คำเตือน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรอ่านในที่มืดเพราะจะมองไม่เห็น
ขอบคุณครับ^^
จะเป็นการดีแค่ไหน..
ถ้าการจับเข่าคุยเล่นกันจะนำพาไปสู่การค้นพบใหม่ทางธรรมชาติ?!
การค้นพบอันยิ่งใหญ่ที่แม้แต่นักวิชาการจากทั่วทุกมุมโลกพยายามพิสูจน์แต่ก็ไร้ผล
สำหรับใครหลายคน นี่คงเป็นเหตุการณ์ที่คงอยากให้เกิดขึ้นสักครั้งหนึ่งในชีวิต..
เพราะการที่จะได้มีชื่อบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์กับการเป็นผู้ค้นพบสิ่งใหม่ของโลก
รวมไปถึงการได้เป็นที่จดจำของคนรุ่นหลังไปตลอด ก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับ
ชีวิตหนึ่ง ๆ ที่ได้เกิดมา..
แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับทีมนักสำรวจฯ กลุ่มนี้แล้ว มันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่?!
..ที่ในป่าลึก..
ข้อเท็จจริงบางอย่างที่พวกเขาเพิ่งค้นพบนำมาซึ่งความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่พวกเขา
ไม่เคยรู้สึกมาก่อน การถกเถียงกันในวงเล็ก ๆ กลับนำพาให้พวกเขา
ได้ล่วงรู้ถึงความลับที่พวกเขาไม่ควรก้าวข้าม!
..!?!..
ใครเล่าจะรู้..?
- ต้นไม้นั้นมี 'สมอง' และ 'ความรู้สึก' นึกคิดเหมือนมนุษย์! -
แม้มันจะดูน่าเหลือเชื่อ หากแต่ข้อพิสูจน์นั้นก็ได้เป็นที่ประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม
และที่สำคัญ.. มันได้มาปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าของพวกเขาแล้ว!!
"น่าแปลกไหม.. ทำไมต้นไม้ถึงต้องผลัดใบ?! "
ย้อนเวลากลับไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด บริเวณแคมป์พักแรมของทีมนักสำรวจพันธุ์ไม้กลุ่มหนึ่งที่
ตั้งขึ้นอย่างง่าย ๆ ใจกลางป่า..
คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายของการเฉลิมฉลองภายหลังจากที่พวกเขาได้ทำการสำรวจพื้นที่ป่าแห่งหนึ่ง
จนแล้วเสร็จ ในพื้นที่กว่า 10 ตารางกิโลเมตรในเขตวนอุทยานแห่งชาติ
ในงานนี้ พวกเขาต้องใช้เวลาอยู่หลายวันในการศึกษาถึงชนิดของพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่ยังคงเหลืออยู่
รวมไปถึงการเก็บตัวอย่างพันธุ์ไม้หายากบางชนิดกลับไปยังศูนย์วิจัยฯ เพื่อที่จะได้ทำการเพาะเลี้ยง
และทำการอนุรักษ์พันธุ์ต่อด้วย..
ในเวลานั้นเอง ขณะที่พวกเขากำลังกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนานและมีการพูดคุยกันตามปกติบริเวณ
ลานกว้างรอบกองไฟที่พวกเขาก่อขึ้น
จู่ ๆ สมาชิกของทีมสำรวจฯ คนหนึ่งก็ได้ถามคำถามที่ไม่มีใครคาดคิดนี้ขึ้นกลางวงสนทนา
และสร้างความงวยงงให้กับผู้คนที่อยู่โดยรอบเป็นอย่างมาก..
...?!
"
อะไรนะ.. ต้นไม้ผลัดใบ!! มันน่าแปลกตรงไหน?! " ทันทีที่ได้ยินคำถาม ชายอีกคนหนึ่ง
ที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับทักท้วงขึ้นในทันทีด้วยแปลกใจในสิ่งที่ได้ยิน ไม่ใช่ว่าคำถามนั้นตอบยาก บรรยาย
ไม่ถูก หากแต่เป็นคำถามพื้นฐานที่คนทั่วไปก็รู้กันหมดแล้วต่างหากว่าต้นไม้นั้นผลัดใบทำไม?!
