[วิจารณ์] Foxcatcher |เมื่อคู่แข่งที่กำลังกดทับเราอยู่ไม่ใช่ใครที่ไหน (โดยเพจ โตแล้ว จะดูหนังเรื่องอะไรก็ได้)

โตแล้ว จะรีวิวยังไงก็ได้ 11
Foxcatcher |เมื่อคู่แข่งที่กำลังกดทับเราอยู่ไม่ใช่ใครที่ไหน




Foxcatcher เป็นหนังเกี่ยวกับมวยปล้ำ – กีฬาที่ต้องใช้ร่างกายในการกดทับคู่ต่อสู้ โดยอาศัยทั้งพละกำลัง ไหวพริบ การช่วงชิงจังหวะ ในหนังเราก็จะเห็นฉากการปล้ำที่สนุกและดุเดือดอยู่หลายฉาก

แต่น่าแปลกที่ฉากการปล้ำหรือการต่อสู้ที่ดุเดือดกว่าฉากอื่นๆกลับเป็นฉากยืนส่องกระจก นั่นหมายถึงการต่อสู้กับคู่แข่งที่รับมือด้วยยากที่สุด ซึ่งก็คือตัวเอง

Foxcatcher สร้างจากเรื่องจริงของสองพี่น้องนักมวยปล้ำผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เดฟ (มาร์ค รัฟฟาโล่) และ มาร์ค (แชนนิง ทาทัม) ชูลท์ซ เจ้าของรางวัลเหรียญทองโอลิมปิกและแชมป์มวยปล้ำโลก 2 สมัย ซึ่งต่อมามาร์ค ชูลท์ซ ผู้น้อง ได้รับการทาบทามจากจอห์น ดู ปองท์ มหาเศรษฐีรายใหญ่ ให้มาร่วมทีม Foxcatcher โดยจอห์นจะสนับสนุนด้านการฝึกซ้อม รวมไปถึงเงินและที่อยู่อาศัย ในเงื่อนไขที่ว่า มาร์คต้องคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกสมัยหน้ามาครองให้ได้ - นำพามาซึ่งเหตุการณ์สุดสะเทือนใจ และเป็นที่จดจำได้มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการกีฬาสหรัฐ

แม้หนังจะจั่วหัวเอาไว้ว่าสร้างจากเรื่องจริง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ช่างเป็นเรื่องจริงที่มีองค์ประกอบหลายๆอย่างที่แสนจะเหมาะเจาะกับรสนิยมของกรรมการออสการ์ ราวกับมันถูกสร้างขึ้นเพื่อปูทางไปสู่รางวัลดังกล่าวอย่างไงอย่างนั้นแหละ (อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เป็นเพียงการคาดเดา) ทั้งการพลิกบทบาทของนักแสดง ปมปัญหาดราม่า บรรยากาศตึงเครียด และเนื้อหาที่มีความเชื่อมโยงกับเรื่องชาติ ซึ่งสามารถมองไปถึงความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงของสหรัฐและโซเวียต (ภายใต้ยุคของสงครามเย็น) การฟาดฟันหวังเอาชนะกันในทุกๆเรื่อง ซึ่งรวมถึงการเป็นเจ้าเหรียญทองโอลิมปิกด้วย

แต่แม้ว่าหนังเหมือนจะพูดเรื่องที่โคตรใหญ่และไกลตัว แท้จริงแล้วจุดหลักของมัน คือเพียงต้องการเจาะลึกเข้าไปภายในจิตใจของตัวละครหลักทั้งสาม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีปมข้างในที่ชวนให้คนดูอย่างเราอึดอัด - ถ่ายทอดออกมาผ่านสีหน้า ความเงียบงัน และการแสดงออกที่น้อยแต่มากในทางความรู้สึก หนังพาเราดำดิ่งลงไปจนเจอกับเนื้อร้ายที่อาศัยอยู่ในก้นบึ้งของตัวละครแต่ละตัว เนื้อร้ายที่สุดท้ายก็ระเบิดในฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง กลายเป็นโศกนาฏกรรมดังที่เราเห็น

