นี่ก็เป็นกระทู้ที่สองที่ลงเขียนในนี้เเล้วนะคะ
เนื่องจากเป็นคนชอบทำอาหาร เข้าครัว หาอะไรทำไปเรื่อย
บังเอิญว่าช่วงนี้กำลังอยากไดเอทพอดีด้วย น้ำหนักเริ่มเดินหน้าไปไกล ต้องเรียกมันถอยกลับมาซะหน่อย
เลยนึกขึ้นได้ว่ามีสูตรน้ำพริกเผาเเบบโบราณที่ตกทอดมาตั้งเเต่คุณย่า
โดยสูตรนี้จะไม่มีการเอาน้ำพริกเผาไปผัดกับน้ำมัน รับรองได้ว่าไม่อ้วนอย่างเเน่นอน
วัตถุดิบที่ต้องเตรียม มีดังนี้
- พริกเเห้งเม็ดเล็ก
- กระเทียม ( เลือกขนาดกลีบปานกลาง เพราะจะทำให้ตำง่าย)
- หอมเเดง
- มะขามเปียก
- เกลือป่น
- น้ำตาลทราย
- น้ำปลา
- น้ำมะนาว
*** สำหรับเครื่องปรุง เช่น พริกเเห้ง หอม เเละกระเทียม เเนะนำว่า ถ้าซื้อให้ซื้ออย่างละ 10 บาท หรือ 20 บาทก็เพียงพอเเล้วนะคะ สามารถตำออกมาปริมาณมากพอสมควรเลย ปริมาณก็จะอยู่ที่ประมาณอย่างละ 1 - 2 ขีดค่ะ
ส่วนมะขามเปียกตามตลาดหรือรถกับข้าว เเละซุปเปอร์มาเก็ตจะมีเเบ่งไว้อยู่เเล้ว ไม่ต้องใช้เยอะค่ะ ประมาณ ครึ่งกำมือก็พอ ราคาไม่น่าเกิน 20 บาท
เช่นกัน
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
- กระทะ
- ครกเเละสาก
- มีด / เขียง / ช้อน / ถ้วยใส่น้ำพริก
- ถาดหรือจานใบใหญ่ สำหรับใส่เครื่องปรุง
- เครื่องปั่น สำหรับปั่นพริก
ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำ อยากจะบอกนิดนึงค่ะว่า น้ำพริกเผาเนี่ย ต้องลงเเรงในการทำพอสมควร
เพราะต้องคั่วพริกเเห้ง หอมเเละกระเทียม เเละต้องตำอย่างละเอียดจึงจะอร่อยเเละได้รสชาติที่กลมกล่อม
ดังนั้นเท่ากับว่า ในขั้นตอนการทำก็จะช่วยเผาผลาญไขมันบางส่วนไปได้บ้าง 55
งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ จะอธิบายเรียงขั้นตอนไปทีละข้อนะคะ ได้เข้าใจเเละทำตามได้ง่าย
1.นำกระเทียมมาคั่วในกระทะ จนมันเริ่มมีกลิ่นหอม คั่วด้วยไฟอ่อนจนเปลือกกระเทียมเริ่มมีร่องรอยของการไหม้ เเต่ระวังอย่าให้ไหม้จนเปลือกดำนะคะ
เดี๋ยวมะเร็งถามหาเเน่นอน เมื่อกระเทียมสุกได้ที่เราก็ตักขึ้นค่ะ พักไว้ในถาดหรือจานใหญ่ รอจนเย็นค่ะ เเล้วค่อยเเกะเปลือกออก ถ้าเเกะตอนกำลังลงจากเตา มือจะพองเอาได้ค่ะ
2.คั่วหอมเเดงตามเลยค่ะ วิธีเหมือนคั่วกระเทียม เเต่ใช้เวลานานกว่า เพราะปริมาณเนื้อหอมเเดงจะสุกยากกว่ากระเทียม รอจนเริ่มมีกลิ่นหอมออกมา
เเละเปลือกหอมเเดงเริ่มไหม้เล็กน้อย ตักขึ้นค่ะ พักไว้ในถาดเดียวกัน พักไว้รอจนเย็นเเละค่อยเเกะเปลือกออกนะคะ
3.ขั้นตอนนี้เเอบโหดร้าย เพราะคั่วพริกนี้ กลิ่นจะฉุนเเสบจมูกมาก เเต่ก็เป็นบรรยากาศที่อยากชวนให้ลองสัมผัสค่ะ มันมีเสน่ห์ในเเบบของมันจริงๆ
