคะ เช่น Indomart เพราะราคาถูกกว่าซื้อข้างนอกจริงๆ ยิ่งร้านข้างนอกเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว พูดภาษาอะไรแปลกๆ เค้าจะโก่งราคาขึ้นอีก ณ จุดนี้ พี่เจ็บมาเยอะ Y.Y
นี่คือ Tanah lot temple ค่ะ ตรงบริเวณที่อยู่กลางน้ำจะเป็นที่ที่นักบวชอยู่กันค่ะ ไม่อนุญาตให้เราข้ามไป และคลื่นน้ำแรงมากกกกกกก ฝรั่งที่ชอบท้าทายปีนป่ายโขดหินไปตามติ่งที่ยื่นออกไป ก็เปียกกลับมาเป็นแถบๆ 555 แต่เมื่อคลื่นมาทางเราสองสาวสบตากันอีกครั้งแล้วพูดพร้อมกันว่า “ไปเถอะ”...... ชมวิวที่นี่กันซักพักก็ได้เวลากินแล้วค่ะ เราจะเน้นอาหารข้างทางเป็นส่วนใหญ่ เพราะคิดว่ามาทั้งที ต้องกินของอินโดฯ จริงๆ เนอะๆ
เป็นมื้อแรกที่อร่อย เรียกว่า “นาซี อายัม” น่าจะใช่นะ นานละสมองเลอะเลือน~
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 1 ค่ารถจากสนามบิน-ที่พัก 250,000 Rp, ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์ 75,000 Rp, ค่าเข้าชมวัด และอาหารการกิน ประมาณ 60,000 Rp (เหลือ 3,665,000 Rp)
“วันที่ 2” 13 พ.ย.
จาก Tanah lot สู่ Ubud... อยู่ที่ Ubud 3 คืน กะว่าจะใช้ชีวิตชิวๆ ไม่เร่งรีบ หร๋อออ.... เอาความจริงมะ ไม่มีเงินค่ารถไปเมืองอื่นแล้ว ค่ารถแพงจริงจัง เลยเอาค่ารถมาเป็นค่าเช่าที่พักในคืนต่อไปดีกว่า (ค่าที่พักถูกกว่าค่ารถอีกให้ตายเถอะ!) แผนแรก เราจะอยู่ที่ Ubud แค่คืนเดียว แต่เมื่อเราจะอยู่เพิ่มอีกสองคืน เราก็ต้องแบ่งเงินที่มีอยู่จ่ายค่าที่พักด้วย เศร้าใจ Y.Y
เมื่อจัดวางสัมพารกและสัมพาระเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อยก็ถึงเวลาออกลุย!! เราจะเดินไป Monkey forest กัน.... จากที่พักเดินไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ แอบมองฝรั่งบ้าง สะดุดหินบ้าง เงยหน้ามองอีกทีเราก็ถึงกันแล้ว ฮิ้ววว~ ค่าเข้าคนละ 30,000 Rp
ลิง!!! หน้าตาก็เหมือนบ้านเราเลยค่ะ แต่ดีตรงที่ไม่แย่งอาหารจากมือคน หร๋อออ?? ในเขต Monkey forest อ่ะใช่ค่ะ แต่พอวันต่อมา สองสาวเดินกลับจากตลาดเช้า ในมือถือของกินหวังว่าพอถึงที่พักเราจะได้กินมันอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่!!! เส้นทางกลับที่พักเราต้องเดินผ่าน ลิง! ค่ะ คล้ายๆ แก๊งแซวสาว มันพากันออกมานั่งอยู่ริมถนน ไอเราก็ชิวค่ะ เพราะเห็นจากเมื่อวันที่ไป Monkey forest ว่าลิงสุภาพเรียบร้อยกะว่าจะเข้าไปหยอกล้อ แต่ทันใดนั้นเราดันเข้าไปในระยะรัศมีโจมตี มันก็วิ่งเข้ามากระชากถุง “นาซี อายัม” ของเราไป แล้วมันก็เปิดออกมา ข้างในมีแต่พวกไก่เผ็ดๆ มันคงอยู่ในช่วงกินเจ มันกินแค่แตงกวา!!!! ทั้งห่อนั่น พวกแกกินได้แค่แตงกวา!!!! โถ่ๆ พูดแล้วขึ้น....
