ก่อนการเดินทาง: http://ppantip.com/topic/33121210
หลังจากออกจากสถานีรถไฟ จุดหมายแรกของเราคือ Bus Information Center เพราะเราจะต้องซื้อ One Day Pass For City Bus เพื่อเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่เกสต์เฮาส์ ถ้าหันหน้าไปทางเกียวโตทาวเวอร์ Bus Information Center จะอยู่ด้านขวามือ ใกล้กับป้ายรถเมล์สาย 206 ที่ผ่านวัด Kiyomizu
การเดินทางในเกียวโตทั้ง 2 วัน เราใช้เฉพาะ One Day Pass For City Bus ราคา 500 เยน/วัน (สามารถซื้อล่วงหน้าได้) ไม่ได้ซื้อ One Day Pass For Sightseeing ราคา 1,200 เยน/วัน ที่สามารถนั่งรถเมล์และรถไฟใต้ดินได้ เพราะจากที่วางแผนไว้เราจะใช้รถไฟในเกียวโตแค่วันละ 2 ครั้งเท่านั้น ใช้บัตร ICOCA น่าจะคุ้มกว่า
การเดินทางไป Sim's Cozy Guesthouse เราต้องนั่งรถเมล์สาย 206 ที่ Stand D2 ไปลงที่ป้าย Umamachi ประมาณ 15 นาที หรือ 6 ป้ายรถเมล์จากสถานีเกียวโต แล้วเดินเข้าซอยไปอีก 400 เมตร (สามารถดูการเดินทางแบบละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของเกสต์เฮาส์ www.simscozy.com) รถเมล์สาย 206 ซึ่งเริ่มให้บริการตั้งแต่ 05.00 น. ไปจนถึง 23.00 น. ค่อนข้างได้รับความนิยมจากทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว เพราะคนแน่นเกือบทุกคัน ตอนแรกเราคิดว่าคงเป็นเพราะผ่านวัด Kiyomizu แต่ปรากฏว่าคนญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดลงที่ป้าย Kyoto National Museum แล้วแถวคนที่มายืนรอหน้าพิพิธภัณฑ์ก็ยาวมาก เห็นภาพนี้แล้วเราเข้าใจเลยว่าทำไมประเทศญี่ปุ่นถึงมีความเจริญก้าวหน้าอย่างทุกวันนี้
การขึ้นรถเมล์ที่เกียวโต เราต้องขึ้นที่ประตูกลางและลงที่ประตูหน้า สำหรับคนที่ใช้ One Day Pass จะต้องสอดบัตรที่เครื่องตรวจข้างคนขับเมื่อใช้งานครั้งแรก เครื่องจะพิมพ์วันที่ลงบนบัตร และครั้งต่อไปแค่ยื่นบัตรให้คนขับดูเท่านั้น
จากแผนที่ของเกสต์เฮาส์ เราจำแค่เพียงว่าเมื่อเดินเข้าซอยไปแล้ว ทางเข้าเกสต์เฮาส์จะอยู่ตรงข้ามกับไปรษณีย์ พอเห็นไปรษณีย์เราก็เลยรีบลากกระเป๋าเข้าไปในซอยเล็กๆ ทันที แต่เดินไปซักพักเราก็ไม่เห็นว่าจะมีบ้านหลังไหนที่พอจะเป็นเกสต์เฮาส์ได้เลย จนกระทั่งมีแม่ลูกคู่หนึ่งเดินสวนออกมา เธอคงเห็นท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของเราก็เลยเข้ามาสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่น แบบรัวๆ @#<%$]&!#? แต่เราไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย คราวนี้งงกว่าเดิมอีก สุดท้ายเธอชี้ไปที่กระดาษที่เราถือ น้องที่ไปด้วยก็เลยเอารูปของเกสต์เฮาส์ให้เธอดู
เธอเดินนำเราออกมาที่ทางแยกเดิมที่อยู่ตรงข้ามกับไปรษณีย์ แล้วชี้ไปข้างหน้า ประมาณว่าต้องเดินขึ้นเนินไปอีกนิดหนึ่ง พร้อมกับพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘A little upper’ เราขอบคุณเธอก่อนที่จะเดินต่อไปอีกเล็กน้อย และเราก็เตรียมตัวเลี้ยวขวาทันทีที่เจอซอยที่ 2 แต่ปรากฏว่ามีเสียงตะโกนดังมาแต่ไกลว่า Upper! Upper! หันหลังไปดูอีกทีเห็นเธอกับลูกสาวยังยืนรออยู่ มันเป็นอะไรที่ประทับใจมากจริงๆ
