"ต้นไม้" กับ สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอก

คำเตือน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรอ่านในที่มืดเพราะจะมองไม่เห็น

ขอบคุณครับ^^






จะเป็นการดีแค่ไหน..

    
ถ้าการจับเข่าคุยเล่นกันจะนำพาไปสู่การค้นพบใหม่ทางธรรมชาติ?!

การค้นพบอันยิ่งใหญ่ที่แม้แต่นักวิชาการจากทั่วทุกมุมโลกพยายามพิสูจน์แต่ก็ไร้ผล

สำหรับใครหลายคน นี่คงเป็นเหตุการณ์ที่คงอยากให้เกิดขึ้นสักครั้งหนึ่งในชีวิต..

เพราะการที่จะได้มีชื่อบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์กับการเป็นผู้ค้นพบสิ่งใหม่ของโลก

รวมไปถึงการได้เป็นที่จดจำของคนรุ่นหลังไปตลอด ก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับ

ชีวิตหนึ่ง ๆ ที่ได้เกิดมา..

แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับทีมนักสำรวจฯ กลุ่มนี้แล้ว มันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่?!

..ที่ในป่าลึก..

ข้อเท็จจริงบางอย่างที่พวกเขาเพิ่งค้นพบนำมาซึ่งความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่พวกเขา

ไม่เคยรู้สึกมาก่อน การถกเถียงกันในวงเล็ก ๆ กลับนำพาให้พวกเขา

ได้ล่วงรู้ถึงความลับที่พวกเขาไม่ควรก้าวข้าม!

..!?!..

ใครเล่าจะรู้..?

- ต้นไม้นั้นมี 'สมอง' และ 'ความรู้สึก' นึกคิดเหมือนมนุษย์! -


แม้มันจะดูน่าเหลือเชื่อ หากแต่ข้อพิสูจน์นั้นก็ได้เป็นที่ประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม

และที่สำคัญ.. มันได้มาปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าของพวกเขาแล้ว!!





"น่าแปลกไหม.. ทำไมต้นไม้ถึงต้องผลัดใบ?! "

ย้อนเวลากลับไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด บริเวณแคมป์พักแรมของทีมนักสำรวจพันธุ์ไม้กลุ่มหนึ่งที่

ตั้งขึ้นอย่างง่าย ๆ ใจกลางป่า..  

คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายของการเฉลิมฉลองภายหลังจากที่พวกเขาได้ทำการสำรวจพื้นที่ป่าแห่งหนึ่ง

จนแล้วเสร็จ ในพื้นที่กว่า 10 ตารางกิโลเมตรในเขตวนอุทยานแห่งชาติ

ในงานนี้ พวกเขาต้องใช้เวลาอยู่หลายวันในการศึกษาถึงชนิดของพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่ยังคงเหลืออยู่

รวมไปถึงการเก็บตัวอย่างพันธุ์ไม้หายากบางชนิดกลับไปยังศูนย์วิจัยฯ เพื่อที่จะได้ทำการเพาะเลี้ยง

และทำการอนุรักษ์พันธุ์ต่อด้วย..

ในเวลานั้นเอง ขณะที่พวกเขากำลังกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนานและมีการพูดคุยกันตามปกติบริเวณ

ลานกว้างรอบกองไฟที่พวกเขาก่อขึ้น

จู่ ๆ สมาชิกของทีมสำรวจฯ คนหนึ่งก็ได้ถามคำถามที่ไม่มีใครคาดคิดนี้ขึ้นกลางวงสนทนา

และสร้างความงวยงงให้กับผู้คนที่อยู่โดยรอบเป็นอย่างมาก..

...?!

"อะไรนะ.. ต้นไม้ผลัดใบ!! มันน่าแปลกตรงไหน?! "  ทันทีที่ได้ยินคำถาม ชายอีกคนหนึ่ง

ที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับทักท้วงขึ้นในทันทีด้วยแปลกใจในสิ่งที่ได้ยิน ไม่ใช่ว่าคำถามนั้นตอบยาก บรรยาย

ไม่ถูก หากแต่เป็นคำถามพื้นฐานที่คนทั่วไปก็รู้กันหมดแล้วต่างหากว่าต้นไม้นั้นผลัดใบทำไม?!

