ดื้อ-คิดมาก-ปอดแหก และเพี้ยน
บุญเก่าชักจะเหลือน้อยและใกล้หมดลงเต็มทนแล้วนะครับสำหรับ หลุยส์ ฟาน กัล
ทันใดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกพลพรรคนักบุญของ โรนัลด์ คูมัน บุกมาเหยียบจมูกถึงถิ่น...สิวหัวช้างเม็ดหนึ่งบนใบหน้าของเฮียอ้วนที่คงอักเสบและบวมเป่งมานานหลายวัน ก็ระเบิดออกมาเสียงดัง...โพละ!
น้ำหนองกระฉูดแตกออกมาก่อนพุ่งทะยานด้วยความเร็ว 180 กม.ต่อชั่วโมง ไปกระแทกกระจกอย่างจัง
โทษฐานที่เป็นผู้จัดการทีม ตอนนี้ หลุยส์ ฟาน กัล มีสภาพไม่ต่างจากคนที่โดนเลื่อยไฟฟ้ายัดเข้าไปในรูตูด
ความปราชัยในนัดล่าสุดแสดงให้เห็นว่าไอ้ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เคยชนะติดต่อกัน 6 นัด น่าจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา (เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปรีซีซั่นนั่นแหละ) คือพากย์ภาษาอังกฤษว่า ''ฟัคกลิ้งฟลุก'' เพราะฟอร์มการเล่นโดยรวมของพลพรรคปีศาจแดงใช่ว่าจะดีเด่นเป็นสง่าอะไร - พวกเขาเอาชนะคู่แข่งแบบกระท่อนกระแท่น หลายประตูที่ยัดเข้าไปในตาข่าย มิได้บังเกิดจากรูปเกมอันยอดเยี่ยมพลางกดดันคู่แข่งจนต้องใช้รูทวารหนักช่วยหายใจ
เกมรับยังอุดมด้วยจุดอ่อน ไอ้ที่รอดพ้นจากการโดนกระทุ้ง ก็เพราะคู่ต่อสู้ของพวกเขาดันยิงไปให้ ดาบิด เด เคอา เซฟเองซะมากกว่า ขณะที่เกมรุกก็ไม่ได้ดุดันกะซวกไส้อะไร ประตูส่วนใหญ่ได้มาแบบเหนือธรรมชาติ ซึ่งเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะดวงดีกว่าชาวบ้าน
และหลังจากขอความช่วยเหลือจากเทพและเทพีแห่งโชคไปอย่างฟุ่มเฟือยจนหมดโควตา - ความจริงมันก็ปรากฏ
5 นัดล่าสุด ลูกทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล สะสมได้อย่างกระจุ๋มกระจิ๋มแค่ 6 แต้ม จากการเสมอ แอสตัน วิลล่า 1-1, ชนะ นิวคาสเซิ่ล 3-1, เสมอ สเปอร์ส 0-0, เสมอ สโต๊ค ซิตี้ 1-1 และแพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-1 ซึ่งมีแค่เกมขย่มสาลิกาดงในวันบ็อกซิ่งเดย์เท่านั้น ที่แสดงความน่าประทับใจในรูปทรงออกมา
ในมุมมองของท่านผู้ชมทางบ้านที่มีโอกาสวิพากษ์-วิจารณ์เกมลูกหนังบนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ ผมชักจะสงสัยในความสามารถของพ่อใหญ่แห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คนใหม่ท่านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับความพ่ายแพ้ของแมนฯ ยูไนเต็ด ในนัดล่าสุด ขอยืนยันหนักแน่นว่ามันไม่ใช่ความพ่ายแพ้แค่นัดหนึ่งนะครับ ในเมื่อมันบ่งบอกอะไรได้มากมายเลยทีเดียว
1. หลุยส์ ฟาน กัล ยึดติดกับระบบ 3-5-2 มากเกินไป และมากเกินความจำเป็นทั้งที่มันไม่ได้ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ด มีเกมรับที่เหนียวแน่นขึ้นเลยสักนิด มิหนำยังห่วยแตกกว่าตอนที่วางแผงหลัง 4 ตัว (เซนเตอร์ฮาล์ฟ 2 ฟูลแบ็ก 2) ด้วยซ้ำ