เอาผ้ามาปิดจมูกไว้ก่อนก็ได้นะคะ ถ้ากลัวจะจามเพราะกลิ่นฉุนปนเผ็ดเเละเเสบร้อน ห้ามเเอบเเช่งใครนะคะ ไม่เผาพริกเผาเกลือนะ 555 พริกต้องคั่วด้วยไฟอ่อนมากๆ ต้องเปิดเตาเเก๊สเเบบเบาสุดๆเลยค่ะ เเละต้องใช้ตะหลิวพลิกไปพลิกมาอย่างต่อเนื่อง คั่วเเค่พอมีกลิ่นเเละให้มีร่องรอยการไหม้นิดหน่อย จะสังเกตเห็นว่าพริกเเห้งจะเริ่มกรอบ
4.มาถึงขั้นตอนนี้จะเป็นการเอาพริกเเห้งที่คั่วไปปั่นด้วยเครื่องปั่นค่ะ หรือใครอยากจะตำด้วยครกจนพริกเเห้งกลายเป็นพริกป่นก็ได้นะคะ หรือถ้าใครที่ไม่อยากเลี่ยงต่อการคั่วพริก เเนะนำว่าให้ซื้อพริกป่นที่เขาตำไว้เเล้ว มาใช้เเทนได้ค่ะ เเต่นำไปคั่วซ้ำในกระทะด้วยไฟอ่อนๆสัก 1 นาที เพื่อเพิ่มความหอมค่ะ ปั่นให้ละเอียดจนกลายเป็นพริกป่น เสร็จเเล้วก็ตักใส่ถ้วยไว้นะคะ ระวังอย่าให้โดนลม เพราะเดี๋ยวปลิวเข้าตาจะเป็นเรื่องใหญ่
***หลายคนอาจจะงงว่า ทำไมชื่อน้ำพริกเผา เเต่เอาส่วนผสมไปคั่ว ต้องบอกก่อนค่ะว่า ถ้าทำตามสูตรโบราณจริงๆ ดั้งเดิมเลยเนี่ย ต้องเผาค่ะ
เผากับเตาถ่าน ต้องเสียบหอม กระเทียม พริกเเห้ง ใส่ไม้เเหลมๆ เเละนั่งเผาไปมาอยู่หน้าเตาถ่านเลย ส่วนผสมที่ได้จากการเผาเเบบธรรมชาติ
จะมีความหอมเเบบละมุมละไมมากค่ะ บรรยายไม่ถูกเลย เเต่สูตรนี้ก็ยังคงให้บรรยากาศเเละรสชาติเหมือนน้ำพริกเผาโบราณที่ใกล้เคียงมากๆ เนื่องจากปัจจุบันคงไม่สะดวก หากจะมาจุดเตาถ่านกัน มีหวังหน้าไหม้ก่อนค่ะ
5.จัดการเเกะเปลือกของหอมเเดงเเละกระเทียม ตรงไหนมีรอยไหม้ก็ใช้มีดตัดออกไปนะคะ อย่าไปเสียดาย
6.เมื่อส่วนผสมพร้อม ครกกับสากก็มาค่ะ เเนะนำว่าควรเป็นครกหิน จะตำได้ละเอียดที่สุดนะคะ จะต่างจากครกที่ตำส้มตำ ครกนั้นจะถูกออกเเบบมาเพื่อส้มตำค่ะ ส่วนครกหินจากอ่างศิลา ถูกออกเเบบมาเพื่อน้ำพริกค่ะ เริ่มจากค่อยๆตำกระเทียมให้ละเอียดก่อนนะคะ ตำจนหมด จากนั้นตามด้วยหอมเเดงค่ะ
ตำให้ละเอียดเช่นกัน ต้องออกเเรงนิดนะคะ เพื่อของอร่อย
7.เมื่อตำกระเทียมเเละหอมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวเเล้ว ใส่พริกป่นลงไปเลยค่ะ เอาตามที่เราชอบทานเลย จะเผ็ดมากเผ็ดน้อย หากพริกป่นเหลือ เราก็ใส่กระปุก เก็บไว้ทานกับอย่างอื่นได้ค่ะ อย่าให้เสียของ
8.ตำจนทุกอย่างเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นจะมาถึงการปรุงรส ให้ใส่เกลือป่นลงไป 1 ช้อนชาค่ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
จากนั้น มะขามเปียก ค่อยๆ เอามีดขูดเเต่เนื้อมะขามเปียกลงไปในครก ให้ได้ประมาณครึ่งช้อนโต๊ะก็พอค่ะ