เราเดินต่อไปถึงซอยที่ 3 ในที่สุดเราก็หา Sim's Cozy Guesthouse เจอซะที จริงๆ แล้วเกสต์เฮาส์ตั้งอยู่ริมถนน ไม่ต้องเข้าไปในซอยเล็กๆ อีก จุดสังเกตง่ายๆ คือจะมีโคมไฟแขวนอยู่ด้านหน้า
หลังจากฝากกระเป๋าไว้ที่เกสต์เฮ้าส์เรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมาที่สถานีเกียวโต เพื่อนั่งรถไฟไป Arashiyama รถไฟ JR Sagano Line จะออกจากสถานีเกียวโตทุกๆ 20 นาที และใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 นาที วันนี้เรามีเวลาค่อนข้างจำกัด เราก็เลยวางแผนการเดินเที่ยวที่ Arashiyama ไว้ 3 แผน เพื่อจะได้ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด แต่สุดท้ายจะเลือกแผนไหนก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เราไปถึงสถานี JR Saga-Arashiyama
PLAN 1 >> 1) Kyoto - Saga-Arashiyama 2) นั่งรถไฟสายโรแมนติก Torokko Saga – Torokko Kameoka 3) นั่งรถไฟ JR Sagano Line กลับไปที่สถานี Saga-Arashiyama >> Umahori – Saga-Arashiyama 4) เดินเล่นที่ป่าไผ่ Bamboo Groves, วัด Tenryu-ji และสะพาน Toketsukyo 5) นั่งรถไฟ JR Sagano Line ไปวัด Kinkaku-ji >> Saga-Arashiyama – Emmachi
PLAN 2 >> 1) Kyoto - Umahori >> เดินลงเนินไปประมาณ 5-10 นาทีจะถึงสถานี Torokko Kameoka สถานีปลายทางของรถไฟสายโรแมนติก 2) นั่งรถไฟสายโรแมนติกกลับมาที่สถานี Torokko Saga 3) เดินเล่นที่ป่าไผ่ Bamboo Groves, วัด Tenryu-ji และสะพาน Toketsukyo 4) นั่งรถไฟ JR Sagano Line ไปวัด Kinkaku-ji >> Saga-Arashiyama – Emmachi
PLAN 3 >> 1) Kyoto - Saga-Arashiyama >> จองตั๋วรถไฟสายโรแมนติกที่สถานี Torokko Kameoka ที่อยู่ติดกัน 2) เดินเล่นที่ป่าไผ่ Bamboo Groves, วัด Tenryu-ji และสะพาน Toketsukyo 3) นั่งรถไฟสายโรแมนติก Torokko Saga – Torokko Kameoka >> เดินไปที่สถานี JR Umahori ประมาณ 5 นาที 4) นั่งรถไฟ JR Sagano Line ไปวัด Kinkaku-ji >> Umahori - Emmachi
รถไฟสายโรแมนติก หรือ Sagano Romantic Train เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันพุธ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 17.00 น. (ขบวนสุดท้ายที่ออกจากสถานี Torokko Saga) ชั่วโมงละ 1 ขบวนเท่านั้น โดยรถไฟจะออกจากสถานี Torokko Saga ทุกๆ ต้นชั่วโมง (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.sagano-kanko.co.jp/brochure/english.pdf)
เมื่อดูจากเวลาที่ไปถึงสถานีเกียวโต เราตัดสินใจเลือกแผนที่ 3 ซึ่งเป็นแผนที่ค่าเดินทางถูกที่สุด เพราะว่าคงไม่ทันรถไฟที่ออกจากสถานี Torokko Saga เที่ยวสิบโมงอย่างแน่นอน และถ้าไปลงที่สถานี Torokko Kameoka เราไม่แน่ใจว่าจะซื้อตั๋วได้เลยรึเปล่า แล้วถ้าไม่ได้ เราก็ไม่รู้จะทำอะไรระหว่างที่รอรถไฟเที่ยวถัดไป
เรารีบเข้าไปจองตั๋วรถไฟสายโรแมนติกทันทีที่ไปถึงสถานี Torokko Saga ซึ่งอยู่ติดกับสถานี JR Saga-Arashiyama (เดินลงบันไดมา สถานีจะอยู่ด้านขวามือ) ตอนนั้นเวลาประมาณ 10.30 น. แต่เราได้ตั๋วยืนรอบ 13.07 น. พนักงานขายตั๋วพยายามย้ำอยู่หลายรอบว่า ‘No seat’ ถ้าเราจำไม่ผิด ตั๋วนั่งที่ว่างจะเป็นรอบบ่ายสามโมงเป็นต้นไป แต่เราไม่มีเวลาขนาดนั้น ราคาค่าโดยสารของรถไฟสายโรแมนติกอยู่ที่ 620 เยนเท่ากันทุกสถานี