ระหว่างทางกลับเราได้เจอกับอาหารยอกฮิต “หมี่ บักโซ” หน้าตาคลายๆ กับก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา มีเส้นหมี่ ลูกชิ้น เกี๊ยว แต่ทางนู้นจะใส่ข้าวด้วย พ่อค้าถามว่า “พริกไม๊?” ด้วยความที่เราเป็นคนไทย คิดว่าพริกแค่นั้นหร๋อ จิ๊บๆ คิดผิด!! พูดได้แค่ว่า “ถึงสีจะไม่แดง แต่เผ็ดสะท้าน”
หน้าตาคนขายค่ะ กรุ้มกริ่ม~
นี่เป็นยามเฝ้าทางเข้าบ้าน น่ารักเนอะ~
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 2 ค่ารถจาก Tanah lot-Ubud 350,000, เข้า Monkey forest 60,000 (2 คน), อาหารการกิน 50,000 (เหลือ 3,205,000 Rp)
“วันที่ 3” 14 พ.ย.
วันต่อมาเราก็ตื่นกันสายๆ หน่อย และออกเดินเล่นไปเรื่อยๆ จากที่พักไปสู่วัดต่างๆ ที่อยู่ในเมือง Ubud บวกกันบรรยากาศฝนตกพรำๆ และที่ที่สองสาวจะไปต่อไปนี้ คือ ฟรี!!
ที่นี่คือ Ubud palace เป็นวังเก่าสไตล์บาหลีค่ะ เดินเข้าไปข้างในเหมือนหลุดเข้าไปอีกยุคเลย หยึ๋ยย.. ขนแอบลุก ข้างในไม่กว้างมาก แต่บรรยากาศนี่สุดๆ... ต่อด้วย Taman Saraswati temple เป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระแม่สุรัสวดีค่ะ บรรยากาศอึมครึมอีกแล้วไง
พี่สาวเราเอง (ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของทริปนี้ ขอบคุณค่าาา)
ฝนก็เริ่มโปรยปรายหนักขึ้น เราจึงตัดสินใจเดินกลับกันค่ะ และที่ขาดไม่ได้คือ “ข้าวเย็น” เราจะซื้ออะไรกันหน่ะหร๋อ ทายสิๆ 555... แท่แด๊น “นาซี อายัม” ไงจ้ะ ทริปนี้เรามาเอาแค่บรรยากาศ ไม่เน้นกินเนอะ อ่อ.. ลืมบอกไป ข้าวทุกมื้อจะกินคนละครึ่งตลอดทริป คือ ซื้อมา 1 ห่อ แบ่งกันกินคนละครึ่งห่อ มันอิ่มนะ พูดจริงๆ หรือมันเหนื่อยหว่า
หมูสะเต๊ะ! ของเด็ดของดีวันนี้เรามาเจอกัน อร่อยมากกกก รสชาดคล้ายๆ กับหมูสะเต๊ะบ้านเราอยู่นะ แต่มันเข้มข้นมากกกก อธิบายไม่ถูก เอาเป็นว่าถ้าได้ไปเที่ยว อย่าพลาดเมนูนี้นะ “สะเต หรือ สะเต๊ะ” เย็นนี้อิ่มหนำ นอนหลับสบาย พรุ่งนี้เราจะผจญภัยกันต่อ
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 3
ค่าที่พัก 150,000, อาหารการกิน 50,000 (เหลือ 3,005,000 Rp)
“วันที่ 4” 15 พ.ย.
