สวัสดีครับ
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1178-1179 ประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2557 และ 2 มกราคม 2558
“ม็อคค่าปาท่องโก๋” ฉบับนี้ ขอนำท่านไปพูดคุยกับ Producer ที่เป็นนักแสดงนำและผู้กำกับของหนัง The One Ticket “ตัวพ่อ…เรียกพ่อ” ซึ่งก่อนหน้านี้เราจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับที่เป็นนักแสดงนำและผู้ช่วยผู้กำกับของหนัง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” และ “ฤดูที่ฉันเหงา” นั่นคือ “แดน” วรเวช ดานุวงศ์ และ “ปอย” ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา
Mr. Coffee : ที่มาของชื่อหนัง
ปอย : ตัวพ่อ…เรียกพ่อ คือพ่อคนไหนที่คิดว่าตัวเองเจ๋ง เลี้ยงลูกแบบสุดยอด ถ้าได้มาเจอ “โป้ง” ที่แดนเล่น ก็จะยังต้องนับถือเลยว่าเป็นสุดยอดของพ่อ ตัวพ่อจริงๆ
แดน : ส่วน The One Ticket มาตอบโจทย์ภารกิจอะไรบางอย่าง ตั๋วใบนี้มันจะมาเปลี่ยนชีวิตของตัวพ่อไปในทิศทางไหน ก็อยากให้คนติดตาม
Mr. Coffee : แนวหนังเรื่องนี้ และส่วนผสมของหนัง
แดน : ตั้งต้นทีม Lasercat ของเรา เป้าหมายคือ Comedy หนักๆ เลยครับ รวมทั้งหนังในอนาคตของเราด้วย คราวนี้จากหนังที่ผ่านๆ มา เราตั้งใจว่าเรื่องนี้เราจะมา Comedy กันให้เต็มที่ดีกว่า ให้มันสะใจกันไปเลย แต่หนัง Draft แรกที่เราตัดมา กลับพบว่ามันมี Drama และความอบอุ่นผสมเข้ามาอยู่มาก ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่คาดคิดมาก่อน นั่นคือความสัมพันธ์ของพ่อลูก ตอนเราเล่นเองยังไม่รู้สึกขนาดนี้เลย จนพบว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นคือความรักของพ่อลูกและครอบครัว ทั้งๆ ที่เราตั้งใจจะทำหนังวัยรุ่นที่ Comedy ที่สุดที่เราเคยทำมาด้วยซ้ำ กวนที่สุด จี๊ดที่สุด แต่กลายเป็นมี Drama ด้วย ซึ่งก็ดีครับ
ปอย : คือคุณจะสนุกกับ Comedy อย่างเต็มรูปแบบ แต่หนังจะพาไปให้อินกับ Drama ด้วย
แดน : หนังตลกอย่างเดียวไม่ใช่เป้าหมายของ Lasercat อยู่แล้วครับ ที่จริงเราตั้งเป้าไว้ก่อนว่าหนังจะให้อะไรกับคนดู อย่างเรื่องนี้ก็คือ คนเราถ้าตั้งใจจะทำอะไรก็ทำให้สำเร็จ แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำหรือไม่ทำ ซึ่งเราจะกุม Line ของหนังนี้ไว้ แต่จะเอามาทำอย่างไรให้มันเบาลง แต่แข็งแรงคือ ดูง่าย เข้าใจง่าย ไม่บ่นว่า มันลึกไป จับต้องได้ง่าย เหมือนเราเรียนในห้องเรียน มีอาจารย์สองคน คนหนึ่งสอนเข้มข้น เครียด แต่อีกคนสอนสนุกเข้าใจง่าย แต่ได้ความรู้เหมือนกัน เป็นวิธีการบอกเล่าอีกแบบหนึ่งของพวกเราครับ