เรามีเวลา 2 ชั่วโมงเศษสำหรับการเดินเล่นที่ Arashiyama ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยจนเกินไปสำหรับความคิดในตอนนั้น ถ้าเราหันหน้าออกจากสถานี Torokko Saga ด้านขวามือจะมีตรอกเล็กๆ ติดกับรั้วของสถานี เป็นทางเดินไปยังป่าไผ่ วัด Tenryu-ji และสะพาน Toketsukyo สังเกตง่ายๆ จะมีหนุ่มๆ ชาวญี่ปุ่นที่ให้บริการรถลากมายืนรอลูกค้าอยู่
ตลอดทางจากสถานี Torokko Saga ไปจนถึงถนนหลักของย่าน Arashiyama จะขนาบไปด้วยบ้านหลังเล็กๆ ตามแบบฉบับของบ้านญี่ปุ่นที่มีพื้นที่จำกัด หน้าบ้านแต่ละหลังจะมีพื้นที่สำหรับจอดรถและปลูกต้นไม้เล็กๆ ที่น่าสนใจคือบ้านส่วนใหญ่ไม่มีรั้วรอบขอบชิดอะไรเลย ทำให้เราเห็นถึงความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูงของประเทศญี่ปุ่น และระหว่างทางที่เราเดินผ่านถนนเล็กๆ ก็ยังมีเจ้าหน้าที่มาโบกรถให้ ทั้งที่การจราจรไม่ได้หนาแน่นอะไรเลย
เมื่อเดินไปจนสุดทางแล้ว ด้านขวามือจะเป็นทางเดินไปป่าไผ่ แต่ถ้าเราเดินตรงไปทางซ้ายจะเป็นทางไปวัด Tenryu-ji และ สะพาน Toketsukyo
สะพาน Toketsukyo ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของ Arashiyama นักท่องเที่ยวจำนวนมากจะหลั่งไหลมาที่นี่ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ขนาดช่วงที่เราไปไม่ใช่ช่วงพีค คนบนสะพานก็ยังเยอะมาก จะหยุดถ่ายรูปแต่ละครั้งก็ต้องมองหน้ามองหลังกันดีๆ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 40 นาที ตอนนี้เราเริ่มรู้สึกว่าเวลา 2 ชั่วโมงกว่าคงจะไม่พอซะแล้ว ถ้าจะเดินเที่ยวที่ Arashiyama แบบสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เราว่าควรจะมีเวลาอย่างน้อยซัก 5 ชั่วโมง โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายรูปอย่างเรา ที่นี่มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมากจริงๆ
บริเวณใกล้ๆ กับสะพาน Toketsukyo จะมีร้านค้าเรียงรายอยู่ตลอดทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งร้านขนม ร้านของฝาก และร้านอาหาร พวกเราก็เลยตัดสินใจหาอะไรกินที่นี่หลังจากที่สำรวจราคากันไว้ตั้งแต่แรก ร้านที่พวกเราเลือกลูกค้าค่อนข้างแน่นร้าน เราก็เลยได้แชร์โต๊ะกับคู่รักชาวญี่ปุ่นคู่หนึ่ง โดยทางร้านจะจัดให้คนที่มาด้วยกันนั่งฝั่งเดียวกัน พวกเราก็เลยได้นั่งสบตากับพวกเค้าไปโดยปริยาย
หลังจากที่นั่งมองหน้ากันอยู่ซักพักบทสนทนาสั้นๆ ก็เกิดขึ้น เราเลยทราบว่าฝ่ายหญิงมาจากเมืองนาโกย่า แล้วก็เคยมาเที่ยวประเทศไทยด้วย
อาหารจานหลักจานแรกในแดนปลาดิบของเราสองคนคือ ข้าวหน้าหมูทอดราคา 950 เยน และข้าวหน้าไก่ทอดราคา 850 เยน (มื้อแรกๆ ยังเกรงใจเงินในกระเป๋าอยู่) ขณะที่สาวญี่ปุ่นที่นั่งตรงข้ามสั่งราเมง ท่าทางเธอจะถูกใจกับอาหารจานนี้มาก เพราะเราได้ยินเสียงเธอดูดเส้นเสียงดัง พร้อมกับพูดว่า โออิชิ! (เสียงสูง) อยู่ตลอดเวลา จนเราไม่แน่ใจว่าเธอพูดกับเรารึเปล่า สุดท้ายก็เลยเงยหน้าบอกเธอว่า โออิชิ!