ช่วงเช้าเราเดินไปตลาดเช้ากันที่ Ubud market ช่วงเข้าส่วนมากจะขายดอกไม้ และอาหารสดค่ะ แต่พอซักเที่ยงๆ บ่ายๆ ตลาดตรงนี้จะกลายร่างเป็นตลาดขายของฝาก
ยายแกน่ารักอ่ะ พอเรายกกล้องจะถ่าย ยายยิ้มให้ด้วย น่ารักอ่ะ
รูปนี้ถ่ายจากชั้นสองของตลาดค่ะ ส่วนนี้จะขายของสด พวกหมู เห็ด เป็ด ไก่ ผัก ปลา มีหมดเลย
วิถีชีวิตของคนที่นี่เวลาไปจับจ่ายตลาด หรือเป็นแม่ค้าขายของ ส่วนมากจะใส่ของไว้ในตะกร้าแล้วเทินบนหัว ทำอย่างนี้ได้คอต้องแข็งเนอะ อ้าว ชนนน 555 (เข้าใจมุกเรากันไม๊อ่ะ) ทางเดินกลับที่พักของวันนี้นี่เอา ที่เราเจอไอลิงกินแตงกวา!! แค้น!!
วันนี้ได้ทำการเช่ารถมอร์เตอร์ไซด์เพื่อแว๊นไปเมือง Kintamani เพื่อไปดูภูเขาไฟเรียกน้ำย่อยกันซักหน่อย ก่อนไปเจอของจริงที่โบรโม่ ภูเขาไฟลูกที่เราจะไปดูกันชื่อว่า “บาตู หรือ Batur” ระหว่างทางเจอตำรวจอินโดฯ โบก คิดในใจ “ตายและ เราจะได้กลับบ้านเร็วกว่ากำหนดป่ะเนี่ย”
ตำรวจ: ขอดูใบขับขี่หน่อยครับ แล้วจะไปไหนกัน?
สองสาว: ไปบาตูค่ะ พลางยื่นใบขับขี่ของไทยแบบ smart card ให้คุณตำรวจดู
ตำรวจ: เอ๊ะ นี่มันไม่ใช่ใบขับขี่สากลนี่ ถ้ามาอินโดฯ ต้องทำใบขับขี่สากลมาก่อนนะ
สองสาว: เถียงๆ 55... แต่หนูอ่านจากเว็บนู่นนี่ที่เค้าเอามารีวิวกัน เค้าบอกว่าใช้ได้ นี่ๆ พร้อมเปิดหนังสือภาษาไทยให้พี่ตำรวจดูด้วย แล้วพี่ตำรวจจะอ่านออกไม๊ ป่วงง!
สงสัยพี่ตำรวจคงเถียงเราไม่ทัน เลยได้แค่บอกว่า “ขับรถระวังๆ นะครับ” แล้วปล่อยเราไป
ถึงภูเขาไฟบาตูโดยสวัสดิภาพ ครึ้มฝนนิดๆ แต่ไม่ตก ลมเย็นมากก อากาศดีมากก สองคนพี่น้องเลยนั่งรับลมกันยาวไป... ขากลับ แวะนาขั้นบันไดกันซักหน่อย สวยจริงๆ สมคำล่ำลือ
คืนวันนี้ถึงกับหลับสบายกันเลยทีเดียว ท้าแดด ท้าลม ท้าฝน สาวแกร่ง!!
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 4 ค่าที่พัก 150,000, อาหารการกิน 70,000 (เหลือ 2,785,000 Rp)
“วันที่ 5” 16 พ.ย.