"
ก็เพื่อลดการคายน้ำในช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้งไง เพราะตามผิวของใบมันจะมี
รูอากาศไว้เพื่อระบายความชื้นมากมาย หากต้นไม้ยังมีใบเหล่านั้นอยู่ มีหวังมันได้
ระบายความชื้นออกจากต้นจนหมดและตายกันพอดี ..นี่นายเรียนด้านนี้มาไม่รู้หรอกหรือ?! "
เพื่อคลายความสงสัยชายคนที่สามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามจึงช่วยตอบ แต่สีหน้าของชายคนแรก
ก็ยังคงแสดงออกถึงความไม่เข้าใจในคำถามที่แสนง่ายนี้อยู่..
"
เรื่องนั้นผมเข้าใจ.. " เขารีบแย้งในทันที
"
แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือพวกมันรู้ได้อย่างไรว่าถ้าไม่ปลิดใบทิ้งแล้ว มันจะต้องตาย?!! "
แล้ววงสนทนาก็เงียบไปพักหนึ่ง แต่ละคนเริ่มมีสีหน้าแปลกใจในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งเคยคิดและได้ยิน
เป็นครั้งแรก..
"
กิ่ง, ใบ, ลำต้น, ราก ฯลฯ แต่ละส่วนแยกจากกันในการทำหน้าที่ แต่การที่พวกมันรู้ตัวว่า
ตัวเองจะต้องตายในสภาวะใด แสดงว่าในต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีศูนย์บัญชาการกลางคอยสั่งงาน
ไปยังทุกส่วนเพื่อความอยู่รอด?! " ชายคนแรกพูดต่อด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด
ขณะเดียวกัน เขาก็คอยสังเกตอาการของเพื่อนร่วมสนทนาไปพร้อมกันด้วยว่าจะ
เห็นด้วยกับเขาหรือไม่ อย่างไร..?
"
อืม.. ก็น่าคิดนะ?! " เขาได้ยินใครคนหนึ่งทำเสียงพึมพำในลำคอ
"
ผมว่านะ.." ท่ามกลางความเงียบเขาเริ่มพูดต่อ
"
ต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีหน่วยประมวลผลและประสาทรับสัมผัสเหมือนคนด้วย?! "
พร้อมกันนั้นเขาก็ทำท่าเอามือมาเคาะที่บริเวณศีรษะราวกับต้องการจะบอกใบ้อะไรบางอย่าง..
ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้า ชายคนแรกยังคงพูดถึงความคิดอื่น ๆ ของเขาที่เคยได้ตั้งข้อสังเกตไว้
กับเหล่าต้นไม้ที่เขารู้จักในมุมมองแปลก ๆ อีกหลายอย่าง หากแต่เขาก็ไม่เคยได้พูดที่ไหนมาก่อน..
"..
เคยเห็นฝักของต้นโกงกางไหม?! "
เขาเริ่มต้นถามพร้อมกับใช้มือทำท่าทางประกอบ..
"
พวกมันรู้ได้อย่างไรว่าดินบริเวณที่พวกมันอาศัยอยู่นั้นนิ่ม!! (
ดินเลน )
มันจึงพยายาม
ทำให้ฝักของมันมีลักษณะเรียวยาว ปลายแหลม เมื่อฝักแก่ได้อายุเต็มที่ก็ร่วงหล่น
ลงมาจากต้น ปักลงดิน และสามารถเจริญเติบโตต่อได้ในทันที.. "
เขาพักหายใจนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ..
"
ตามปกติแล้ว ผลหรือฝักของต้นไม้ทั่วไปมันควรจะออกกลม ๆ มิใช่หรือ..?