ร้านอาหารที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีน้ำดื่มบริการฟรี เพราะฉะนั้นช่วงนี้จะเป็นนาทีทองสำหรับคนที่ไม่อยากเสียเงินซื้อน้ำดื่มที่ราคาขวดละ 30 บาทบ่อยๆ
หลังจากที่ออกจากร้านอาหารเราแวะไปที่วัด Tenryu-ji แต่ไม่ได้เข้าไปด้านใน เพราะว่าเวลาไม่พอ ช่วงที่เราไปบริเวณทางเข้าและด้านหน้าวัดมีใบไม้แดงค่อนข้างหนาตาแล้ว วัด Tenryu-ji จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.30 น. ถึง 17.30 น. (ช่วงเดือน พ.ย. – ก.พ.) มีค่าเข้าชม 600 เยน
จริงๆ แล้วด้านหลังวัด Tenryu-ji สามารถทะลุไปยังป่าไผ่ได้ แต่เราไม่รู้ทางก็เลยเดินย้อนกลับมาทางเดิม ทางเข้าป่าไผ่จะอยู่ฝั่งเดียวกับวัด Tenryu-ji เยื้องๆ กับตรอกเล็กๆ ที่เราเดินมาจากสถานีรถไฟ สังเกตง่ายๆ จะมีร้านขนมและร้านซอฟท์ครีมที่คนต่อแถวเยอะๆ อยู่ข้างหน้า
ภาพทิวไผ่ที่เรียงรายอย่างสวยงามตลอด 2 ข้างทางบนหน้าปกหนังสือ Lonely Planet กลายเป็นภาพในอุดมคติไปทันทีที่เราไปถึง ผู้คนมากมายบนเส้นทางเดินแคบๆ ทำให้เรานึกถึงรูปสวยๆ ที่หลายคนเคยแชร์ไว้ เค้ามาถ่ายกันตอนไหน ก่อนที่จะเดินทางมาญี่ปุ่นป่าไผ่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เราคิดว่าจะต้องได้รูปสวยๆ กลับไปอย่างแน่นอน แต่พอมาจริงๆ แล้วเห็นจำนวนคนที่เดินสวนกันไปมา เราขอยอมแพ้เก็บกล้องใส่กระเป๋าดีกว่า
สองชั่วโมงกว่าผ่านไป (ไวเหมือนโกหก ยังดูอะไรได้ไม่ครบเลย) เรากลับมานั่งกินซอฟท์ครีมที่หน้าสถานี Torokko Saga เพื่อรอรถไฟสายโรแมนติกรอบ 13.07 น. ไหนๆ ก็มาถึงญี่ปุ่นแล้วต้องลองชิมซะหน่อยว่าจะอร่อยขนาดไหน สำหรับเราเราว่ารสชาติธรรมดา แต่มันได้บรรยากาศมากกว่า อากาศหนาวๆ แล้วได้กินอะไรเย็นๆ ฟินสุดๆ (เสียค่าสร้างบรรยากาศไป 300 เยนถ้วน ฟินมาก)
[CR] [[JAPAN DIARY]] บันทึกการเดินทางในวันที่ใครๆ ก็ไปญี่ปุ่น (KYOTO-OSAKA-KOBE-NARA 5 วัน 6 คืน) :: ระหว่างทาง ::
หลังจากออกจากสถานีรถไฟ จุดหมายแรกของเราคือ Bus Information Center เพราะเราจะต้องซื้อ One Day Pass For City Bus เพื่อเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่เกสต์เฮาส์ ถ้าหันหน้าไปทางเกียวโตทาวเวอร์ Bus Information Center จะอยู่ด้านขวามือ ใกล้กับป้ายรถเมล์สาย 206 ที่ผ่านวัด Kiyomizu
การเดินทางในเกียวโตทั้ง 2 วัน เราใช้เฉพาะ One Day Pass For City Bus ราคา 500 เยน/วัน (สามารถซื้อล่วงหน้าได้) ไม่ได้ซื้อ One Day Pass For Sightseeing ราคา 1,200 เยน/วัน ที่สามารถนั่งรถเมล์และรถไฟใต้ดินได้ เพราะจากที่วางแผนไว้เราจะใช้รถไฟในเกียวโตแค่วันละ 2 ครั้งเท่านั้น ใช้บัตร ICOCA น่าจะคุ้มกว่า