เป็นอีกวันที่เราต้องโยกย้ายถิ่นฐาน กันไปที่ Lovina เราจะไปดูโลมากัน...เดินทางด้วยรถบัสน้อย เย้!! เราไม่ง้อแท๊กซี่แล้ว
เม็ดฝนก็โปรยปรายตลอดการเดินทาง ซึ่งเป็นทางขึ้นเขาลงเขา สาวผู้น้องเมารถจ้า ดีนะที่เตรียมลูกอมรสมะขามไว้ แล้วพอตอนขึ้นถึงยอดเขา อากาศก็เริ่มเย็น ลุงคนขับก็ปิดแอร์ มีงี้ด้วย 55
ระหว่างทางก็มีแวะตามริมทาง ให้เราได้หาของกินใส่ท้อง แวะดื่มน้ำปัสสาวะอุจจาระ
ถึงแล้ว Lovina ที่รอคอย... แล้วก็เดินหาที่พักกันอีกตามเคย ไม่ได้จองกันมาก่อน เป็นพวกชอบลุ้นๆ พอได้ที่พักเสร็จสรรพ เราจึงได้เวลาสำรวจ ชายหาดที่นี่เป็นทรายสีดำ (แต่ก็ไม่ดำสนิดนะ) เวลามีเปลือกหอย หรือพวกเศษขยะเล็กๆ มันเลยดูสกปรกง่าย
จุดเล็กๆ ขาวๆ นั่นแหล่ะ คือพวกเปลือกหอย ใบไม้แห้งบ้าง ก้นบุหรี่บ้าง... อินโดฯ นี่เค้าสูบบุหรี่กันหนักจริงๆ นะ... เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง รวมถึงพรุ่งนี้เอาต้องออกไปดูโลมาแต่เช้า เราก็ควรนอน~
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 5 ค่ารถ 240,000, ค่าที่พัก 150,000, ค่าดูโลมา (จ่ายล่วงหน้า) 50,000, ซื้อของฝาก 30,000, อาหารการกิน 60,000 (เหลือ 2,255,000 Rp)
~การเดินทางยังไม่จบเพียงเท่านี้ กรุณาติดตามชมช่วงต่อไปนะคะ ช่วงนี้ขอพักชมโฆษณาแป๊ปนึง~
ปล. มีการแก้ไขบ้างเล็กน้อยนะคะ ส่วนมาเป็นการพิมพ์ผิด
[CR] สองสาวแพ๊คกระเป๋าตะลุย ”อินโดนีเซีย” กับทริป(อยาก)ประหยัด (12-22 พ.ย. 2557)
ประสบการณ์การเดินทางออกนอกประเทศในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่สาววัยเริ่มแย้มบาน 555 ไม่ใช่! เป็นครั้งแรกที่สาวสองคนนี้ว่างตรงกันค่ะ ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะพี่สาวได้เปิดรีวิวจากพันทิปนี่แหล่ะค่ะ เห็นรูปภูเขาไฟโบรโม่ เลยทำการตกลงกันภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที และจองตั๋วเครื่องบินในเวลาอันรวดเร็ว
แผนการเที่ยวคร่าวๆ ของพวกเรา คือ
วันที่ 12-17 พ.ย. Tanah lot – Ubud – Lovina (เกาะบาหลี)
วันที่ 18-22 พ.ย. Probolinggo – Yogyakarta – Jakarta (เกาะชวา)
งบประมาณในการเที่ยวตั้งไว้ที่ 15,000 บาท ประมาณ 4,050,000 Rp “ต่อสองคน” (ไม่รวมค่าเครื่องบินนะ) 555 อ่านกันไม่ผิดหร่อกจ้ะ เดี๋ยวมาดูกันว่าจะใช้ได้ตามงบกันหรือไม่ (เรทเงิน ณ ช่วงเวลานั้น ประมาณ 1 บาท : 270 Rp)
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า >>>
“วันที่ 1” 12 พ.ย.
เดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง ไฟลต์ 7 โมงเช้าค่ะ ถึงบาหลีประมาณเกือบๆ เที่ยง
เริ่มเข้าเขตประเทศอินโดฯ กันแล้ว เริ่มเห็นปากปล่องภูเขาไฟ ตื่นเต้นๆ
เมื่อถึงสนามบิน อย่างแรกที่เรามองตาแล้วรู้ใจกันเลยก็คือ “แล้วจะไปยังไงต่อ” เอาแล้วสิ! ที่นี่ใช้ภาษาอะไรกันนะ ภาษาอังกฤษเราก็ก๊อกๆ แก๊กๆ แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ พอเดินออกจากเกทสนามบิน คนขับแท๊กซี่จากหลากหลายบริษัทก็เริ่มรุมทึ้งเรา แต่ภาษาอังกฤษเค้าเป๊ะอยู่นะคะ แต่แรกๆ ไม่ชินเพราะว่าสำเนียง ร.เรือ เค้าจะเยอะกันซักหน่อย อ่อ.. การขึ้นแท๊กซี่แนะนำให้เดินออกมาเรียกของ Blue Bird นะคะ บริษัทนี้จะกดมิเตอร์ แต่บริษัทอื่นแล้วแต่เราจะตกลงกับเค้าค่ะ แต่! การไปถึงวันแรกของเรายังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็ไปเรียกเจอรถรับจ้างค่ะ (เป็นคล้ายๆ กับเอารถยนต์ตัวเองมาวิ่งรับส่ง) เราแค่ส่งที่อยู่ของที่พักเราที่ทำการจองไปตั้งแต่แรกให้เค้าดู เค้าก็โอเค และตกลงเรื่องเงินกันค่ะ
ถึงที่พักที่ Tanah lot แล้วค่ะ ตอนนั้นประมาณบ่ายสาม หิวค่ะ! เลยทำการเช่ามอร์เตอร์ไซด์ของทางที่พัก เพื่อจะไปเที่ยว Tanah lot temple และหาอะไรกินกันค่ะ
ทางเข้าของ Tanah lot temple บริเวณสองข้างทางจะมีขายพวกของฝากเต็มไปหมดเลยค่ะ แต่!! เราต้องทำตามงบๆ จึงไม่มีการแวะใดๆ นอกจากซื้อน้ำค่ะ เน้นน้ำเปล่าด้วยนะคะ เพราะน้ำอื่นๆ แพง 555 อ่อ... แนะนำให้ซื้อตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ นะคะ เช่น Indomart เพราะราคาถูกกว่าซื้อข้างนอกจริงๆ ยิ่งร้านข้างนอกเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว พูดภาษาอะไรแปลกๆ เค้าจะโก่งราคาขึ้นอีก ณ จุดนี้ พี่เจ็บมาเยอะ Y.Y
นี่คือ Tanah lot temple ค่ะ ตรงบริเวณที่อยู่กลางน้ำจะเป็นที่ที่นักบวชอยู่กันค่ะ ไม่อนุญาตให้เราข้ามไป และคลื่นน้ำแรงมากกกกกกก ฝรั่งที่ชอบท้าทายปีนป่ายโขดหินไปตามติ่งที่ยื่นออกไป ก็เปียกกลับมาเป็นแถบๆ 555 แต่เมื่อคลื่นมาทางเราสองสาวสบตากันอีกครั้งแล้วพูดพร้อมกันว่า “ไปเถอะ”...... ชมวิวที่นี่กันซักพักก็ได้เวลากินแล้วค่ะ เราจะเน้นอาหารข้างทางเป็นส่วนใหญ่ เพราะคิดว่ามาทั้งที ต้องกินของอินโดฯ จริงๆ เนอะๆ
เป็นมื้อแรกที่อร่อย เรียกว่า “นาซี อายัม” น่าจะใช่นะ นานละสมองเลอะเลือน~
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 1 ค่ารถจากสนามบิน-ที่พัก 250,000 Rp, ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์ 75,000 Rp, ค่าเข้าชมวัด และอาหารการกิน ประมาณ 60,000 Rp (เหลือ 3,665,000 Rp)
“วันที่ 2” 13 พ.ย.