ผู้เล่นหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะปราการหลังตัวกลางกับวิง-แบ็ก ยังคงสับสนในวิธีการเล่นพอๆ กับไม่คุ้นเคยในระบบการเล่นนี้ การประสานงานกันจึงมีปัญหา ขณะที่เกมรุกก็อาศัยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะแต่ละคนเอาตัวรอดเป็นนัดๆ ซะมากกว่า
สรุปว่ามันไม่เวิร์กอย่างแรง แถมไม่เวิร์กแบบเป็นเอกฉันท์ ปัญหาคือผู้เป็นกุนซือยังคงดื้อดึงที่จะยึดระบบนี้ต่อไป โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตาสว่าง
2. นัดล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด อุตส่าห์ได้ตัวผู้เล่นที่บาดเจ็บกลับมาเกือบพร้อมหน้าพร้อมตา - แทนที่จะปรับระบบเป็น 4-1-2-1-2 หรือ 4-2-3-1 (ตามที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าระบบการเล่นสามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา โดยขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เล่น) พี่แกทำเหมือนมั่นใจในระบบ 3-5-2 แบบเต็มประดาว่ามันดีเลิศประเสริฐศรี ทั้งที่เล่นในบ้าน ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหรือให้เกียรติผู้มาเยือนขนาดนั้นก็ได้
3. เวย์น รูนี่ย์ คือดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลอันดับ 3 ของแมนฯ ยูไนเต็ด (ยิงได้น้อยกว่า เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน กับ เดนิส ลอว์) จุดนี้แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ ''เสี่ยหมู'' คือกองหน้า แต่กลับถูกจับไปเล่นเป็นกองกลางซะอย่างนั้น!
อังเคล ดิ มาเรีย ก็เช่นกัน ตำแหน่งที่ดีที่สุดของเขาคือตัวรุกริมเส้น รวมถึงตัวขับเคลื่อนเกมในแดนกลางที่คอยเปิดป้อนทำทางสู่การทำประตูมากกว่าถล่มตาข่ายด้วยตัวเอง กลับถูกจับไปเล่นเป็นกองหน้าซะอย่างนั้น!
คิดง่ายๆ นะครับว่า อังเคล ดิ มาเรีย ไม่มีทางยิงประตูดีกว่า เวย์น รูนี่ย์ และ เวย์น รูนี่ย์ ก็ไม่มีทางขับเคลื่อนเกมได้ดีกว่า อังเคล ดิ มาเรีย แต่กลับต้องมาสลับตำแหน่งกันซะอย่างนั้น!
4. การเปลี่ยนตัวของ หลุยส์ ฟาน กัล ก็แทบไม่ต่างจากการทำหนังของ ''ป๋าเทพ'' (โพธิ์งาม) คือมันอยู่เหนือทั้งเหตุผล และคำวิพากษ์-วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อเกมรุกฝืดเคือง และกดดันคู่แข่งไม่ได้ พี่แกกลับก็ถอด ลุค ชอว์ ออกจากตำแหน่งแล้วส่ง ไทเลอร์ แบล็คเก็ตต์ ลงมาเล่นเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟ พลางถ่าง ดาเล่ย์ บลินด์ ออกมาเล่นเป็นวิง-แบ็กทางด้านซ้าย
อืมมมม...จุดนี้เข้าใจว่าคงต้องการลูกเปิดจากริมเส้นของ ดาเล่ย์ บลินด์ ที่น่าจะมีประสิทธิภาพกว่า ลุค ชอว์ แต่ถ้ากล้าๆ ถอดเซนเตอร์ ที่มีมากตั้ง 3 หน่วย ออกไปสัก 1 คน แล้วส่งกองหน้า หรือกองกลางลงมาพลางปรับระบบเป็น 4-1-2-1-2 เกมรุกน่าจะมีชีวิตชีวามากกว่าเดิมหรือไม่?