การเดินทางไป Sim's Cozy Guesthouse เราต้องนั่งรถเมล์สาย 206 ที่ Stand D2 ไปลงที่ป้าย Umamachi ประมาณ 15 นาที หรือ 6 ป้ายรถเมล์จากสถานีเกียวโต แล้วเดินเข้าซอยไปอีก 400 เมตร (สามารถดูการเดินทางแบบละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของเกสต์เฮาส์ www.simscozy.com) รถเมล์สาย 206 ซึ่งเริ่มให้บริการตั้งแต่ 05.00 น. ไปจนถึง 23.00 น. ค่อนข้างได้รับความนิยมจากทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว เพราะคนแน่นเกือบทุกคัน ตอนแรกเราคิดว่าคงเป็นเพราะผ่านวัด Kiyomizu แต่ปรากฏว่าคนญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดลงที่ป้าย Kyoto National Museum แล้วแถวคนที่มายืนรอหน้าพิพิธภัณฑ์ก็ยาวมาก เห็นภาพนี้แล้วเราเข้าใจเลยว่าทำไมประเทศญี่ปุ่นถึงมีความเจริญก้าวหน้าอย่างทุกวันนี้
การขึ้นรถเมล์ที่เกียวโต เราต้องขึ้นที่ประตูกลางและลงที่ประตูหน้า สำหรับคนที่ใช้ One Day Pass จะต้องสอดบัตรที่เครื่องตรวจข้างคนขับเมื่อใช้งานครั้งแรก เครื่องจะพิมพ์วันที่ลงบนบัตร และครั้งต่อไปแค่ยื่นบัตรให้คนขับดูเท่านั้น
จากแผนที่ของเกสต์เฮาส์ เราจำแค่เพียงว่าเมื่อเดินเข้าซอยไปแล้ว ทางเข้าเกสต์เฮาส์จะอยู่ตรงข้ามกับไปรษณีย์ พอเห็นไปรษณีย์เราก็เลยรีบลากกระเป๋าเข้าไปในซอยเล็กๆ ทันที แต่เดินไปซักพักเราก็ไม่เห็นว่าจะมีบ้านหลังไหนที่พอจะเป็นเกสต์เฮาส์ได้เลย จนกระทั่งมีแม่ลูกคู่หนึ่งเดินสวนออกมา เธอคงเห็นท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของเราก็เลยเข้ามาสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่น แบบรัวๆ @#<%$]&!#? แต่เราไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย คราวนี้งงกว่าเดิมอีก สุดท้ายเธอชี้ไปที่กระดาษที่เราถือ น้องที่ไปด้วยก็เลยเอารูปของเกสต์เฮาส์ให้เธอดู
เธอเดินนำเราออกมาที่ทางแยกเดิมที่อยู่ตรงข้ามกับไปรษณีย์ แล้วชี้ไปข้างหน้า ประมาณว่าต้องเดินขึ้นเนินไปอีกนิดหนึ่ง พร้อมกับพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘A little upper’ เราขอบคุณเธอก่อนที่จะเดินต่อไปอีกเล็กน้อย และเราก็เตรียมตัวเลี้ยวขวาทันทีที่เจอซอยที่ 2 แต่ปรากฏว่ามีเสียงตะโกนดังมาแต่ไกลว่า Upper! Upper! หันหลังไปดูอีกทีเห็นเธอกับลูกสาวยังยืนรออยู่ มันเป็นอะไรที่ประทับใจมากจริงๆ
เราเดินต่อไปถึงซอยที่ 3 ในที่สุดเราก็หา Sim's Cozy Guesthouse เจอซะที จริงๆ แล้วเกสต์เฮาส์ตั้งอยู่ริมถนน ไม่ต้องเข้าไปในซอยเล็กๆ อีก จุดสังเกตง่ายๆ คือจะมีโคมไฟแขวนอยู่ด้านหน้า
หลังจากฝากกระเป๋าไว้ที่เกสต์เฮ้าส์เรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมาที่สถานีเกียวโต เพื่อนั่งรถไฟไป Arashiyama รถไฟ JR Sagano Line จะออกจากสถานีเกียวโตทุกๆ 20 นาที และใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 นาที วันนี้เรามีเวลาค่อนข้างจำกัด เราก็เลยวางแผนการเดินเที่ยวที่ Arashiyama ไว้ 3 แผน เพื่อจะได้ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด แต่สุดท้ายจะเลือกแผนไหนก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เราไปถึงสถานี JR Saga-Arashiyama