จาก Tanah lot สู่ Ubud... อยู่ที่ Ubud 3 คืน กะว่าจะใช้ชีวิตชิวๆ ไม่เร่งรีบ หร๋อออ.... เอาความจริงมะ ไม่มีเงินค่ารถไปเมืองอื่นแล้ว ค่ารถแพงจริงจัง เลยเอาค่ารถมาเป็นค่าเช่าที่พักในคืนต่อไปดีกว่า (ค่าที่พักถูกกว่าค่ารถอีกให้ตายเถอะ!) แผนแรก เราจะอยู่ที่ Ubud แค่คืนเดียว แต่เมื่อเราจะอยู่เพิ่มอีกสองคืน เราก็ต้องแบ่งเงินที่มีอยู่จ่ายค่าที่พักด้วย เศร้าใจ Y.Y
เมื่อจัดวางสัมพารกและสัมพาระเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อยก็ถึงเวลาออกลุย!! เราจะเดินไป Monkey forest กัน.... จากที่พักเดินไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ แอบมองฝรั่งบ้าง สะดุดหินบ้าง เงยหน้ามองอีกทีเราก็ถึงกันแล้ว ฮิ้ววว~ ค่าเข้าคนละ 30,000 Rp
ลิง!!! หน้าตาก็เหมือนบ้านเราเลยค่ะ แต่ดีตรงที่ไม่แย่งอาหารจากมือคน หร๋อออ?? ในเขต Monkey forest อ่ะใช่ค่ะ แต่พอวันต่อมา สองสาวเดินกลับจากตลาดเช้า ในมือถือของกินหวังว่าพอถึงที่พักเราจะได้กินมันอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่!!! เส้นทางกลับที่พักเราต้องเดินผ่าน ลิง! ค่ะ คล้ายๆ แก๊งแซวสาว มันพากันออกมานั่งอยู่ริมถนน ไอเราก็ชิวค่ะ เพราะเห็นจากเมื่อวันที่ไป Monkey forest ว่าลิงสุภาพเรียบร้อยกะว่าจะเข้าไปหยอกล้อ แต่ทันใดนั้นเราดันเข้าไปในระยะรัศมีโจมตี มันก็วิ่งเข้ามากระชากถุง “นาซี อายัม” ของเราไป แล้วมันก็เปิดออกมา ข้างในมีแต่พวกไก่เผ็ดๆ มันคงอยู่ในช่วงกินเจ มันกินแค่แตงกวา!!!! ทั้งห่อนั่น พวกแกกินได้แค่แตงกวา!!!! โถ่ๆ พูดแล้วขึ้น....
ระหว่างทางกลับเราได้เจอกับอาหารยอกฮิต “หมี่ บักโซ” หน้าตาคลายๆ กับก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา มีเส้นหมี่ ลูกชิ้น เกี๊ยว แต่ทางนู้นจะใส่ข้าวด้วย พ่อค้าถามว่า “พริกไม๊?” ด้วยความที่เราเป็นคนไทย คิดว่าพริกแค่นั้นหร๋อ จิ๊บๆ คิดผิด!! พูดได้แค่ว่า “ถึงสีจะไม่แดง แต่เผ็ดสะท้าน”
หน้าตาคนขายค่ะ กรุ้มกริ่ม~
นี่เป็นยามเฝ้าทางเข้าบ้าน น่ารักเนอะ~
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 2 ค่ารถจาก Tanah lot-Ubud 350,000, เข้า Monkey forest 60,000 (2 คน), อาหารการกิน 50,000 (เหลือ 3,205,000 Rp)
“วันที่ 3” 14 พ.ย.
วันต่อมาเราก็ตื่นกันสายๆ หน่อย และออกเดินเล่นไปเรื่อยๆ จากที่พักไปสู่วัดต่างๆ ที่อยู่ในเมือง Ubud บวกกันบรรยากาศฝนตกพรำๆ และที่ที่สองสาวจะไปต่อไปนี้ คือ ฟรี!!