Mr. Coffee : การขึ้นมานั่งเป็นผู้กำกับเองเป็นครั้งแรกของ “ปอย” แตกต่างจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับอย่างไรบ้าง
ปอย : จริงๆ ผมก็ขึ้นมาเร็วเหมือนกันครับ คือทำหนังใหญ่มาสองเรื่อง แต่การที่ผมขลุกอยู่กับแดนมาตลอดทั้งเรื่องการกำกับและบท ทำให้มีความมั่นใจได้มากขึ้น และทีมงานก็เคยทำงานร่วมกันมาก่อน และส่วนตัวคือเป็นบทใกล้ตัวที่สุด เอาจากความคิดของผมเลย ผมเลี้ยงลูกคนเดียวและมองในมุมบวกตลอด และมั่นใจว่าหนังพ่อลูกไม่จำเป็นต้อง Drama อย่างเดียว สนุกสนานก็ได้ เหมือนผมกับลูกสาว สนุกกันได้ตลอด พอดีได้ Idea เกี่ยวกับตัว เลยไปเสนอแดน แล้วก็เลยได้มาทำ แต่เราเตรียมงานกันเยอะและพร้อม พอไปถ่ายจริงจึงไม่ได้กังวลอะไรครับ
แดน : ในทีมงานของผม ปอยจะเป็นคนรับทุกอย่างทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะมุมดี มุมเสีย เขาไม่ใช่ผู้ช่วยแบบที่เราเรียกกันว่า ผู้ช่วยหนึ่ง แต่เป็นคนที่ช่วยผมคิดมาตลอด เราทำงานกันมาตั้งแต่งานละคร งานฟรี งานการกุศลต่างๆ
ปอย: ทำให้ได้ลองงานหลายๆ อย่างครับ ผมสนุกกับงานมาก
แดน : ทำงานด้วยกันมานานมากครับ คราวนี้ผมอยากได้ Idea จากเขา เพราะเขาเป็นคน Idea เยอะ และคอยช่วยเหลือผมในวันที่ผมล้ามากๆ มาตลอด และเป็นคนที่มี Idea มากมายมาให้ผมหยิบจับเลือกมาใช้ได้เสมอ เขาเป็นคนอ่านการ์ตูนเยอะ ดูหนังเยอะ
Mr. Coffee : การเล่นบท พ่อ ถือว่าไกลตัวไปหรือไม่ แล้วแดนใช้อะไรเป็นหลักอ้างอิง
แดน : ไม่ไกลตัวเลยครับ ผมเป็นคนที่อินกับเรื่องครอบครัวอยู่แล้ว ที่บ้านสนิทกันครับ กอดกันตลอด ทำให้ผมนึกถึงตอนที่พ่อกอดผม แม่ลูบหัวผม มันรู้สึกอย่างไร มือที่เขาสัมผัสเรา และเราก็ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ลงไปในหนังเรื่องนี้ ในการเล่นกับลูก ซึ่งผมจะเป็นคนเล่นบทนี้ตั้งแต่แรกเลย
Mr. Coffee : การเป็น Producer ที่แสดงไปด้วย ยากง่ายแค่ไหน
แดน : มันง่ายกว่ากำกับไปเล่นไปแน่ๆ ครับ (หัวเราะ) เล่นไปดูดอลลี่ไปมันไม่ไหวครับ เคยมาแล้ว (หัวเราะ) แต่คราวนี้โอเคครับ ที่มาเป็น Producer เต็มตัวในวันนี้เพราะผมรู้สึกว่า ทีมผมค่อนข้างแข็งแรงแล้ว และรู้ทุกสิ่งที่เราต้องการ รู้ว่าเราทำงานกันแบบไหน ผมทำหนังมาสองเรื่อง ไม่เคยมีโอกาสแวบไปนอนเลยครับ แต่เรื่องนี้ทำได้ (หัวเราะ)
ปอย: แต่บางครั้งที่ผมกำกับแล้วมันอาจจะเลยเถิดไป ก็จะมีแดนเข้ามาคุยกัน
แดน : เหมือนทำงานตาม Pre-Production จบบนโต๊ะยังไงก็ตามนั้น และแน่นอน ผมเข้าใจในมุมผู้กำกับว่า เติมตรงนั้นตรงนี้หน่อยดีไหม แต่ผมก็บอกว่า เอาตามบทดีกว่า