การที่มันปรับเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้เหมาะแก่การดำรงชีวิต ย่อมหมายถึงว่า
พวกมันต้องมีการรับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวได้ และพวกมันก็รู้จักคิด..!! "
"
อืม.. ก็มีเหตุผลนะ ถ้าฝักของมันกลม ๆ ยามเมื่อมันหล่นลงมาจากต้น มันอาจจะ
ลอยไปตามกระแสน้ำตอนที่น้ำขึ้น - น้ำลง และอาจไปเน่าตายอยู่ที่ไหนก็ได้
ก็มันเป็นไม้ในเขตป่าชายเลนนี่น่า!! " หลังจากที่ได้ฟังอย่างตั้งใจมาระยะหนึ่ง ชายคนที่สอง
ก็เริ่มแสดงความคิดเห็นบ้าง..
"
ถ้าพูดอย่างนั้นมันก็เป็นไปได้นะ อย่างการหุบใบของต้นไมยราบ, การผลิตน้ำหวาน
ล่อแมลงเพื่อการผสมพันธุ์ของดอกไม้ หรือ การดักจับแมลงกินเป็นอาหารของต้น
หม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น ฯลฯ พวกนี้ก็ว่ากันถึงการที่ต้นไม้รับรู้ได้ถึงการสัมผัสด้วยกันทั้งสิ้น!! "
ชายคนที่สามรีบให้ความคิดเห็นสมทบ
อย่างไม่ทันรู้ตัว ดูเหมือนว่าทุกคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นจะเริ่มมีความคิดเห็นที่ตรงกันแล้วในตอนนี้
"
ใช่ไหมล่ะ..?! " ชายคนแรกเริ่มพูดต่อ น้ำเสียงของเขาดูจะมั่นใจมากขึ้น..
"
อย่างการหุบและกางใบของต้นไมยราบ นักวิชาการส่วนใหญ่มักจะพูดถึงแต่ว่า
มันเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าในรูปแบบของการสั่นสะเทือน (
contract movement *)
บ้างล่ะ
หรือเป็นเพราะมีสิ่งมากระตุ้นทำให้แรงดันเต่งของกลุ่มเซลล์พัลไวนัส (pulvinus )
บริเวณโคนก้านใบ
ของต้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดการหุบหรือกางของใบบ้างล่ะ..
แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่จะบอกว่าต้นไม้เหล่านั้นมีศูนย์กลางในการสั่งงานในสิ่งเหล่านั้น
อยู่ที่ตรงไหน? อย่างไร? พวกมันกำลังคิดอะไรอยู่? และเหตุใดมันจึงทำเช่นนั้น?! "
ชายคนแรกกล่าวสรุป ใจของเขาเริ่มเต้นแรงแล้วตอนนี้ราวกับว่าเขาจะคิดอะไรได้..
"
เฮ้ย.. อย่าบอกนะว่านายคิดว่าต้นไม้มีสมองเหมือนมนุษย์น่ะ?! " ภายหลังจากที่ได้ฟัง
เรื่องราวทั้งหมด ชายคนที่สองถึงกับอุทานเสียงดังอย่างลืมตัวด้วยความรู้สึกตื่นเต้น..
"
นั่นมันคือการค้นพบใหม่เลยนะ!! " ชายคนที่สองกล่าวต่อ ดวงตาของเขาลุกวาว
และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดกำลัง
"
ใช่.. มันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ " ชายคนแรกตอบ แล้วหันไปจ้องตาเพื่อนร่วมสนทนาทั้งสอง
"
แล้วถ้าอย่างนั้น สมองของต้นไม้จะอยู่ที่ตรงไหนล่ะ?! " ด้วยความสงสัย ชายคนที่สาม
ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มตั้งคำถามบ้าง ขณะนั้นแต่ละคนทำท่าคิดกันอย่างจริงจัง
"
มันจะต้องอยู่ที่ส่วนรากสิ!! " และแทบจะในทันที ชายคนที่สองรีบตอบอย่างทันควัน ใบหน้าของเขา
เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ และไม่รอช้า เขาได้กล่าวถึงเหตุผลที่เขาคิดเช่นนั้นต่อในทันที
ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังจะกลายเป็นผู้ไขปริศนาระดับโลกได้แล้ว..