ที่นี่คือ Ubud palace เป็นวังเก่าสไตล์บาหลีค่ะ เดินเข้าไปข้างในเหมือนหลุดเข้าไปอีกยุคเลย หยึ๋ยย.. ขนแอบลุก ข้างในไม่กว้างมาก แต่บรรยากาศนี่สุดๆ... ต่อด้วย Taman Saraswati temple เป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระแม่สุรัสวดีค่ะ บรรยากาศอึมครึมอีกแล้วไง
พี่สาวเราเอง (ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของทริปนี้ ขอบคุณค่าาา)
ฝนก็เริ่มโปรยปรายหนักขึ้น เราจึงตัดสินใจเดินกลับกันค่ะ และที่ขาดไม่ได้คือ “ข้าวเย็น” เราจะซื้ออะไรกันหน่ะหร๋อ ทายสิๆ 555... แท่แด๊น “นาซี อายัม” ไงจ้ะ ทริปนี้เรามาเอาแค่บรรยากาศ ไม่เน้นกินเนอะ อ่อ.. ลืมบอกไป ข้าวทุกมื้อจะกินคนละครึ่งตลอดทริป คือ ซื้อมา 1 ห่อ แบ่งกันกินคนละครึ่งห่อ มันอิ่มนะ พูดจริงๆ หรือมันเหนื่อยหว่า
หมูสะเต๊ะ! ของเด็ดของดีวันนี้เรามาเจอกัน อร่อยมากกกก รสชาดคล้ายๆ กับหมูสะเต๊ะบ้านเราอยู่นะ แต่มันเข้มข้นมากกกก อธิบายไม่ถูก เอาเป็นว่าถ้าได้ไปเที่ยว อย่าพลาดเมนูนี้นะ “สะเต หรือ สะเต๊ะ” เย็นนี้อิ่มหนำ นอนหลับสบาย พรุ่งนี้เราจะผจญภัยกันต่อ
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 3
ค่าที่พัก 150,000, อาหารการกิน 50,000 (เหลือ 3,005,000 Rp)
“วันที่ 4” 15 พ.ย.
ช่วงเช้าเราเดินไปตลาดเช้ากันที่ Ubud market ช่วงเข้าส่วนมากจะขายดอกไม้ และอาหารสดค่ะ แต่พอซักเที่ยงๆ บ่ายๆ ตลาดตรงนี้จะกลายร่างเป็นตลาดขายของฝาก
ยายแกน่ารักอ่ะ พอเรายกกล้องจะถ่าย ยายยิ้มให้ด้วย น่ารักอ่ะ
รูปนี้ถ่ายจากชั้นสองของตลาดค่ะ ส่วนนี้จะขายของสด พวกหมู เห็ด เป็ด ไก่ ผัก ปลา มีหมดเลย
วิถีชีวิตของคนที่นี่เวลาไปจับจ่ายตลาด หรือเป็นแม่ค้าขายของ ส่วนมากจะใส่ของไว้ในตะกร้าแล้วเทินบนหัว ทำอย่างนี้ได้คอต้องแข็งเนอะ อ้าว ชนนน 555 (เข้าใจมุกเรากันไม๊อ่ะ) ทางเดินกลับที่พักของวันนี้นี่เอา ที่เราเจอไอลิงกินแตงกวา!! แค้น!!
วันนี้ได้ทำการเช่ารถมอร์เตอร์ไซด์เพื่อแว๊นไปเมือง Kintamani เพื่อไปดูภูเขาไฟเรียกน้ำย่อยกันซักหน่อย ก่อนไปเจอของจริงที่โบรโม่ ภูเขาไฟลูกที่เราจะไปดูกันชื่อว่า “บาตู หรือ Batur” ระหว่างทางเจอตำรวจอินโดฯ โบก คิดในใจ “ตายและ เราจะได้กลับบ้านเร็วกว่ากำหนดป่ะเนี่ย”
ตำรวจ: ขอดูใบขับขี่หน่อยครับ แล้วจะไปไหนกัน?