PLAN 1 >> 1) Kyoto - Saga-Arashiyama 2) นั่งรถไฟสายโรแมนติก Torokko Saga – Torokko Kameoka 3) นั่งรถไฟ JR Sagano Line กลับไปที่สถานี Saga-Arashiyama >> Umahori – Saga-Arashiyama 4) เดินเล่นที่ป่าไผ่ Bamboo Groves, วัด Tenryu-ji และสะพาน Toketsukyo 5) นั่งรถไฟ JR Sagano Line ไปวัด Kinkaku-ji >> Saga-Arashiyama – Emmachi
PLAN 2 >> 1) Kyoto - Umahori >> เดินลงเนินไปประมาณ 5-10 นาทีจะถึงสถานี Torokko Kameoka สถานีปลายทางของรถไฟสายโรแมนติก 2) นั่งรถไฟสายโรแมนติกกลับมาที่สถานี Torokko Saga 3) เดินเล่นที่ป่าไผ่ Bamboo Groves, วัด Tenryu-ji และสะพาน Toketsukyo 4) นั่งรถไฟ JR Sagano Line ไปวัด Kinkaku-ji >> Saga-Arashiyama – Emmachi
PLAN 3 >> 1) Kyoto - Saga-Arashiyama >> จองตั๋วรถไฟสายโรแมนติกที่สถานี Torokko Kameoka ที่อยู่ติดกัน 2) เดินเล่นที่ป่าไผ่ Bamboo Groves, วัด Tenryu-ji และสะพาน Toketsukyo 3) นั่งรถไฟสายโรแมนติก Torokko Saga – Torokko Kameoka >> เดินไปที่สถานี JR Umahori ประมาณ 5 นาที 4) นั่งรถไฟ JR Sagano Line ไปวัด Kinkaku-ji >> Umahori - Emmachi
รถไฟสายโรแมนติก หรือ Sagano Romantic Train เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันพุธ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 17.00 น. (ขบวนสุดท้ายที่ออกจากสถานี Torokko Saga) ชั่วโมงละ 1 ขบวนเท่านั้น โดยรถไฟจะออกจากสถานี Torokko Saga ทุกๆ ต้นชั่วโมง (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sagano-kanko.co.jp/brochure/english.pdf)
เมื่อดูจากเวลาที่ไปถึงสถานีเกียวโต เราตัดสินใจเลือกแผนที่ 3 ซึ่งเป็นแผนที่ค่าเดินทางถูกที่สุด เพราะว่าคงไม่ทันรถไฟที่ออกจากสถานี Torokko Saga เที่ยวสิบโมงอย่างแน่นอน และถ้าไปลงที่สถานี Torokko Kameoka เราไม่แน่ใจว่าจะซื้อตั๋วได้เลยรึเปล่า แล้วถ้าไม่ได้ เราก็ไม่รู้จะทำอะไรระหว่างที่รอรถไฟเที่ยวถัดไป
เรารีบเข้าไปจองตั๋วรถไฟสายโรแมนติกทันทีที่ไปถึงสถานี Torokko Saga ซึ่งอยู่ติดกับสถานี JR Saga-Arashiyama (เดินลงบันไดมา สถานีจะอยู่ด้านขวามือ) ตอนนั้นเวลาประมาณ 10.30 น. แต่เราได้ตั๋วยืนรอบ 13.07 น. พนักงานขายตั๋วพยายามย้ำอยู่หลายรอบว่า ‘No seat’ ถ้าเราจำไม่ผิด ตั๋วนั่งที่ว่างจะเป็นรอบบ่ายสามโมงเป็นต้นไป แต่เราไม่มีเวลาขนาดนั้น ราคาค่าโดยสารของรถไฟสายโรแมนติกอยู่ที่ 620 เยนเท่ากันทุกสถานี