"
คนเรา.. หากแขนขาขาดก็ยังไม่ตายหากยังมีศีรษะและส่วนของลำตัวอยู่ใช่ไหมล่ะ? ต้นไม้ก็เหมือนกัน
หากตัดยอดไปมันก็ไม่ตาย มันพร้อมที่จะแตกใหม่ได้ ตราบใดที่มันยังเหลือลำต้นและราก!! "
"
อืม.. ใช่ ๆ มีเหตุผล ๆ " จากนั้นชายคนแรกก็เริ่มเข้ามาสำทับอีก
"
ตามธรรมชาติแล้ว.. เราจะต้องเก็บส่วนที่สำคัญที่สุดไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดถูกไหม?
เหมือนกับคนที่ศีรษะจะอยู่ในส่วนที่สูงที่สุดของร่างกายเพื่อให้ง่ายต่อการป้องกัน
สำหรับต้นไม้แล้วใต้ดินนั้นน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด เพราะไม่ค่อยมีอะไรมารบกวน
ฉะนั้นแล้ว สมองของต้นไม้จะต้องอยู่ที่รากแน่ ๆ ..!! "
"
ใช่ ๆ ๆ " วินาทีนี้ทุกคนต่างพยักหน้าพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ความจริงดูเหมือนจะกำลังกระจ่างขึ้น
แต่แล้วในขณะที่การถกเถียงกันกำลังจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายนั้นเอง จู่ ๆ หญิงคนหนึ่ง
ที่นั่งฟังการสนทนานี้มาตั้งแต่ต้นก็ได้พูดเสียงดังขึ้นจากนอกวงประชุม น้ำเสียงของเธอนั้น
เย็นยะเยือกสร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นเป็นอย่างมาก..
"
มันอยู่ที่ตรงกลางลำต้นต่างหาก..!! " เสียงนั้นมาจากที่ที่หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
ราวกับถูกสะกด ทุกคนจึงเหลียวมองตามเสียงนั้นไป แล้วพวกเขาก็เห็นมัน!!
ท่ามกลางความมืดยามราตรีที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ ภาพลาง ๆ ที่พวกเขาเห็นนั้นแจ่มชัด
มันคือสมองที่อยู่ในใจกลางของลำต้นอย่างชัดเจนตรงตามที่หญิงคนนั้นบอก
สีของมันเป็นสีขาวเรือง ๆ และอยู่สูงเหนือพื้นดินไปประมาณเมตรกว่า ๆ
แต่สิ่งที่นำมาซึ่งความตื่นตะลึงพรึงเพลิดมากไปกว่านั้น นั่นก็คือ สมองที่ว่า..
กลับมีร่างจาง ๆ ของหญิงสาวผมยาวผู้นั้นผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงไปปรากฏยืนเป็นเงาทับอยู่อีกชั้นหนึ่ง
เท่าที่เห็นร่างนั้นดูผอมและซูบซีดมาก เธอกำลังจ้องมองมายังพวกเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
พร้อมกับกำลังเอื้อมมือที่ยาวผิดปกติของเธอมาข้างหน้าราวกับกำลังจะเตรียมคว้าอะไรบางอย่างไว้..
"
เฮ้ย..!! " และทันใดนั้นเสียงสุดท้ายของชายทั้งสามคนก็ดังขึ้น!!
..?!!..
..ไม่มีใครรู้..
การพูดคุยกันเสียงดังก่อนหน้านี้อาจเป็นการไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทางในป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้า
และนั่นเอง ก็อาจเป็นที่มาของการหายสาบสูญไปอย่างปริศนาของชายทั้งสามคน จนกลายมาเป็น
ตำนานเรื่องเล่าบทใหม่ของต้นไม้ใหญ่ที่น่าเกรงขามและมีอาถรรพ์ต้นนี้
ต้นไม้ที่ชายทั้ง 3 คนนั้นมองเห็นและเป็นที่รู้จักกันดี..
- ตะเคียน -
…
หมายเหตุ * การหุบของใบจากการสั่นสะเทือน (contract movement) คือ หนึ่งใน
การเคลื่อนไหวของพืชที่เกิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแรงดันเต่ง (turgor movement )
"ต้นไม้" กับ สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอก
เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรอ่านในที่มืดเพราะจะมองไม่เห็น
ขอบคุณครับ^^
จะเป็นการดีแค่ไหน..