เท่านั้นไม่พอ
เมื่อตกเป็นฝ่ายตามหลัง เจ้าของสมญา ''ทิวลิปเหล็ก'' กระชาก อังเคล ดิ มาเรีย ออกจากสนาม เพื่อเปิดทางให้ มารูยาน เฟลไลนี่ ลงมาใช้ความสูงของตนเองให้เป็นประโยชน์
คำถามคือในสถานการณ์ที่ต้องการประตูเป็นอย่างยิ่ง ทำไม เอ๊ย! ทำไมคุณพี่เขาถึงไม่กล้าถอดปราการหลังตัวกลางออกไปสัก 1 ตัว แล้วส่งพี่ฟูลงมาเสริมเกมรุก โดยยังเก็บ อังเคล ดิ มาเรีย ที่ขี้หมูขี้หมาก็มีประโยชน์ในเกมรุกมากกว่ากองหลังเอาไว้ล่ะ???
5. ราดาเมล ฟัลเกา ไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยอะไร และพร้อมลงไปล่าตาข่ายในสนาม กลับไม่มีชื่อแม้แต่บนม้านั่งสำรอง โดยกุนซือวัย 63 ให้เหตุผลประมาณว่าไม่มีอะไรมาก แค่ไม่ต้องการใช้ ''พี่เสือ'' ในนัดนี้ก็เท่านั้น
อืมมม...ก็เข้าใจอีกนั่นแหละครับว่าเจ้าของฉายา ''เอล ติเกร'' ทะลวงตาข่ายได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ตัวเองเคยทำ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีประโยชน์มากกว่า เจมส์ วิลสัน ที่ยังยิงไม่ได้สักประตูในฤดูกาลนี้...มิใช่หรือ?
สุดท้ายกองหน้าดาวรุ่งที่พี่แกมองว่ามีทีเด็ดกว่าดาวยิงทีมชาติโคลอมเบียก็ไม่ถูกส่งลงสนาม
...
ทั้งหมดคือหลักฐานที่บ่งว่า หลุยส์ ฟาน กัล และนาทีนี้คือผู้จัดการทีมที่มีความดันทุรังสูง ดื้อ คิดมาก ปอดแหก แถมยัง ''เพี้ยน'' ไปแล้วอีกต่างหาก
หลังจากผ่านไป 21 นัดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ด จากการทำงานของ หลุยส์ ฟาน กัล ก็มิได้ไฉไลไปกว่าผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ด จากการทำงานของ เดวิด มอยส์ เมื่อฤดูกาลที่แล้วเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ชื่อเสียงและบารมี รวมถึงอันดับบนตารางของแมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้ทำให้บรรดาผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจแดงยังพอมีความหวังอยู่บ้างจนอาจมองข้ามความบัดซบที่เกิดขึ้น
ที่สำคัญคือรอให้จบฤดูกาลเสียก่อนดีไหม แล้วค่อยมาตัดสินกันว่าใครห่วยกว่า
สิ่งที่แตกต่างกันคือ หลุยส์ ฟาน กัล ถลุงเงินซื้อผู้เล่นระดับดาวดังค่าตัวแพงไปมากกว่า เดวิด มอยส์ หลายเท่า
แต่หากพูดถึงฟอร์มการเล่น ระบบการเล่น และวิธีการเล่นของแมนฯ ยูไนเต็ด จากภูมิปัญญาของผู้จัดการทีมท่านนี้ ขอบอกว่ามันไม่ได้เหนือกว่าคู่ขับเคี่ยวที่ต้องแย่งกันไปแชมเปี้ยนส์ ลีก อย่าง อาร์เซน่อล หรือแม้แต่ลิเวอร์พูล เลยแม้แต่น้อย
บางทีอันดับ 3 ที่รั้งมาหลายสัปดาห์ติดต่อกันกับอันดับ 4 ณ ขณะนี้อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
การช่วยให้อาแจ็กซ์, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค และอาร์แซ่ด อัลค์มาร์ เป็นแชมป์ก็เช่นกัน
มันอาจเป็นเพียงแค่อดีตที่ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในปัจจุบัน หรืออนาคตเสมอไป
''บอ.บู๋''
http://www.siamsport.co.th/Column/150114_119.html
ดื้อ-คิดมาก-ปอดแหก และเพี้ยน (บอ.บู๋)
บุญเก่าชักจะเหลือน้อยและใกล้หมดลงเต็มทนแล้วนะครับสำหรับ หลุยส์ ฟาน กัล
ทันใดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกพลพรรคนักบุญของ โรนัลด์ คูมัน บุกมาเหยียบจมูกถึงถิ่น...สิวหัวช้างเม็ดหนึ่งบนใบหน้าของเฮียอ้วนที่คงอักเสบและบวมเป่งมานานหลายวัน ก็ระเบิดออกมาเสียงดัง...โพละ!