ตำทุกอย่างอีกครั้งให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว เกลือ น้ำตาลทราย เเละมะขามเปียกจะผสมผสานเข้าไปในตัวน้ำพริก จนได้รสชาติที่กลมกล่อม
9.เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สำหรับน้ำพริกเผาโบราณ หากทานไม่หมดในมื้อเดียว สามารถตักใส่กระปุกเเละปิดให้มิดชิด ใส่ตู้เย็นไว้ก็นำมาทานได้อีก
หลายมื้อเลยค่ะ สำหรับตอนรับประทานอาจจะปรุงรสตามชอบด้วย มะนาว น้ำปลา หรือจะใส่พริกป่นเพิ่มก็ได้ค่ะ ตามใจเราชอบ
เเต่ถ้าจะให้ดี ควรมีผักต้ม พวกกะหล่ำปลีต้ม ข้าวโพดอ่อน ถั่วพลู หรือจะทานกับผักสดอย่าง เเตงกวา ถั่วฝักยาว ก็ได้หมดเลยค่ะ
ถ้าอยากทานเนื้อสัตว์ด้วย ก็ทำหมูชิ้นๆต้มก็ได้ค่ะ ขอบอกว่าเข้ากันมากๆ เพราะทานมาตั้งเเต่เด็ก ติดใจมาก คุณย่าเป็นคนจีนจะชอบเรียกหมูต้มว่า
ดูบะ ชอบต้มให้ทานกับน้ำพริกเผา อร่อยมากค่ะ
สำหรับเมนูนี้ก็เหมาะกับการไดเอทมากๆเลยค่ะ จะทานผักเเกล้มกับน้ำพริกอย่างเดียวก็ยังได้ หรือถ้าใครไม่ต้องการไดเอท
ขอข้าวสวยร้อนๆสักจาน รับรองว่ามันจะฟินมากเลยค่ะ
ส่วนรูปในขั้นตอนการทำจะไม่ค่อยมีหรอกค่ะ ส่วนมากจะเข้าครัวคนเดียว ไม่มีใครถ่ายรูปเก็บไว้ให้
ถ้าสงสัยตรงไหนถามได้เลยนะคะ ยินดีมากๆ
ลองทำตามกันดูนะคะ เเต่ถ้าทำยาก ไว้รอ จขกท. ทำขายนะ 5555 ค่อยมาอุดหนุนกัน
เอารูปมาฝากเช่นเคยค่ะ
น้ำพริกเผา สุดยอดของการไดเอท
เนื่องจากเป็นคนชอบทำอาหาร เข้าครัว หาอะไรทำไปเรื่อย
บังเอิญว่าช่วงนี้กำลังอยากไดเอทพอดีด้วย น้ำหนักเริ่มเดินหน้าไปไกล ต้องเรียกมันถอยกลับมาซะหน่อย
เลยนึกขึ้นได้ว่ามีสูตรน้ำพริกเผาเเบบโบราณที่ตกทอดมาตั้งเเต่คุณย่า
โดยสูตรนี้จะไม่มีการเอาน้ำพริกเผาไปผัดกับน้ำมัน รับรองได้ว่าไม่อ้วนอย่างเเน่นอน
วัตถุดิบที่ต้องเตรียม มีดังนี้
- พริกเเห้งเม็ดเล็ก
- กระเทียม ( เลือกขนาดกลีบปานกลาง เพราะจะทำให้ตำง่าย)
- หอมเเดง
- มะขามเปียก
- เกลือป่น
- น้ำตาลทราย
- น้ำปลา
- น้ำมะนาว
*** สำหรับเครื่องปรุง เช่น พริกเเห้ง หอม เเละกระเทียม เเนะนำว่า ถ้าซื้อให้ซื้ออย่างละ 10 บาท หรือ 20 บาทก็เพียงพอเเล้วนะคะ สามารถตำออกมาปริมาณมากพอสมควรเลย ปริมาณก็จะอยู่ที่ประมาณอย่างละ 1 - 2 ขีดค่ะ
ส่วนมะขามเปียกตามตลาดหรือรถกับข้าว เเละซุปเปอร์มาเก็ตจะมีเเบ่งไว้อยู่เเล้ว ไม่ต้องใช้เยอะค่ะ ประมาณ ครึ่งกำมือก็พอ ราคาไม่น่าเกิน 20 บาท
เช่นกัน
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
- กระทะ
- ครกเเละสาก
- มีด / เขียง / ช้อน / ถ้วยใส่น้ำพริก
- ถาดหรือจานใบใหญ่ สำหรับใส่เครื่องปรุง
- เครื่องปั่น สำหรับปั่นพริก
ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำ อยากจะบอกนิดนึงค่ะว่า น้ำพริกเผาเนี่ย ต้องลงเเรงในการทำพอสมควร
เพราะต้องคั่วพริกเเห้ง หอมเเละกระเทียม เเละต้องตำอย่างละเอียดจึงจะอร่อยเเละได้รสชาติที่กลมกล่อม
ดังนั้นเท่ากับว่า ในขั้นตอนการทำก็จะช่วยเผาผลาญไขมันบางส่วนไปได้บ้าง 55
งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ จะอธิบายเรียงขั้นตอนไปทีละข้อนะคะ ได้เข้าใจเเละทำตามได้ง่าย
1.นำกระเทียมมาคั่วในกระทะ จนมันเริ่มมีกลิ่นหอม คั่วด้วยไฟอ่อนจนเปลือกกระเทียมเริ่มมีร่องรอยของการไหม้ เเต่ระวังอย่าให้ไหม้จนเปลือกดำนะคะ
เดี๋ยวมะเร็งถามหาเเน่นอน เมื่อกระเทียมสุกได้ที่เราก็ตักขึ้นค่ะ พักไว้ในถาดหรือจานใหญ่ รอจนเย็นค่ะ เเล้วค่อยเเกะเปลือกออก ถ้าเเกะตอนกำลังลงจากเตา มือจะพองเอาได้ค่ะ
2.คั่วหอมเเดงตามเลยค่ะ วิธีเหมือนคั่วกระเทียม เเต่ใช้เวลานานกว่า เพราะปริมาณเนื้อหอมเเดงจะสุกยากกว่ากระเทียม รอจนเริ่มมีกลิ่นหอมออกมา
เเละเปลือกหอมเเดงเริ่มไหม้เล็กน้อย ตักขึ้นค่ะ พักไว้ในถาดเดียวกัน พักไว้รอจนเย็นเเละค่อยเเกะเปลือกออกนะคะ
3.ขั้นตอนนี้เเอบโหดร้าย เพราะคั่วพริกนี้ กลิ่นจะฉุนเเสบจมูกมาก เเต่ก็เป็นบรรยากาศที่อยากชวนให้ลองสัมผัสค่ะ มันมีเสน่ห์ในเเบบของมันจริงๆ
เอาผ้ามาปิดจมูกไว้ก่อนก็ได้นะคะ ถ้ากลัวจะจามเพราะกลิ่นฉุนปนเผ็ดเเละเเสบร้อน ห้ามเเอบเเช่งใครนะคะ ไม่เผาพริกเผาเกลือนะ 555 พริกต้องคั่วด้วยไฟอ่อนมากๆ ต้องเปิดเตาเเก๊สเเบบเบาสุดๆเลยค่ะ เเละต้องใช้ตะหลิวพลิกไปพลิกมาอย่างต่อเนื่อง คั่วเเค่พอมีกลิ่นเเละให้มีร่องรอยการไหม้นิดหน่อย จะสังเกตเห็นว่าพริกเเห้งจะเริ่มกรอบ
4.มาถึงขั้นตอนนี้จะเป็นการเอาพริกเเห้งที่คั่วไปปั่นด้วยเครื่องปั่นค่ะ หรือใครอยากจะตำด้วยครกจนพริกเเห้งกลายเป็นพริกป่นก็ได้นะคะ หรือถ้าใครที่ไม่อยากเลี่ยงต่อการคั่วพริก เเนะนำว่าให้ซื้อพริกป่นที่เขาตำไว้เเล้ว มาใช้เเทนได้ค่ะ เเต่นำไปคั่วซ้ำในกระทะด้วยไฟอ่อนๆสัก 1 นาที เพื่อเพิ่มความหอมค่ะ ปั่นให้ละเอียดจนกลายเป็นพริกป่น เสร็จเเล้วก็ตักใส่ถ้วยไว้นะคะ ระวังอย่าให้โดนลม เพราะเดี๋ยวปลิวเข้าตาจะเป็นเรื่องใหญ่
***หลายคนอาจจะงงว่า ทำไมชื่อน้ำพริกเผา เเต่เอาส่วนผสมไปคั่ว ต้องบอกก่อนค่ะว่า ถ้าทำตามสูตรโบราณจริงๆ ดั้งเดิมเลยเนี่ย ต้องเผาค่ะ
เผากับเตาถ่าน ต้องเสียบหอม กระเทียม พริกเเห้ง ใส่ไม้เเหลมๆ เเละนั่งเผาไปมาอยู่หน้าเตาถ่านเลย ส่วนผสมที่ได้จากการเผาเเบบธรรมชาติ