ถ้าการจับเข่าคุยเล่นกันจะนำพาไปสู่การค้นพบใหม่ทางธรรมชาติ?!
การค้นพบอันยิ่งใหญ่ที่แม้แต่นักวิชาการจากทั่วทุกมุมโลกพยายามพิสูจน์แต่ก็ไร้ผล
สำหรับใครหลายคน นี่คงเป็นเหตุการณ์ที่คงอยากให้เกิดขึ้นสักครั้งหนึ่งในชีวิต..
เพราะการที่จะได้มีชื่อบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์กับการเป็นผู้ค้นพบสิ่งใหม่ของโลก
รวมไปถึงการได้เป็นที่จดจำของคนรุ่นหลังไปตลอด ก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับ
ชีวิตหนึ่ง ๆ ที่ได้เกิดมา..
แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับทีมนักสำรวจฯ กลุ่มนี้แล้ว มันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่?!
..ที่ในป่าลึก..
ข้อเท็จจริงบางอย่างที่พวกเขาเพิ่งค้นพบนำมาซึ่งความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่พวกเขา
ไม่เคยรู้สึกมาก่อน การถกเถียงกันในวงเล็ก ๆ กลับนำพาให้พวกเขา
ได้ล่วงรู้ถึงความลับที่พวกเขาไม่ควรก้าวข้าม!
..!?!..
ใครเล่าจะรู้..?
- ต้นไม้นั้นมี 'สมอง' และ 'ความรู้สึก' นึกคิดเหมือนมนุษย์! -
แม้มันจะดูน่าเหลือเชื่อ หากแต่ข้อพิสูจน์นั้นก็ได้เป็นที่ประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม
และที่สำคัญ.. มันได้มาปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าของพวกเขาแล้ว!!
"น่าแปลกไหม.. ทำไมต้นไม้ถึงต้องผลัดใบ?! "
ย้อนเวลากลับไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด บริเวณแคมป์พักแรมของทีมนักสำรวจพันธุ์ไม้กลุ่มหนึ่งที่
ตั้งขึ้นอย่างง่าย ๆ ใจกลางป่า..
คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายของการเฉลิมฉลองภายหลังจากที่พวกเขาได้ทำการสำรวจพื้นที่ป่าแห่งหนึ่ง
จนแล้วเสร็จ ในพื้นที่กว่า 10 ตารางกิโลเมตรในเขตวนอุทยานแห่งชาติ
ในงานนี้ พวกเขาต้องใช้เวลาอยู่หลายวันในการศึกษาถึงชนิดของพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่ยังคงเหลืออยู่
รวมไปถึงการเก็บตัวอย่างพันธุ์ไม้หายากบางชนิดกลับไปยังศูนย์วิจัยฯ เพื่อที่จะได้ทำการเพาะเลี้ยง
และทำการอนุรักษ์พันธุ์ต่อด้วย..
ในเวลานั้นเอง ขณะที่พวกเขากำลังกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนานและมีการพูดคุยกันตามปกติบริเวณ
ลานกว้างรอบกองไฟที่พวกเขาก่อขึ้น
จู่ ๆ สมาชิกของทีมสำรวจฯ คนหนึ่งก็ได้ถามคำถามที่ไม่มีใครคาดคิดนี้ขึ้นกลางวงสนทนา
และสร้างความงวยงงให้กับผู้คนที่อยู่โดยรอบเป็นอย่างมาก..
...?!
"อะไรนะ.. ต้นไม้ผลัดใบ!! มันน่าแปลกตรงไหน?! " ทันทีที่ได้ยินคำถาม ชายอีกคนหนึ่ง
ที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับทักท้วงขึ้นในทันทีด้วยแปลกใจในสิ่งที่ได้ยิน ไม่ใช่ว่าคำถามนั้นตอบยาก บรรยาย
ไม่ถูก หากแต่เป็นคำถามพื้นฐานที่คนทั่วไปก็รู้กันหมดแล้วต่างหากว่าต้นไม้นั้นผลัดใบทำไม?!