น้ำหนองกระฉูดแตกออกมาก่อนพุ่งทะยานด้วยความเร็ว 180 กม.ต่อชั่วโมง ไปกระแทกกระจกอย่างจัง
โทษฐานที่เป็นผู้จัดการทีม ตอนนี้ หลุยส์ ฟาน กัล มีสภาพไม่ต่างจากคนที่โดนเลื่อยไฟฟ้ายัดเข้าไปในรูตูด
ความปราชัยในนัดล่าสุดแสดงให้เห็นว่าไอ้ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เคยชนะติดต่อกัน 6 นัด น่าจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา (เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปรีซีซั่นนั่นแหละ) คือพากย์ภาษาอังกฤษว่า ''ฟัคกลิ้งฟลุก'' เพราะฟอร์มการเล่นโดยรวมของพลพรรคปีศาจแดงใช่ว่าจะดีเด่นเป็นสง่าอะไร - พวกเขาเอาชนะคู่แข่งแบบกระท่อนกระแท่น หลายประตูที่ยัดเข้าไปในตาข่าย มิได้บังเกิดจากรูปเกมอันยอดเยี่ยมพลางกดดันคู่แข่งจนต้องใช้รูทวารหนักช่วยหายใจ
เกมรับยังอุดมด้วยจุดอ่อน ไอ้ที่รอดพ้นจากการโดนกระทุ้ง ก็เพราะคู่ต่อสู้ของพวกเขาดันยิงไปให้ ดาบิด เด เคอา เซฟเองซะมากกว่า ขณะที่เกมรุกก็ไม่ได้ดุดันกะซวกไส้อะไร ประตูส่วนใหญ่ได้มาแบบเหนือธรรมชาติ ซึ่งเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะดวงดีกว่าชาวบ้าน
และหลังจากขอความช่วยเหลือจากเทพและเทพีแห่งโชคไปอย่างฟุ่มเฟือยจนหมดโควตา - ความจริงมันก็ปรากฏ
5 นัดล่าสุด ลูกทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล สะสมได้อย่างกระจุ๋มกระจิ๋มแค่ 6 แต้ม จากการเสมอ แอสตัน วิลล่า 1-1, ชนะ นิวคาสเซิ่ล 3-1, เสมอ สเปอร์ส 0-0, เสมอ สโต๊ค ซิตี้ 1-1 และแพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-1 ซึ่งมีแค่เกมขย่มสาลิกาดงในวันบ็อกซิ่งเดย์เท่านั้น ที่แสดงความน่าประทับใจในรูปทรงออกมา
ในมุมมองของท่านผู้ชมทางบ้านที่มีโอกาสวิพากษ์-วิจารณ์เกมลูกหนังบนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ ผมชักจะสงสัยในความสามารถของพ่อใหญ่แห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คนใหม่ท่านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับความพ่ายแพ้ของแมนฯ ยูไนเต็ด ในนัดล่าสุด ขอยืนยันหนักแน่นว่ามันไม่ใช่ความพ่ายแพ้แค่นัดหนึ่งนะครับ ในเมื่อมันบ่งบอกอะไรได้มากมายเลยทีเดียว
1. หลุยส์ ฟาน กัล ยึดติดกับระบบ 3-5-2 มากเกินไป และมากเกินความจำเป็นทั้งที่มันไม่ได้ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ด มีเกมรับที่เหนียวแน่นขึ้นเลยสักนิด มิหนำยังห่วยแตกกว่าตอนที่วางแผงหลัง 4 ตัว (เซนเตอร์ฮาล์ฟ 2 ฟูลแบ็ก 2) ด้วยซ้ำ
ผู้เล่นหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะปราการหลังตัวกลางกับวิง-แบ็ก ยังคงสับสนในวิธีการเล่นพอๆ กับไม่คุ้นเคยในระบบการเล่นนี้ การประสานงานกันจึงมีปัญหา ขณะที่เกมรุกก็อาศัยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะแต่ละคนเอาตัวรอดเป็นนัดๆ ซะมากกว่า