จะมีความหอมเเบบละมุมละไมมากค่ะ บรรยายไม่ถูกเลย เเต่สูตรนี้ก็ยังคงให้บรรยากาศเเละรสชาติเหมือนน้ำพริกเผาโบราณที่ใกล้เคียงมากๆ เนื่องจากปัจจุบันคงไม่สะดวก หากจะมาจุดเตาถ่านกัน มีหวังหน้าไหม้ก่อนค่ะ
5.จัดการเเกะเปลือกของหอมเเดงเเละกระเทียม ตรงไหนมีรอยไหม้ก็ใช้มีดตัดออกไปนะคะ อย่าไปเสียดาย
6.เมื่อส่วนผสมพร้อม ครกกับสากก็มาค่ะ เเนะนำว่าควรเป็นครกหิน จะตำได้ละเอียดที่สุดนะคะ จะต่างจากครกที่ตำส้มตำ ครกนั้นจะถูกออกเเบบมาเพื่อส้มตำค่ะ ส่วนครกหินจากอ่างศิลา ถูกออกเเบบมาเพื่อน้ำพริกค่ะ เริ่มจากค่อยๆตำกระเทียมให้ละเอียดก่อนนะคะ ตำจนหมด จากนั้นตามด้วยหอมเเดงค่ะ
ตำให้ละเอียดเช่นกัน ต้องออกเเรงนิดนะคะ เพื่อของอร่อย
7.เมื่อตำกระเทียมเเละหอมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวเเล้ว ใส่พริกป่นลงไปเลยค่ะ เอาตามที่เราชอบทานเลย จะเผ็ดมากเผ็ดน้อย หากพริกป่นเหลือ เราก็ใส่กระปุก เก็บไว้ทานกับอย่างอื่นได้ค่ะ อย่าให้เสียของ
8.ตำจนทุกอย่างเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นจะมาถึงการปรุงรส ให้ใส่เกลือป่นลงไป 1 ช้อนชาค่ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
จากนั้น มะขามเปียก ค่อยๆ เอามีดขูดเเต่เนื้อมะขามเปียกลงไปในครก ให้ได้ประมาณครึ่งช้อนโต๊ะก็พอค่ะ
ตำทุกอย่างอีกครั้งให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว เกลือ น้ำตาลทราย เเละมะขามเปียกจะผสมผสานเข้าไปในตัวน้ำพริก จนได้รสชาติที่กลมกล่อม
9.เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สำหรับน้ำพริกเผาโบราณ หากทานไม่หมดในมื้อเดียว สามารถตักใส่กระปุกเเละปิดให้มิดชิด ใส่ตู้เย็นไว้ก็นำมาทานได้อีก
หลายมื้อเลยค่ะ สำหรับตอนรับประทานอาจจะปรุงรสตามชอบด้วย มะนาว น้ำปลา หรือจะใส่พริกป่นเพิ่มก็ได้ค่ะ ตามใจเราชอบ
เเต่ถ้าจะให้ดี ควรมีผักต้ม พวกกะหล่ำปลีต้ม ข้าวโพดอ่อน ถั่วพลู หรือจะทานกับผักสดอย่าง เเตงกวา ถั่วฝักยาว ก็ได้หมดเลยค่ะ
ถ้าอยากทานเนื้อสัตว์ด้วย ก็ทำหมูชิ้นๆต้มก็ได้ค่ะ ขอบอกว่าเข้ากันมากๆ เพราะทานมาตั้งเเต่เด็ก ติดใจมาก คุณย่าเป็นคนจีนจะชอบเรียกหมูต้มว่า
ดูบะ ชอบต้มให้ทานกับน้ำพริกเผา อร่อยมากค่ะ
สำหรับเมนูนี้ก็เหมาะกับการไดเอทมากๆเลยค่ะ จะทานผักเเกล้มกับน้ำพริกอย่างเดียวก็ยังได้ หรือถ้าใครไม่ต้องการไดเอท
ขอข้าวสวยร้อนๆสักจาน รับรองว่ามันจะฟินมากเลยค่ะ
ส่วนรูปในขั้นตอนการทำจะไม่ค่อยมีหรอกค่ะ ส่วนมากจะเข้าครัวคนเดียว ไม่มีใครถ่ายรูปเก็บไว้ให้
ถ้าสงสัยตรงไหนถามได้เลยนะคะ ยินดีมากๆ
ลองทำตามกันดูนะคะ เเต่ถ้าทำยาก ไว้รอ จขกท. ทำขายนะ 5555 ค่อยมาอุดหนุนกัน
เอารูปมาฝากเช่นเคยค่ะ