สองสาว: ไปบาตูค่ะ พลางยื่นใบขับขี่ของไทยแบบ smart card ให้คุณตำรวจดู
ตำรวจ: เอ๊ะ นี่มันไม่ใช่ใบขับขี่สากลนี่ ถ้ามาอินโดฯ ต้องทำใบขับขี่สากลมาก่อนนะ
สองสาว: เถียงๆ 55... แต่หนูอ่านจากเว็บนู่นนี่ที่เค้าเอามารีวิวกัน เค้าบอกว่าใช้ได้ นี่ๆ พร้อมเปิดหนังสือภาษาไทยให้พี่ตำรวจดูด้วย แล้วพี่ตำรวจจะอ่านออกไม๊ ป่วงง!
สงสัยพี่ตำรวจคงเถียงเราไม่ทัน เลยได้แค่บอกว่า “ขับรถระวังๆ นะครับ” แล้วปล่อยเราไป
ถึงภูเขาไฟบาตูโดยสวัสดิภาพ ครึ้มฝนนิดๆ แต่ไม่ตก ลมเย็นมากก อากาศดีมากก สองคนพี่น้องเลยนั่งรับลมกันยาวไป... ขากลับ แวะนาขั้นบันไดกันซักหน่อย สวยจริงๆ สมคำล่ำลือ
คืนวันนี้ถึงกับหลับสบายกันเลยทีเดียว ท้าแดด ท้าลม ท้าฝน สาวแกร่ง!!
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 4 ค่าที่พัก 150,000, อาหารการกิน 70,000 (เหลือ 2,785,000 Rp)
“วันที่ 5” 16 พ.ย.
เป็นอีกวันที่เราต้องโยกย้ายถิ่นฐาน กันไปที่ Lovina เราจะไปดูโลมากัน...เดินทางด้วยรถบัสน้อย เย้!! เราไม่ง้อแท๊กซี่แล้ว
เม็ดฝนก็โปรยปรายตลอดการเดินทาง ซึ่งเป็นทางขึ้นเขาลงเขา สาวผู้น้องเมารถจ้า ดีนะที่เตรียมลูกอมรสมะขามไว้ แล้วพอตอนขึ้นถึงยอดเขา อากาศก็เริ่มเย็น ลุงคนขับก็ปิดแอร์ มีงี้ด้วย 55
ระหว่างทางก็มีแวะตามริมทาง ให้เราได้หาของกินใส่ท้อง แวะดื่มน้ำปัสสาวะอุจจาระ
ถึงแล้ว Lovina ที่รอคอย... แล้วก็เดินหาที่พักกันอีกตามเคย ไม่ได้จองกันมาก่อน เป็นพวกชอบลุ้นๆ พอได้ที่พักเสร็จสรรพ เราจึงได้เวลาสำรวจ ชายหาดที่นี่เป็นทรายสีดำ (แต่ก็ไม่ดำสนิดนะ) เวลามีเปลือกหอย หรือพวกเศษขยะเล็กๆ มันเลยดูสกปรกง่าย
จุดเล็กๆ ขาวๆ นั่นแหล่ะ คือพวกเปลือกหอย ใบไม้แห้งบ้าง ก้นบุหรี่บ้าง... อินโดฯ นี่เค้าสูบบุหรี่กันหนักจริงๆ นะ... เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง รวมถึงพรุ่งนี้เอาต้องออกไปดูโลมาแต่เช้า เราก็ควรนอน~
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 5 ค่ารถ 240,000, ค่าที่พัก 150,000, ค่าดูโลมา (จ่ายล่วงหน้า) 50,000, ซื้อของฝาก 30,000, อาหารการกิน 60,000 (เหลือ 2,255,000 Rp)
~การเดินทางยังไม่จบเพียงเท่านี้ กรุณาติดตามชมช่วงต่อไปนะคะ ช่วงนี้ขอพักชมโฆษณาแป๊ปนึง~
ปล. มีการแก้ไขบ้างเล็กน้อยนะคะ ส่วนมาเป็นการพิมพ์ผิด