สรุปว่ามันไม่เวิร์กอย่างแรง แถมไม่เวิร์กแบบเป็นเอกฉันท์ ปัญหาคือผู้เป็นกุนซือยังคงดื้อดึงที่จะยึดระบบนี้ต่อไป โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตาสว่าง
2. นัดล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด อุตส่าห์ได้ตัวผู้เล่นที่บาดเจ็บกลับมาเกือบพร้อมหน้าพร้อมตา - แทนที่จะปรับระบบเป็น 4-1-2-1-2 หรือ 4-2-3-1 (ตามที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าระบบการเล่นสามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา โดยขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เล่น) พี่แกทำเหมือนมั่นใจในระบบ 3-5-2 แบบเต็มประดาว่ามันดีเลิศประเสริฐศรี ทั้งที่เล่นในบ้าน ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหรือให้เกียรติผู้มาเยือนขนาดนั้นก็ได้
3. เวย์น รูนี่ย์ คือดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลอันดับ 3 ของแมนฯ ยูไนเต็ด (ยิงได้น้อยกว่า เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน กับ เดนิส ลอว์) จุดนี้แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ ''เสี่ยหมู'' คือกองหน้า แต่กลับถูกจับไปเล่นเป็นกองกลางซะอย่างนั้น!
อังเคล ดิ มาเรีย ก็เช่นกัน ตำแหน่งที่ดีที่สุดของเขาคือตัวรุกริมเส้น รวมถึงตัวขับเคลื่อนเกมในแดนกลางที่คอยเปิดป้อนทำทางสู่การทำประตูมากกว่าถล่มตาข่ายด้วยตัวเอง กลับถูกจับไปเล่นเป็นกองหน้าซะอย่างนั้น!
คิดง่ายๆ นะครับว่า อังเคล ดิ มาเรีย ไม่มีทางยิงประตูดีกว่า เวย์น รูนี่ย์ และ เวย์น รูนี่ย์ ก็ไม่มีทางขับเคลื่อนเกมได้ดีกว่า อังเคล ดิ มาเรีย แต่กลับต้องมาสลับตำแหน่งกันซะอย่างนั้น!
4. การเปลี่ยนตัวของ หลุยส์ ฟาน กัล ก็แทบไม่ต่างจากการทำหนังของ ''ป๋าเทพ'' (โพธิ์งาม) คือมันอยู่เหนือทั้งเหตุผล และคำวิพากษ์-วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อเกมรุกฝืดเคือง และกดดันคู่แข่งไม่ได้ พี่แกกลับก็ถอด ลุค ชอว์ ออกจากตำแหน่งแล้วส่ง ไทเลอร์ แบล็คเก็ตต์ ลงมาเล่นเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟ พลางถ่าง ดาเล่ย์ บลินด์ ออกมาเล่นเป็นวิง-แบ็กทางด้านซ้าย
อืมมมม...จุดนี้เข้าใจว่าคงต้องการลูกเปิดจากริมเส้นของ ดาเล่ย์ บลินด์ ที่น่าจะมีประสิทธิภาพกว่า ลุค ชอว์ แต่ถ้ากล้าๆ ถอดเซนเตอร์ ที่มีมากตั้ง 3 หน่วย ออกไปสัก 1 คน แล้วส่งกองหน้า หรือกองกลางลงมาพลางปรับระบบเป็น 4-1-2-1-2 เกมรุกน่าจะมีชีวิตชีวามากกว่าเดิมหรือไม่?