"ก็เพื่อลดการคายน้ำในช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้งไง เพราะตามผิวของใบมันจะมี
รูอากาศไว้เพื่อระบายความชื้นมากมาย หากต้นไม้ยังมีใบเหล่านั้นอยู่ มีหวังมันได้
ระบายความชื้นออกจากต้นจนหมดและตายกันพอดี ..นี่นายเรียนด้านนี้มาไม่รู้หรอกหรือ?! "
เพื่อคลายความสงสัยชายคนที่สามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามจึงช่วยตอบ แต่สีหน้าของชายคนแรก
ก็ยังคงแสดงออกถึงความไม่เข้าใจในคำถามที่แสนง่ายนี้อยู่..
"เรื่องนั้นผมเข้าใจ.. " เขารีบแย้งในทันที
"แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือพวกมันรู้ได้อย่างไรว่าถ้าไม่ปลิดใบทิ้งแล้ว มันจะต้องตาย?!! "
แล้ววงสนทนาก็เงียบไปพักหนึ่ง แต่ละคนเริ่มมีสีหน้าแปลกใจในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งเคยคิดและได้ยิน
เป็นครั้งแรก..
"กิ่ง, ใบ, ลำต้น, ราก ฯลฯ แต่ละส่วนแยกจากกันในการทำหน้าที่ แต่การที่พวกมันรู้ตัวว่า
ตัวเองจะต้องตายในสภาวะใด แสดงว่าในต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีศูนย์บัญชาการกลางคอยสั่งงาน
ไปยังทุกส่วนเพื่อความอยู่รอด?! " ชายคนแรกพูดต่อด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด
ขณะเดียวกัน เขาก็คอยสังเกตอาการของเพื่อนร่วมสนทนาไปพร้อมกันด้วยว่าจะ
เห็นด้วยกับเขาหรือไม่ อย่างไร..?
"อืม.. ก็น่าคิดนะ?! " เขาได้ยินใครคนหนึ่งทำเสียงพึมพำในลำคอ
"ผมว่านะ.." ท่ามกลางความเงียบเขาเริ่มพูดต่อ
"ต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีหน่วยประมวลผลและประสาทรับสัมผัสเหมือนคนด้วย?! "
พร้อมกันนั้นเขาก็ทำท่าเอามือมาเคาะที่บริเวณศีรษะราวกับต้องการจะบอกใบ้อะไรบางอย่าง..
ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้า ชายคนแรกยังคงพูดถึงความคิดอื่น ๆ ของเขาที่เคยได้ตั้งข้อสังเกตไว้
กับเหล่าต้นไม้ที่เขารู้จักในมุมมองแปลก ๆ อีกหลายอย่าง หากแต่เขาก็ไม่เคยได้พูดที่ไหนมาก่อน..
"..เคยเห็นฝักของต้นโกงกางไหม?! "
เขาเริ่มต้นถามพร้อมกับใช้มือทำท่าทางประกอบ..
"พวกมันรู้ได้อย่างไรว่าดินบริเวณที่พวกมันอาศัยอยู่นั้นนิ่ม!! (ดินเลน ) มันจึงพยายาม
ทำให้ฝักของมันมีลักษณะเรียวยาว ปลายแหลม เมื่อฝักแก่ได้อายุเต็มที่ก็ร่วงหล่น
ลงมาจากต้น ปักลงดิน และสามารถเจริญเติบโตต่อได้ในทันที.. "
เขาพักหายใจนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ..
"ตามปกติแล้ว ผลหรือฝักของต้นไม้ทั่วไปมันควรจะออกกลม ๆ มิใช่หรือ..?