Mr. Coffee : แล้วทำไมถึงไม่ใช้การ กำกับร่วมกันครับ
แดน : กลัวจะต่อยกันครับ (หัวเราะ)
ปอย: จริงๆ วิธีการเล่าเรื่องของเรื่องนี้มันเป็น Comics ครับ แต่อยู่ในโครงสร้างที่เป็นของ Lasercat ของแดนอยู่แล้ว
แดน : มันเป็นสไตล์ของเขาครับ วิธีเล่าแบบของเขา ดังนั้นผมมาเป็น Producer เปอร์เซ็นต์ที่จะทะเลาะกันมันน้อยกว่าครับ (หัวเราะ)
Mr. Coffee : หนังเรื่องนี้เป็นหนังในแนวทางของ แดน อยู่หรือไม่
แดน : คือมันจะเป็น Lasercat ครับ ผมว่า คำว่าหนังของแดน เป็นเรื่องของสไตล์ของมุกครับ ที่คนเราจะรับรู้ได้ว่า จังหวะจะเป็นแบบนี้ ซึ่งที่จริงมันเป็นจังหวะของพวกเราครับ
ปอย: คือมันเป็นมาตั้งนานแล้วครับ ตั้งแต่ “คืนวันเสาร์ ถึงเช้าวันจันทร์” แล้ว เป็นจังหวะของทีมโดยรวมมากกว่า
แดน : แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้มันจะมีจังหวะแบบนั้นอยู่ในหนังครับ แต่มันจะมีความหวือหวาตามสไตล์ของปอย ซึ่งคนจะรับรู้ได้ว่าใครกำกับ ใครทำ ผมเชื่อว่าในเรื่องต่อๆ ไป คนจะเริ่มแยกออกได้มากขึ้นว่าสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ จะเป็นอย่างไร
Mr. Coffee : เห็นว่าหนังมีเรื่องราวของมวยด้วย เราจะได้เห็นอะไรคล้ายๆ ใน แสบสนิทฯ หรือไม่
แดน : ไม่เหมือนเลยครับ จะเป็นสไตล์ของพวกเรามากกว่า ผมบอกทีมเสมอว่า พวกเราต้องพัฒนา และการ Reference งาน ผมจะ Reference จากงานเก่าของตัวเองเสมอครับ ผมเป็นคน Comment งานตัวเองด้วยครับ และจะบอกทีมเสมอว่า ถ้าทำแบบนี้ จะเจออะไร ผลจะเป็นอย่างไร ผิดพลาดอย่างไร ดังนั้น งานต่อไปอย่าให้เกิด นั่นคือหน้าที่ของผมในฐานะ Producer ที่จะต้องหาอะไรก็ได้มาเพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก งานไหนที่ต้องเสี่ยงต้องลอง ผมจะออกไปซัดมาก่อน สัตว์ เด็ก Effect สลิง เราเจอมาหมดแล้วครับ
Mr. Coffee : คิดอย่างไรกับการที่มีคนมองว่าแดนทำหนังออกมาคล้ายหนังพี่ยอร์ช แล้วมันจะแตกต่างออกไปหรือไม่อย่างไร
แดน : ผมเชื่อว่าวันหนึ่งทุกคนจะรู้ว่าเราคืออะไรครับ และเราไม่ได้คิดถึงความแตกต่างด้วยนะครับ เพราะว่าเราก็เป็นเรา เพราะเรื่องนี้ก็เคยได้ยินมาอยู่แล้ว และเราก็คุยกันเสมอว่า อันนี้มันเหมือนเขาหรือเปล่า แต่ผมมองว่าทำอย่างที่เป็นเราดีกว่า สักวันหนึ่งเขาจะต้องรู้ว่าเราเป็นอะไร ผมแค่มีความสุขกับสิ่งที่ผมทำ ซึ่งจริงๆ ผมก็เอาสิ่งที่คนเขาบอกว่าเหมือนมาถอดสลักดูเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกแอนตี้กับคำพูดนี้นะ เพราะผมเองก็โตมากับพี่ยอร์ช ตั้งแต่แสบสนิทฯ และเราก็สนิทกัน คุยกันก็แชร์เรื่องจังหวะกันตลอด ผมยกให้เขาเป็นครูผมคนหนึ่งเลย ผมนับถือเขา เขาเป็นพี่ชายที่เก่ง
