คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
เราว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีเซนส์นะ เรื่องผีถึงได้กลายเป็นที่ถกเถียงกันจนทุกวันนี้
คนที่เป็นนักวิทย์พอเคยเห็นผีหรือเรื่องลึกลับ ก็จะเริ่มหันมาสนใจด้านนี้ แล้วก็จะถูกคนทั่วไปมองว่าเป็นนักวิทย์สติเฟื่อง
เรื่องของเรื่องคือ "จำนวนคน"
มนุษย์เรามีประสาทสัมผัสมากกว่า 5 แต่วงการวิทยาศาสตร์ต้องการพิสูจน์ทุกๆอย่างว่ามีจริงโดยจะต้องผ่านการรู้เห็นทางประสาทสัมผัสแค่ 5 อย่างเท่านั้น
โลกนี้มันมีคนที่มีประสาทสัมผัสน้อยกว่า 5 เช่นคนหูหนวกตาบอดแต่กำเนิด
สมมติคนหูหนวกแต่กำเนิด เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงมาก่อน คุณไปบอกเขาว่าเสียงมีจริงนะ มันเป็นคลื่น
เอาล่ะ คนหูหนวกเขาอาจไม่เชื่อคุณว่าโลกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่า เสียง เขาอาจไม่เชื่อเพราะเขาจินตนาการไม่ออกว่ามันเป็นยังไง มีลักษณะยังไง? ความไพเราะของดนตรีเป็นยังไงเขาคงไม่เข้าใจ
แต่ถึงแม้ใจลึกๆเขาจะไม่เชื่อ แต่เขาก็ต้องเชื่อ เพราะประชากรโลกส่วนมากมีความสามารถในการรับรู้เสียง ประชากรโลกส่วนมากยืนยันว่าเสียงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
ขอให้สังเกตว่า จำนวนคนมากกว่าคือผู้ชนะ
ถ้าโลกมนุษย์มีแต่คนหูหนวก คุณคิดว่าวงการวิทยาศาสตร์จะเป็นยังไง? เขาจะต้องละเลยทุกๆสิ่งที่เกี่ยวกับเสียง การส่งข้อมูลเป็นตัวอักษรผ่านคลื่นในอากาศจะเกิดขึ้น แต่จะไม่มีสถานีวิทยุ
แล้วมันจะต้องมีจุดบอดหลายอย่างทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นปริศนาหากมนุษย์เรามีประสาทสัมผัสแค่ 4 อย่าง
ในทางเดียวกัน มันมีคนที่มีประสาทสัมผัสเกิน 5
คือมีคนที่มีน้อยกว่า 5 และมีเกิน 5
คนที่มีประสาทสัมผัสที่ 6 ก็เหมือนคนที่มีประสาทสัมผัสน้อยกว่า 5 คือพวกเขาเป็นคนส่วนน้อยของประชากรโลก
เพราะงั้น ไม่ว่าจะเห็นอะไรที่มันอยู่เหนือการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 5 คนส่วนใหญ่ก็จะไม่ยอมรับ เพราะคนส่วนใหญ่มองไม่เห็น
ดังนั้น จุดบกพร่องที่สุดของวิทยาศาสตร์คือ การที่ไม่เปิดใจ และพยายามมากเกินไปที่จะตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้ประสาทสัมผัสแค่ 5 อย่าง
และเพราะวิทยาศาสตร์ศึกษาเฉพาะสิ่งที่รับรู้ได้ภายใต้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 นี้ล่ะ โลกของวิทยาศาสตร์จึงมีแค่จักรวาล และมีปริศนาหลายอย่างที่ไขไม่ได้ มีจุดบอดหลายอย่างที่ทฤษฎีไม่สมบูรณ์แต่ก็ยังเอามาใช้งาน
ในโลกของคนที่มีประสาทสัมผัสมากกว่า 5 เขารู้กันหมดแหละ ว่าสรรพสิ่งทั้งปวงไม่ได้มีแค่จักรวาลหรือดวงดาวที่ลอยเคว้งคว้างในอวกาศ
แต่มันยังมีภพภูมิ กฎของธรรมชาติ และโครงสร้างที่แท้จริงของสรรพสิ่ง ที่มาที่ไปของจิตวิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด และอีกมากมาย