การที่มันปรับเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้เหมาะแก่การดำรงชีวิต ย่อมหมายถึงว่า
พวกมันต้องมีการรับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวได้ และพวกมันก็รู้จักคิด..!! "
"อืม.. ก็มีเหตุผลนะ ถ้าฝักของมันกลม ๆ ยามเมื่อมันหล่นลงมาจากต้น มันอาจจะ
ลอยไปตามกระแสน้ำตอนที่น้ำขึ้น - น้ำลง และอาจไปเน่าตายอยู่ที่ไหนก็ได้
ก็มันเป็นไม้ในเขตป่าชายเลนนี่น่า!! " หลังจากที่ได้ฟังอย่างตั้งใจมาระยะหนึ่ง ชายคนที่สอง
ก็เริ่มแสดงความคิดเห็นบ้าง..
"ถ้าพูดอย่างนั้นมันก็เป็นไปได้นะ อย่างการหุบใบของต้นไมยราบ, การผลิตน้ำหวาน
ล่อแมลงเพื่อการผสมพันธุ์ของดอกไม้ หรือ การดักจับแมลงกินเป็นอาหารของต้น
หม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น ฯลฯ พวกนี้ก็ว่ากันถึงการที่ต้นไม้รับรู้ได้ถึงการสัมผัสด้วยกันทั้งสิ้น!! "
ชายคนที่สามรีบให้ความคิดเห็นสมทบ
อย่างไม่ทันรู้ตัว ดูเหมือนว่าทุกคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นจะเริ่มมีความคิดเห็นที่ตรงกันแล้วในตอนนี้
"ใช่ไหมล่ะ..?! " ชายคนแรกเริ่มพูดต่อ น้ำเสียงของเขาดูจะมั่นใจมากขึ้น..
"อย่างการหุบและกางใบของต้นไมยราบ นักวิชาการส่วนใหญ่มักจะพูดถึงแต่ว่า
มันเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าในรูปแบบของการสั่นสะเทือน (contract movement *) บ้างล่ะ
หรือเป็นเพราะมีสิ่งมากระตุ้นทำให้แรงดันเต่งของกลุ่มเซลล์พัลไวนัส (pulvinus ) บริเวณโคนก้านใบ
ของต้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดการหุบหรือกางของใบบ้างล่ะ..
แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่จะบอกว่าต้นไม้เหล่านั้นมีศูนย์กลางในการสั่งงานในสิ่งเหล่านั้น
อยู่ที่ตรงไหน? อย่างไร? พวกมันกำลังคิดอะไรอยู่? และเหตุใดมันจึงทำเช่นนั้น?! "
ชายคนแรกกล่าวสรุป ใจของเขาเริ่มเต้นแรงแล้วตอนนี้ราวกับว่าเขาจะคิดอะไรได้..
"เฮ้ย.. อย่าบอกนะว่านายคิดว่าต้นไม้มีสมองเหมือนมนุษย์น่ะ?! " ภายหลังจากที่ได้ฟัง
เรื่องราวทั้งหมด ชายคนที่สองถึงกับอุทานเสียงดังอย่างลืมตัวด้วยความรู้สึกตื่นเต้น..
"นั่นมันคือการค้นพบใหม่เลยนะ!! " ชายคนที่สองกล่าวต่อ ดวงตาของเขาลุกวาว
และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดกำลัง
"ใช่.. มันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ " ชายคนแรกตอบ แล้วหันไปจ้องตาเพื่อนร่วมสนทนาทั้งสอง
"แล้วถ้าอย่างนั้น สมองของต้นไม้จะอยู่ที่ตรงไหนล่ะ?! " ด้วยความสงสัย ชายคนที่สาม
ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มตั้งคำถามบ้าง ขณะนั้นแต่ละคนทำท่าคิดกันอย่างจริงจัง
"มันจะต้องอยู่ที่ส่วนรากสิ!! " และแทบจะในทันที ชายคนที่สองรีบตอบอย่างทันควัน ใบหน้าของเขา
เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ และไม่รอช้า เขาได้กล่าวถึงเหตุผลที่เขาคิดเช่นนั้นต่อในทันที
ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังจะกลายเป็นผู้ไขปริศนาระดับโลกได้แล้ว..