เรามีเวลา 2 ชั่วโมงเศษสำหรับการเดินเล่นที่ Arashiyama ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยจนเกินไปสำหรับความคิดในตอนนั้น ถ้าเราหันหน้าออกจากสถานี Torokko Saga ด้านขวามือจะมีตรอกเล็กๆ ติดกับรั้วของสถานี เป็นทางเดินไปยังป่าไผ่ วัด Tenryu-ji และสะพาน Toketsukyo สังเกตง่ายๆ จะมีหนุ่มๆ ชาวญี่ปุ่นที่ให้บริการรถลากมายืนรอลูกค้าอยู่
ตลอดทางจากสถานี Torokko Saga ไปจนถึงถนนหลักของย่าน Arashiyama จะขนาบไปด้วยบ้านหลังเล็กๆ ตามแบบฉบับของบ้านญี่ปุ่นที่มีพื้นที่จำกัด หน้าบ้านแต่ละหลังจะมีพื้นที่สำหรับจอดรถและปลูกต้นไม้เล็กๆ ที่น่าสนใจคือบ้านส่วนใหญ่ไม่มีรั้วรอบขอบชิดอะไรเลย ทำให้เราเห็นถึงความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูงของประเทศญี่ปุ่น และระหว่างทางที่เราเดินผ่านถนนเล็กๆ ก็ยังมีเจ้าหน้าที่มาโบกรถให้ ทั้งที่การจราจรไม่ได้หนาแน่นอะไรเลย
เมื่อเดินไปจนสุดทางแล้ว ด้านขวามือจะเป็นทางเดินไปป่าไผ่ แต่ถ้าเราเดินตรงไปทางซ้ายจะเป็นทางไปวัด Tenryu-ji และ สะพาน Toketsukyo
สะพาน Toketsukyo ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของ Arashiyama นักท่องเที่ยวจำนวนมากจะหลั่งไหลมาที่นี่ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ขนาดช่วงที่เราไปไม่ใช่ช่วงพีค คนบนสะพานก็ยังเยอะมาก จะหยุดถ่ายรูปแต่ละครั้งก็ต้องมองหน้ามองหลังกันดีๆ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 40 นาที ตอนนี้เราเริ่มรู้สึกว่าเวลา 2 ชั่วโมงกว่าคงจะไม่พอซะแล้ว ถ้าจะเดินเที่ยวที่ Arashiyama แบบสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เราว่าควรจะมีเวลาอย่างน้อยซัก 5 ชั่วโมง โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายรูปอย่างเรา ที่นี่มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมากจริงๆ
บริเวณใกล้ๆ กับสะพาน Toketsukyo จะมีร้านค้าเรียงรายอยู่ตลอดทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งร้านขนม ร้านของฝาก และร้านอาหาร พวกเราก็เลยตัดสินใจหาอะไรกินที่นี่หลังจากที่สำรวจราคากันไว้ตั้งแต่แรก ร้านที่พวกเราเลือกลูกค้าค่อนข้างแน่นร้าน เราก็เลยได้แชร์โต๊ะกับคู่รักชาวญี่ปุ่นคู่หนึ่ง โดยทางร้านจะจัดให้คนที่มาด้วยกันนั่งฝั่งเดียวกัน พวกเราก็เลยได้นั่งสบตากับพวกเค้าไปโดยปริยาย
หลังจากที่นั่งมองหน้ากันอยู่ซักพักบทสนทนาสั้นๆ ก็เกิดขึ้น เราเลยทราบว่าฝ่ายหญิงมาจากเมืองนาโกย่า แล้วก็เคยมาเที่ยวประเทศไทยด้วย
อาหารจานหลักจานแรกในแดนปลาดิบของเราสองคนคือ ข้าวหน้าหมูทอดราคา 950 เยน และข้าวหน้าไก่ทอดราคา 850 เยน (มื้อแรกๆ ยังเกรงใจเงินในกระเป๋าอยู่) ขณะที่สาวญี่ปุ่นที่นั่งตรงข้ามสั่งราเมง ท่าทางเธอจะถูกใจกับอาหารจานนี้มาก เพราะเราได้ยินเสียงเธอดูดเส้นเสียงดัง พร้อมกับพูดว่า โออิชิ! (เสียงสูง) อยู่ตลอดเวลา จนเราไม่แน่ใจว่าเธอพูดกับเรารึเปล่า สุดท้ายก็เลยเงยหน้าบอกเธอว่า โออิชิ!