บางคนไม่เข้าใจ ยังเห็นมีตั้งกระทู้ถามพระสงฆ์ที่มรณะแล้วผีต้องห่มจีวรไหม? คือเป็นคำถามที่คนถามไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ
พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี มีบุญ ตายไปท่านก็ไม่เป็นผีแล้ว ท่านก็ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นตามการปฏิบัติของท่าน
ส่วนพระสงฆ์ที่ห่มเหลืองแต่ทำเลวทำผิดวินัยสงฆ์ ขอบอกว่าตายแล้วลงนรกอย่างเดียวจร้า
ส่วนผีเร่ร่อนที่ยังปะปนกับมนุษย์บนโลก พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่อาจตายด้วยอุบัติเหตุยังไม่หมดอายุขัย หรือฆ่าตัวตายวิญญาณต้องวนเวียนอยู่สถานที่นั้นและฆ่าตัวตายซ้ำๆจนกว่าจะหมดอายุขัย
แล้ววิญญาณก็ไม่ใช่ร่างจริงๆของพวกเรา แท้จริงเราเป็นแค่ดวงจิตที่ไม่มีรูปร่าง
ร่างวิญญาณเป็นร่าง 2 ที่ถอดจากกายหยาบ ยังมีความทรงจำของชาติภพของกายหยาบนั้น
แต่ถ้าไปสู่ภพภูมิอื่น ร่างกายทิพย์จะเปลี่ยนรูปไป
เพราะงั้นไม่ต้องแปลกใจที่เรามักเห็นผีในร่างที่ใส่เสื้อผ้าตอนที่เขาตาย หรือถ้ามีคนทำบุญให้เขาก็จะได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ
คือมันเป็นแค่ร่างชั่วคราว ที่คนๆหนึ่งยังไม่สิ้นสุดชะตากรรมของภพชาตินั้นๆ ถ้าไปเกิดใหม่เขาก็มีร่างใหม่
คนที่เป็นนักวิทย์พอเคยเห็นผีหรือเรื่องลึกลับ ก็จะเริ่มหันมาสนใจด้านนี้ แล้วก็จะถูกคนทั่วไปมองว่าเป็นนักวิทย์สติเฟื่อง
เรื่องของเรื่องคือ "จำนวนคน"
มนุษย์เรามีประสาทสัมผัสมากกว่า 5 แต่วงการวิทยาศาสตร์ต้องการพิสูจน์ทุกๆอย่างว่ามีจริงโดยจะต้องผ่านการรู้เห็นทางประสาทสัมผัสแค่ 5 อย่างเท่านั้น
โลกนี้มันมีคนที่มีประสาทสัมผัสน้อยกว่า 5 เช่นคนหูหนวกตาบอดแต่กำเนิด
สมมติคนหูหนวกแต่กำเนิด เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงมาก่อน คุณไปบอกเขาว่าเสียงมีจริงนะ มันเป็นคลื่น
เอาล่ะ คนหูหนวกเขาอาจไม่เชื่อคุณว่าโลกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่า เสียง เขาอาจไม่เชื่อเพราะเขาจินตนาการไม่ออกว่ามันเป็นยังไง มีลักษณะยังไง? ความไพเราะของดนตรีเป็นยังไงเขาคงไม่เข้าใจ
แต่ถึงแม้ใจลึกๆเขาจะไม่เชื่อ แต่เขาก็ต้องเชื่อ เพราะประชากรโลกส่วนมากมีความสามารถในการรับรู้เสียง ประชากรโลกส่วนมากยืนยันว่าเสียงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
ขอให้สังเกตว่า จำนวนคนมากกว่าคือผู้ชนะ
ถ้าโลกมนุษย์มีแต่คนหูหนวก คุณคิดว่าวงการวิทยาศาสตร์จะเป็นยังไง? เขาจะต้องละเลยทุกๆสิ่งที่เกี่ยวกับเสียง การส่งข้อมูลเป็นตัวอักษรผ่านคลื่นในอากาศจะเกิดขึ้น แต่จะไม่มีสถานีวิทยุ
แล้วมันจะต้องมีจุดบอดหลายอย่างทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นปริศนาหากมนุษย์เรามีประสาทสัมผัสแค่ 4 อย่าง
ในทางเดียวกัน มันมีคนที่มีประสาทสัมผัสเกิน 5