"ก็เพื่อลดการคายน้ำในช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้งไง เพราะตามผิวของใบมันจะมี

รูอากาศไว้เพื่อระบายความชื้นมากมาย หากต้นไม้ยังมีใบเหล่านั้นอยู่ มีหวังมันได้

ระบายความชื้นออกจากต้นจนหมดและตายกันพอดี ..นี่นายเรียนด้านนี้มาไม่รู้หรอกหรือ?!
"

เพื่อคลายความสงสัยชายคนที่สามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามจึงช่วยตอบ แต่สีหน้าของชายคนแรก

ก็ยังคงแสดงออกถึงความไม่เข้าใจในคำถามที่แสนง่ายนี้อยู่..

"เรื่องนั้นผมเข้าใจ.. "  เขารีบแย้งในทันที

"แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือพวกมันรู้ได้อย่างไรว่าถ้าไม่ปลิดใบทิ้งแล้ว มันจะต้องตาย?!! "

แล้ววงสนทนาก็เงียบไปพักหนึ่ง แต่ละคนเริ่มมีสีหน้าแปลกใจในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งเคยคิดและได้ยิน

เป็นครั้งแรก..

"กิ่ง, ใบ, ลำต้น, ราก ฯลฯ แต่ละส่วนแยกจากกันในการทำหน้าที่ แต่การที่พวกมันรู้ตัวว่า

ตัวเองจะต้องตายในสภาวะใด แสดงว่าในต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีศูนย์บัญชาการกลางคอยสั่งงาน

ไปยังทุกส่วนเพื่อความอยู่รอด?!
"  ชายคนแรกพูดต่อด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด

ขณะเดียวกัน เขาก็คอยสังเกตอาการของเพื่อนร่วมสนทนาไปพร้อมกันด้วยว่าจะ

เห็นด้วยกับเขาหรือไม่ อย่างไร..?

"อืม.. ก็น่าคิดนะ?! "  เขาได้ยินใครคนหนึ่งทำเสียงพึมพำในลำคอ

"ผมว่านะ.."  ท่ามกลางความเงียบเขาเริ่มพูดต่อ

"ต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีหน่วยประมวลผลและประสาทรับสัมผัสเหมือนคนด้วย?! "

พร้อมกันนั้นเขาก็ทำท่าเอามือมาเคาะที่บริเวณศีรษะราวกับต้องการจะบอกใบ้อะไรบางอย่าง..

ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้า ชายคนแรกยังคงพูดถึงความคิดอื่น ๆ ของเขาที่เคยได้ตั้งข้อสังเกตไว้

กับเหล่าต้นไม้ที่เขารู้จักในมุมมองแปลก ๆ อีกหลายอย่าง หากแต่เขาก็ไม่เคยได้พูดที่ไหนมาก่อน..

"..เคยเห็นฝักของต้นโกงกางไหม?! "

เขาเริ่มต้นถามพร้อมกับใช้มือทำท่าทางประกอบ..

"พวกมันรู้ได้อย่างไรว่าดินบริเวณที่พวกมันอาศัยอยู่นั้นนิ่ม!! (ดินเลน ) มันจึงพยายาม

ทำให้ฝักของมันมีลักษณะเรียวยาว ปลายแหลม เมื่อฝักแก่ได้อายุเต็มที่ก็ร่วงหล่น

ลงมาจากต้น ปักลงดิน และสามารถเจริญเติบโตต่อได้ในทันที
.. "

เขาพักหายใจนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ..

"ตามปกติแล้ว ผลหรือฝักของต้นไม้ทั่วไปมันควรจะออกกลม ๆ มิใช่หรือ..?