ร้านอาหารที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีน้ำดื่มบริการฟรี เพราะฉะนั้นช่วงนี้จะเป็นนาทีทองสำหรับคนที่ไม่อยากเสียเงินซื้อน้ำดื่มที่ราคาขวดละ 30 บาทบ่อยๆ
หลังจากที่ออกจากร้านอาหารเราแวะไปที่วัด Tenryu-ji แต่ไม่ได้เข้าไปด้านใน เพราะว่าเวลาไม่พอ ช่วงที่เราไปบริเวณทางเข้าและด้านหน้าวัดมีใบไม้แดงค่อนข้างหนาตาแล้ว วัด Tenryu-ji จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.30 น. ถึง 17.30 น. (ช่วงเดือน พ.ย. – ก.พ.) มีค่าเข้าชม 600 เยน
จริงๆ แล้วด้านหลังวัด Tenryu-ji สามารถทะลุไปยังป่าไผ่ได้ แต่เราไม่รู้ทางก็เลยเดินย้อนกลับมาทางเดิม ทางเข้าป่าไผ่จะอยู่ฝั่งเดียวกับวัด Tenryu-ji เยื้องๆ กับตรอกเล็กๆ ที่เราเดินมาจากสถานีรถไฟ สังเกตง่ายๆ จะมีร้านขนมและร้านซอฟท์ครีมที่คนต่อแถวเยอะๆ อยู่ข้างหน้า
ภาพทิวไผ่ที่เรียงรายอย่างสวยงามตลอด 2 ข้างทางบนหน้าปกหนังสือ Lonely Planet กลายเป็นภาพในอุดมคติไปทันทีที่เราไปถึง ผู้คนมากมายบนเส้นทางเดินแคบๆ ทำให้เรานึกถึงรูปสวยๆ ที่หลายคนเคยแชร์ไว้ เค้ามาถ่ายกันตอนไหน ก่อนที่จะเดินทางมาญี่ปุ่นป่าไผ่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เราคิดว่าจะต้องได้รูปสวยๆ กลับไปอย่างแน่นอน แต่พอมาจริงๆ แล้วเห็นจำนวนคนที่เดินสวนกันไปมา เราขอยอมแพ้เก็บกล้องใส่กระเป๋าดีกว่า
สองชั่วโมงกว่าผ่านไป (ไวเหมือนโกหก ยังดูอะไรได้ไม่ครบเลย) เรากลับมานั่งกินซอฟท์ครีมที่หน้าสถานี Torokko Saga เพื่อรอรถไฟสายโรแมนติกรอบ 13.07 น. ไหนๆ ก็มาถึงญี่ปุ่นแล้วต้องลองชิมซะหน่อยว่าจะอร่อยขนาดไหน สำหรับเราเราว่ารสชาติธรรมดา แต่มันได้บรรยากาศมากกว่า อากาศหนาวๆ แล้วได้กินอะไรเย็นๆ ฟินสุดๆ (เสียค่าสร้างบรรยากาศไป 300 เยนถ้วน ฟินมาก)