"คนเรา.. หากแขนขาขาดก็ยังไม่ตายหากยังมีศีรษะและส่วนของลำตัวอยู่ใช่ไหมล่ะ? ต้นไม้ก็เหมือนกัน
หากตัดยอดไปมันก็ไม่ตาย มันพร้อมที่จะแตกใหม่ได้ ตราบใดที่มันยังเหลือลำต้นและราก!! "
"อืม.. ใช่ ๆ มีเหตุผล ๆ " จากนั้นชายคนแรกก็เริ่มเข้ามาสำทับอีก
"ตามธรรมชาติแล้ว.. เราจะต้องเก็บส่วนที่สำคัญที่สุดไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดถูกไหม?
เหมือนกับคนที่ศีรษะจะอยู่ในส่วนที่สูงที่สุดของร่างกายเพื่อให้ง่ายต่อการป้องกัน
สำหรับต้นไม้แล้วใต้ดินนั้นน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด เพราะไม่ค่อยมีอะไรมารบกวน
ฉะนั้นแล้ว สมองของต้นไม้จะต้องอยู่ที่รากแน่ ๆ ..!! "
"ใช่ ๆ ๆ " วินาทีนี้ทุกคนต่างพยักหน้าพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ความจริงดูเหมือนจะกำลังกระจ่างขึ้น
แต่แล้วในขณะที่การถกเถียงกันกำลังจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายนั้นเอง จู่ ๆ หญิงคนหนึ่ง
ที่นั่งฟังการสนทนานี้มาตั้งแต่ต้นก็ได้พูดเสียงดังขึ้นจากนอกวงประชุม น้ำเสียงของเธอนั้น
เย็นยะเยือกสร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นเป็นอย่างมาก..
"มันอยู่ที่ตรงกลางลำต้นต่างหาก..!! " เสียงนั้นมาจากที่ที่หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
ราวกับถูกสะกด ทุกคนจึงเหลียวมองตามเสียงนั้นไป แล้วพวกเขาก็เห็นมัน!!
ท่ามกลางความมืดยามราตรีที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ ภาพลาง ๆ ที่พวกเขาเห็นนั้นแจ่มชัด
มันคือสมองที่อยู่ในใจกลางของลำต้นอย่างชัดเจนตรงตามที่หญิงคนนั้นบอก
สีของมันเป็นสีขาวเรือง ๆ และอยู่สูงเหนือพื้นดินไปประมาณเมตรกว่า ๆ
แต่สิ่งที่นำมาซึ่งความตื่นตะลึงพรึงเพลิดมากไปกว่านั้น นั่นก็คือ สมองที่ว่า..
กลับมีร่างจาง ๆ ของหญิงสาวผมยาวผู้นั้นผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงไปปรากฏยืนเป็นเงาทับอยู่อีกชั้นหนึ่ง
เท่าที่เห็นร่างนั้นดูผอมและซูบซีดมาก เธอกำลังจ้องมองมายังพวกเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
พร้อมกับกำลังเอื้อมมือที่ยาวผิดปกติของเธอมาข้างหน้าราวกับกำลังจะเตรียมคว้าอะไรบางอย่างไว้..
"เฮ้ย..!! " และทันใดนั้นเสียงสุดท้ายของชายทั้งสามคนก็ดังขึ้น!!
..?!!..
..ไม่มีใครรู้..
การพูดคุยกันเสียงดังก่อนหน้านี้อาจเป็นการไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทางในป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้า
และนั่นเอง ก็อาจเป็นที่มาของการหายสาบสูญไปอย่างปริศนาของชายทั้งสามคน จนกลายมาเป็น
ตำนานเรื่องเล่าบทใหม่ของต้นไม้ใหญ่ที่น่าเกรงขามและมีอาถรรพ์ต้นนี้
ต้นไม้ที่ชายทั้ง 3 คนนั้นมองเห็นและเป็นที่รู้จักกันดี..
- ตะเคียน -
…
หมายเหตุ * การหุบของใบจากการสั่นสะเทือน (contract movement) คือ หนึ่งใน
การเคลื่อนไหวของพืชที่เกิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแรงดันเต่ง (turgor movement )