การที่มันปรับเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้เหมาะแก่การดำรงชีวิต ย่อมหมายถึงว่า

พวกมันต้องมีการรับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวได้ และพวกมันก็รู้จักคิด..!!
"

"อืม.. ก็มีเหตุผลนะ ถ้าฝักของมันกลม ๆ ยามเมื่อมันหล่นลงมาจากต้น มันอาจจะ

ลอยไปตามกระแสน้ำตอนที่น้ำขึ้น - น้ำลง และอาจไปเน่าตายอยู่ที่ไหนก็ได้

ก็มันเป็นไม้ในเขตป่าชายเลนนี่น่า!!
"  หลังจากที่ได้ฟังอย่างตั้งใจมาระยะหนึ่ง ชายคนที่สอง

ก็เริ่มแสดงความคิดเห็นบ้าง..

"ถ้าพูดอย่างนั้นมันก็เป็นไปได้นะ อย่างการหุบใบของต้นไมยราบ, การผลิตน้ำหวาน

ล่อแมลงเพื่อการผสมพันธุ์ของดอกไม้  หรือ การดักจับแมลงกินเป็นอาหารของต้น

หม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น ฯลฯ พวกนี้ก็ว่ากันถึงการที่ต้นไม้รับรู้ได้ถึงการสัมผัสด้วยกันทั้งสิ้น!!
"

ชายคนที่สามรีบให้ความคิดเห็นสมทบ

อย่างไม่ทันรู้ตัว ดูเหมือนว่าทุกคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นจะเริ่มมีความคิดเห็นที่ตรงกันแล้วในตอนนี้

"ใช่ไหมล่ะ..?! "  ชายคนแรกเริ่มพูดต่อ น้ำเสียงของเขาดูจะมั่นใจมากขึ้น..

"อย่างการหุบและกางใบของต้นไมยราบ นักวิชาการส่วนใหญ่มักจะพูดถึงแต่ว่า

มันเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าในรูปแบบของการสั่นสะเทือน
(contract movement *)  บ้างล่ะ

หรือเป็นเพราะมีสิ่งมากระตุ้นทำให้แรงดันเต่งของกลุ่มเซลล์พัลไวนัส
(pulvinus ) บริเวณโคนก้านใบ

ของต้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดการหุบหรือกางของใบบ้างล่ะ..

แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่จะบอกว่าต้นไม้เหล่านั้นมีศูนย์กลางในการสั่งงานในสิ่งเหล่านั้น

อยู่ที่ตรงไหน? อย่างไร? พวกมันกำลังคิดอะไรอยู่? และเหตุใดมันจึงทำเช่นนั้น?!
"

ชายคนแรกกล่าวสรุป ใจของเขาเริ่มเต้นแรงแล้วตอนนี้ราวกับว่าเขาจะคิดอะไรได้..

"เฮ้ย.. อย่าบอกนะว่านายคิดว่าต้นไม้มีสมองเหมือนมนุษย์น่ะ?! "  ภายหลังจากที่ได้ฟัง

เรื่องราวทั้งหมด ชายคนที่สองถึงกับอุทานเสียงดังอย่างลืมตัวด้วยความรู้สึกตื่นเต้น..

"นั่นมันคือการค้นพบใหม่เลยนะ!! "  ชายคนที่สองกล่าวต่อ ดวงตาของเขาลุกวาว

และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดกำลัง

"ใช่.. มันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ "  ชายคนแรกตอบ แล้วหันไปจ้องตาเพื่อนร่วมสนทนาทั้งสอง

"แล้วถ้าอย่างนั้น สมองของต้นไม้จะอยู่ที่ตรงไหนล่ะ?! "  ด้วยความสงสัย ชายคนที่สาม

ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มตั้งคำถามบ้าง ขณะนั้นแต่ละคนทำท่าคิดกันอย่างจริงจัง

"มันจะต้องอยู่ที่ส่วนรากสิ!! "  และแทบจะในทันที ชายคนที่สองรีบตอบอย่างทันควัน ใบหน้าของเขา

เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ และไม่รอช้า เขาได้กล่าวถึงเหตุผลที่เขาคิดเช่นนั้นต่อในทันที

ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังจะกลายเป็นผู้ไขปริศนาระดับโลกได้แล้ว..