มาร์ค ชูลท์ซ และจอห์น ดู ปองค์ คือคนที่มีปมภายในใจคล้ายๆกัน

พวกเขาต้องการเป็นที่ยอมรับ – มาร์คต้องการจะหลุดพ้นจากเงาของเดฟ พี่ชาย ผู้ซึ่งเป็นหลายๆอย่างในชีวิตเขา ทั้งพี่ชาย เพื่อน และโค้ช  เขาจึงพิสูจน์ตัวเองด้วยการขอแยกออกมาอยู่กับทีม Foxcatcher ของจอห์น เพื่อทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาครองได้โดยไม่ต้องมีพี่ชายมาคอยช่วย  และเพื่อทำให้คนอเมริกันยอมรับในตัวเขาในฐานะของการเป็น ‘มาร์ค ชูลท์ซ’ ไม่ใช่ ‘น้องชายของเดฟ ชูลท์ซ’

ส่วนจอห์น  เขาเกิดและเติบโตในตระกูลเก่าแก่ มีชื่อเสียง และมีหน้ามีตาในสังคม จอห์นชื่นชอบในกีฬามวยปล้ำ แม้ว่าแม่ของเขาจะมองว่าเป็นกีฬาชั้นต่ำ ไม่คู่ควรกับตระกูลชั้นสูงของตน (กีฬาที่นางชอบจึงเป็นอะไรที่แลดู ‘ชั้นสูง’ อย่างเช่นกีฬาขี่ม้า) จอห์นได้ชักชวนมาร์คให้มาร่วมทีม Foxcatcher เพื่อหวังจะทำให้แม่ของของเขาเห็นว่า เขาสามารถประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงได้ โดยใช้มวยปล้ำเป็นทางผ่าน และเพียงเพื่อหวังให้แม่ยอมรับในตัวเขาเสียที

ถามว่าทำไมจอห์นถึงเลือกที่จะดึงมาร์คมาร่วมทีมแทนที่จะเป็นเดฟ – ต้องบอกก่อนว่า ความพยายามแรกของจอห์นคือการดึงทั้งคู่มาร่วมทีมนั่นแหละ แต่เดฟไม่เอาด้วย จึงเหลือเพียงมาร์ค – คิดแบบง่ายๆ จอห์นอาจจะเห็นในความทะเยอทะยานของมาร์ค เห็นไฟที่ต้องการเอาชนะ ลุกโชติช่วงในแววตาของมาร์ค หรืออาจเป็นไปได้ว่า เขามองเห็นตัวเองในตัวมาร์ค – จอห์นจึงทุ่มทุกอย่างให้แก่มาร์ค ทั้งเงิน ทั้งใจ เพื่อให้มาร์คมุ่งมั่นฝึกซ้อมในการไปชิงเหรียญโอลิมปิกสมัยหน้า จอห์นบอกว่านี่คือการลงทุนเพื่อประเทศชาติ

แต่สุดท้ายแล้วเราก็ได้เห็นว่า เขาไม่ได้ทำเพื่อชาติ หรือเพื่อมาร์คหรอก เขาทำเพื่อตัวเองล้วนๆ

จอห์นไม่ได้อยากให้คนทั้งชาติยอมรับในตัวเขาเลย เขาแค่อยากให้คนๆเดียวเท่านั้นมองเห็นในความพยายามของเขาบ้าง ซึ่งก็คือแม่ของเขาเอง - เช่นเดียวกับมาร์ค ต่อให้เขาได้เหรียญทองเป็นร้อยเป็นพันเหรียญ มันคงไม่มีค่าและความหมายเลย นั่นเพราะการมีตัวตนของเดฟ คอยกดทับตัวเขาอยู่

เรื่องการกดทับนี่พาลให้นึกถึงการแข่งมวยปล้ำได้เหมือนกันนะ –  ที่คนที่เหนือกว่าจะกดทับคนที่อ่อนแอกว่า และก็กลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด

แต่คนที่กดจอห์นอยู่อาจไม่ใช่แม่ของเขา และคนที่กดมาร์คอยู่ก็คงไม่ใช่เดฟ  - ผมว่า คือตัวของพวกเขาเองนั่นแหละ (เหมือนที่ผมเกริ่นไปแล้วในตอนต้น) – ซึ่งหากได้ดูหนังแล้ว เราก็คงประจักษ์ชัดว่า ในท้ายที่สุด พวกเขาแพ้หรือชนะ

แต่ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร สิ่งที่น่าคิดคือแล้วต่อจากนั้นล่ะ เราจะมีชีวิตอย่างไรต่อ

มีชีวิตอยู่ เพื่อเรียกร้องการยอมรับจากคนรอบข้าง หรือคนข้างๆ

หรือคนที่ยืนตรงข้ามเรา ในกระจก



PAGE | โตแล้ว จะดูหนังเรื่องอะไรก็ได้ | www.facebook.com/tohlaew

ยิ้มยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่