คือมีคนที่มีน้อยกว่า 5 และมีเกิน 5
คนที่มีประสาทสัมผัสที่ 6 ก็เหมือนคนที่มีประสาทสัมผัสน้อยกว่า 5 คือพวกเขาเป็นคนส่วนน้อยของประชากรโลก
เพราะงั้น ไม่ว่าจะเห็นอะไรที่มันอยู่เหนือการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 5 คนส่วนใหญ่ก็จะไม่ยอมรับ เพราะคนส่วนใหญ่มองไม่เห็น
ดังนั้น จุดบกพร่องที่สุดของวิทยาศาสตร์คือ การที่ไม่เปิดใจ และพยายามมากเกินไปที่จะตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้ประสาทสัมผัสแค่ 5 อย่าง
และเพราะวิทยาศาสตร์ศึกษาเฉพาะสิ่งที่รับรู้ได้ภายใต้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 นี้ล่ะ โลกของวิทยาศาสตร์จึงมีแค่จักรวาล และมีปริศนาหลายอย่างที่ไขไม่ได้ มีจุดบอดหลายอย่างที่ทฤษฎีไม่สมบูรณ์แต่ก็ยังเอามาใช้งาน
ในโลกของคนที่มีประสาทสัมผัสมากกว่า 5 เขารู้กันหมดแหละ ว่าสรรพสิ่งทั้งปวงไม่ได้มีแค่จักรวาลหรือดวงดาวที่ลอยเคว้งคว้างในอวกาศ
แต่มันยังมีภพภูมิ กฎของธรรมชาติ และโครงสร้างที่แท้จริงของสรรพสิ่ง ที่มาที่ไปของจิตวิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด และอีกมากมาย
บางคนไม่เข้าใจ ยังเห็นมีตั้งกระทู้ถามพระสงฆ์ที่มรณะแล้วผีต้องห่มจีวรไหม? คือเป็นคำถามที่คนถามไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ
พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี มีบุญ ตายไปท่านก็ไม่เป็นผีแล้ว ท่านก็ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นตามการปฏิบัติของท่าน
ส่วนพระสงฆ์ที่ห่มเหลืองแต่ทำเลวทำผิดวินัยสงฆ์ ขอบอกว่าตายแล้วลงนรกอย่างเดียวจร้า
ส่วนผีเร่ร่อนที่ยังปะปนกับมนุษย์บนโลก พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่อาจตายด้วยอุบัติเหตุยังไม่หมดอายุขัย หรือฆ่าตัวตายวิญญาณต้องวนเวียนอยู่สถานที่นั้นและฆ่าตัวตายซ้ำๆจนกว่าจะหมดอายุขัย
แล้ววิญญาณก็ไม่ใช่ร่างจริงๆของพวกเรา แท้จริงเราเป็นแค่ดวงจิตที่ไม่มีรูปร่าง
ร่างวิญญาณเป็นร่าง 2 ที่ถอดจากกายหยาบ ยังมีความทรงจำของชาติภพของกายหยาบนั้น
แต่ถ้าไปสู่ภพภูมิอื่น ร่างกายทิพย์จะเปลี่ยนรูปไป
เพราะงั้นไม่ต้องแปลกใจที่เรามักเห็นผีในร่างที่ใส่เสื้อผ้าตอนที่เขาตาย หรือถ้ามีคนทำบุญให้เขาก็จะได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ
คือมันเป็นแค่ร่างชั่วคราว ที่คนๆหนึ่งยังไม่สิ้นสุดชะตากรรมของภพชาตินั้นๆ ถ้าไปเกิดใหม่เขาก็มีร่างใหม่
แสดงความคิดเห็น
อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าผีมีจริง ?
แล้วรู้ได้ไงว่าผีมีจริงครับ เคยเห็น คนอื่นเล่า ดูหนัง คนเฒ่าคนแก่ใช้หลอกให้กลัวหรอครับ
แล้วถ้าอยากเห็นผีต้องทำไง หรอครับ เห็นคนบอกต้องมีเซนต์ แล้วจะซื้อเซนต์จากไหนได้อะ ?
แล้วคนที่มีเซนต์มีจริงหรอครับ หรือแค่มโน ถ้ามีจริงทำไมไม่เห็นใช้คอสโม กันเลย