"คนเรา.. หากแขนขาขาดก็ยังไม่ตายหากยังมีศีรษะและส่วนของลำตัวอยู่ใช่ไหมล่ะ? ต้นไม้ก็เหมือนกัน

หากตัดยอดไปมันก็ไม่ตาย มันพร้อมที่จะแตกใหม่ได้ ตราบใดที่มันยังเหลือลำต้นและราก!!
"

"อืม.. ใช่ ๆ มีเหตุผล ๆ "  จากนั้นชายคนแรกก็เริ่มเข้ามาสำทับอีก

"ตามธรรมชาติแล้ว.. เราจะต้องเก็บส่วนที่สำคัญที่สุดไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดถูกไหม?

เหมือนกับคนที่ศีรษะจะอยู่ในส่วนที่สูงที่สุดของร่างกายเพื่อให้ง่ายต่อการป้องกัน

สำหรับต้นไม้แล้วใต้ดินนั้นน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด เพราะไม่ค่อยมีอะไรมารบกวน

ฉะนั้นแล้ว สมองของต้นไม้จะต้องอยู่ที่รากแน่ ๆ ..!!
"

"ใช่ ๆ ๆ "  วินาทีนี้ทุกคนต่างพยักหน้าพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ความจริงดูเหมือนจะกำลังกระจ่างขึ้น

แต่แล้วในขณะที่การถกเถียงกันกำลังจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายนั้นเอง จู่ ๆ หญิงคนหนึ่ง

ที่นั่งฟังการสนทนานี้มาตั้งแต่ต้นก็ได้พูดเสียงดังขึ้นจากนอกวงประชุม น้ำเสียงของเธอนั้น

เย็นยะเยือกสร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นเป็นอย่างมาก..  

"มันอยู่ที่ตรงกลางลำต้นต่างหาก..!! "  เสียงนั้นมาจากที่ที่หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก

ราวกับถูกสะกด ทุกคนจึงเหลียวมองตามเสียงนั้นไป แล้วพวกเขาก็เห็นมัน!!  

ท่ามกลางความมืดยามราตรีที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ  ภาพลาง ๆ ที่พวกเขาเห็นนั้นแจ่มชัด

มันคือสมองที่อยู่ในใจกลางของลำต้นอย่างชัดเจนตรงตามที่หญิงคนนั้นบอก

สีของมันเป็นสีขาวเรือง ๆ และอยู่สูงเหนือพื้นดินไปประมาณเมตรกว่า ๆ  

แต่สิ่งที่นำมาซึ่งความตื่นตะลึงพรึงเพลิดมากไปกว่านั้น นั่นก็คือ สมองที่ว่า..

กลับมีร่างจาง ๆ ของหญิงสาวผมยาวผู้นั้นผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงไปปรากฏยืนเป็นเงาทับอยู่อีกชั้นหนึ่ง

เท่าที่เห็นร่างนั้นดูผอมและซูบซีดมาก เธอกำลังจ้องมองมายังพวกเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

พร้อมกับกำลังเอื้อมมือที่ยาวผิดปกติของเธอมาข้างหน้าราวกับกำลังจะเตรียมคว้าอะไรบางอย่างไว้..

"เฮ้ย..!! "  และทันใดนั้นเสียงสุดท้ายของชายทั้งสามคนก็ดังขึ้น!!



..?!!..


  
..ไม่มีใครรู้..

การพูดคุยกันเสียงดังก่อนหน้านี้อาจเป็นการไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทางในป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้า

และนั่นเอง ก็อาจเป็นที่มาของการหายสาบสูญไปอย่างปริศนาของชายทั้งสามคน จนกลายมาเป็น

ตำนานเรื่องเล่าบทใหม่ของต้นไม้ใหญ่ที่น่าเกรงขามและมีอาถรรพ์ต้นนี้

ต้นไม้ที่ชายทั้ง 3 คนนั้นมองเห็นและเป็นที่รู้จักกันดี..



- ตะเคียน -




หมายเหตุ * การหุบของใบจากการสั่นสะเทือน (contract movement) คือ หนึ่งใน

การเคลื่อนไหวของพืชที่เกิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแรงดันเต่ง (turgor movement )


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่