เท่านั้นไม่พอ
เมื่อตกเป็นฝ่ายตามหลัง เจ้าของสมญา ''ทิวลิปเหล็ก'' กระชาก อังเคล ดิ มาเรีย ออกจากสนาม เพื่อเปิดทางให้ มารูยาน เฟลไลนี่ ลงมาใช้ความสูงของตนเองให้เป็นประโยชน์
คำถามคือในสถานการณ์ที่ต้องการประตูเป็นอย่างยิ่ง ทำไม เอ๊ย! ทำไมคุณพี่เขาถึงไม่กล้าถอดปราการหลังตัวกลางออกไปสัก 1 ตัว แล้วส่งพี่ฟูลงมาเสริมเกมรุก โดยยังเก็บ อังเคล ดิ มาเรีย ที่ขี้หมูขี้หมาก็มีประโยชน์ในเกมรุกมากกว่ากองหลังเอาไว้ล่ะ???
5. ราดาเมล ฟัลเกา ไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยอะไร และพร้อมลงไปล่าตาข่ายในสนาม กลับไม่มีชื่อแม้แต่บนม้านั่งสำรอง โดยกุนซือวัย 63 ให้เหตุผลประมาณว่าไม่มีอะไรมาก แค่ไม่ต้องการใช้ ''พี่เสือ'' ในนัดนี้ก็เท่านั้น
อืมมม...ก็เข้าใจอีกนั่นแหละครับว่าเจ้าของฉายา ''เอล ติเกร'' ทะลวงตาข่ายได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ตัวเองเคยทำ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีประโยชน์มากกว่า เจมส์ วิลสัน ที่ยังยิงไม่ได้สักประตูในฤดูกาลนี้...มิใช่หรือ?
สุดท้ายกองหน้าดาวรุ่งที่พี่แกมองว่ามีทีเด็ดกว่าดาวยิงทีมชาติโคลอมเบียก็ไม่ถูกส่งลงสนาม
...
ทั้งหมดคือหลักฐานที่บ่งว่า หลุยส์ ฟาน กัล และนาทีนี้คือผู้จัดการทีมที่มีความดันทุรังสูง ดื้อ คิดมาก ปอดแหก แถมยัง ''เพี้ยน'' ไปแล้วอีกต่างหาก
หลังจากผ่านไป 21 นัดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ด จากการทำงานของ หลุยส์ ฟาน กัล ก็มิได้ไฉไลไปกว่าผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ด จากการทำงานของ เดวิด มอยส์ เมื่อฤดูกาลที่แล้วเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ชื่อเสียงและบารมี รวมถึงอันดับบนตารางของแมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้ทำให้บรรดาผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจแดงยังพอมีความหวังอยู่บ้างจนอาจมองข้ามความบัดซบที่เกิดขึ้น
ที่สำคัญคือรอให้จบฤดูกาลเสียก่อนดีไหม แล้วค่อยมาตัดสินกันว่าใครห่วยกว่า
สิ่งที่แตกต่างกันคือ หลุยส์ ฟาน กัล ถลุงเงินซื้อผู้เล่นระดับดาวดังค่าตัวแพงไปมากกว่า เดวิด มอยส์ หลายเท่า
แต่หากพูดถึงฟอร์มการเล่น ระบบการเล่น และวิธีการเล่นของแมนฯ ยูไนเต็ด จากภูมิปัญญาของผู้จัดการทีมท่านนี้ ขอบอกว่ามันไม่ได้เหนือกว่าคู่ขับเคี่ยวที่ต้องแย่งกันไปแชมเปี้ยนส์ ลีก อย่าง อาร์เซน่อล หรือแม้แต่ลิเวอร์พูล เลยแม้แต่น้อย
บางทีอันดับ 3 ที่รั้งมาหลายสัปดาห์ติดต่อกันกับอันดับ 4 ณ ขณะนี้อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
การช่วยให้อาแจ็กซ์, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค และอาร์แซ่ด อัลค์มาร์ เป็นแชมป์ก็เช่นกัน
มันอาจเป็นเพียงแค่อดีตที่ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในปัจจุบัน หรืออนาคตเสมอไป
''บอ.บู๋''
http://www.siamsport.co.th/Column/150114_119.html