ตอนเป็นเด็ก ผมต้องเรียนโคลงสี่สุภาพบทหนึ่ง ซึ่งเป็นโคลงที่เชื่อกันว่า ศรีปราชญ์ เป็นผู้แต่ง
โคลงบทนี้มีเนื้อหาดังนี้
อันใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย
ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จักกราย ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อ เรียมสงวน
ไม่เคยมีใครทักท้วงสงสัยเลย สอนกันมาก็สอนกันไปอย่างนั้น ผมเชื่อว่าจริงๆแล้ว โคลงบทนี้ ถูกรจนาดังนี้
อันใดหยามแก้มแม่ หมองไหม้
ยุงเหลือบฤๅลิ้นไพร่ ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จะใกล้ ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อ เรียมสงวน
ผิวชน ในที่นี้ก็คือ พี่ว่าชน,หากแต่ชน,แม้แต่ชน (ชนก็คือ คนนั่นเอง)
อยากจะบอกว่า สมัยยุคกลางของราชวงค์เม็งราย ชาวเหนือทั่วไปก็พูดทักทายกันเป็นโคลงสี่สุภาพแล้ว
แจวเรือไปทางไหน พบปะกันตามท่าน้ำ วัด หรือตลาด เขาก็ด้นโคลงกันสดๆ พญาพรหม นั้นไซร้จะเป็น
ศรีปราชญ์หรือไม่ ก็ลองไปทำวิจัยกันดู ประวัติศาสตร์มันบิดเบือนกันได้
อะไรที่ไม่มี ก็ยังสร้างวาทกรรมให้มีตัวตน หรือมีวีรกรรมกันได้เลย
ประหลาดใจที่ยังมี อีกหลายๆเรื่องในประเทศไทย ที่ไม่เคยมีใครฉุกคิดในบางเรื่อง
จริงๆแล้ว มันคือคำว่าไพร่ โถไปเรียกเป็นอย่างอื่น
โคลงบทนี้มีเนื้อหาดังนี้
อันใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย
ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จักกราย ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อ เรียมสงวน
ไม่เคยมีใครทักท้วงสงสัยเลย สอนกันมาก็สอนกันไปอย่างนั้น ผมเชื่อว่าจริงๆแล้ว โคลงบทนี้ ถูกรจนาดังนี้
อันใดหยามแก้มแม่ หมองไหม้
ยุงเหลือบฤๅลิ้นไพร่ ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จะใกล้ ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อ เรียมสงวน
ผิวชน ในที่นี้ก็คือ พี่ว่าชน,หากแต่ชน,แม้แต่ชน (ชนก็คือ คนนั่นเอง)
อยากจะบอกว่า สมัยยุคกลางของราชวงค์เม็งราย ชาวเหนือทั่วไปก็พูดทักทายกันเป็นโคลงสี่สุภาพแล้ว
แจวเรือไปทางไหน พบปะกันตามท่าน้ำ วัด หรือตลาด เขาก็ด้นโคลงกันสดๆ พญาพรหม นั้นไซร้จะเป็น
ศรีปราชญ์หรือไม่ ก็ลองไปทำวิจัยกันดู ประวัติศาสตร์มันบิดเบือนกันได้
อะไรที่ไม่มี ก็ยังสร้างวาทกรรมให้มีตัวตน หรือมีวีรกรรมกันได้เลย
ประหลาดใจที่ยังมี อีกหลายๆเรื่องในประเทศไทย ที่ไม่เคยมีใครฉุกคิดในบางเรื่อง