Mr. Coffee : งานแนวอื่น เช่น Series ละคร ละครเวที MV โฆษณา
แดน : Series MV หนัง มีแน่ครับ ทำอยู่แล้วก็มี ในอนาคตก็คงจะเข้าไปดูพวกโฆษณา
Mr. Coffee : แล้วงานด้านการแสดงล่ะครับ เมื่อก่อนก็เคยเห็นปอยเล่นละคร
ปอย : คือถ้าผมเอามวลสารที่อยู่ในตัวออกไปได้ ทั้งๆ ที่จริงๆ เมื่อก่อนผมก็อ้วนและผมก็เล่นนะครับ แต่อยู่ดีๆ มันก็หายไปเอง บางครั้งตอนกำกับเห็นคนอื่นเล่น ก็รู้สึกคันเหมือนกัน อยากอยู่ครับ ขอวิงวอนผู้จัดหลายๆ ท่าน (หัวเราะ) จริงๆ คือไปทำเบื้องหลังซะเยอะครับ
Mr. Coffee : แผนในอนาคต / แนวหนังที่อยากกำกับ
แดน : การกำกับผมไม่มีอยู่ในหัวเลยครับ คือผมกำกับให้ชิ้นงาน ตอบโจทย์จินตนาการของเราให้เร็วที่สุด ตอนนี้ยังไม่ถึง ตั้งแต่เรื่องแรก เรื่องที่สอง มีงานกึ่งการทดลองอยู่ เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ หลายคนเห็นว่า จากคืนวันเสาร์ฯ ถึง ฤดูที่ฉันเหงา สไตล์หนังจะต่างกันชัดเจนมาก นั่นคือการหาคำตอบของเรา แต่อย่างน้อยการหาทดลอง การหาคำตอบของผมต้องไม่สร้างความไม่สบายใจให้กับสตูดิโอ (หัวเราะ) ด้วยรายได้ ซึ่งเราก็รับรู้อยู่แล้วว่าจะอยู่แถวๆ นี้ และต้องพร้อมรับทั้งคำติคำชม แต่เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร เพื่อตอบคำถามอะไรของเรา
ปอย : ของผมในหัวก็มีมาเรื่อยครับ มี Idea เยอะ ตอนทำเรื่องนี้ก็มี Idea ว่าจะไปทาง Dark ไปทางอื่นไปเรื่อย แต่แดนบอกว่าทำไมพี่ไม่ทำสิ่งที่ใกล้ตัวที่คิดไว้แต่แรก คือหนังพ่อลูก สุดท้ายก็ได้ทำ เรื่องใหม่ๆ ก็ยังมีโครงการในหัวเรื่อยๆ อยู่ครับ
Mr. Coffee : แล้วผลงานเพลงล่ะครับ
แดน : ส่วนใหญ่เป็นเพลงประกอบหนัง เพลงประกอบละคร ส่วนตัวผมอิ่มตัวมากๆ แล้วครับกับวงการเพลง คือคอนเสิร์ต D2B ที่ผ่านมาสรุปความฝันของผมได้เรียบร้อยครับ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับชีวิต Happy มากๆ แล้วครับ ทั้งเรื่องครอบครัว เพื่อน ความรัก การงาน บริษัทฯ เราก็ไม่ต้องการเป็นบริษัทฯ ที่ใหญ่โต ไม่ได้ต้องการเป็นอภิมหาเศรษฐี (หัวเราะ) เรารับงานที่ทำแล้วรู้สึกสนุก เพราะเราไม่ได้ทำหนังที่ Model ขนาด XL ด้วย Budget ที่ได้มาแทบจะเท่าหนังอินดี้ แต่เราได้เปรียบเพราะเราทำหนัง Mass ซึ่งเมื่อเทียบกับสตูดิโอใหญ่ๆ ที่มีงบในระดับที่เราอิจฉา แต่ว่าเราจะทำให้หนังให้เทียบเท่ากับที่เขาทำๆ กัน ผมที่หนังทุกเรื่องของผมไม่มีใครมาต่อว่าในด้านที่ ทำไม Production แย่
ปอย : ใช่ครับ ต่อให้เป็นงานที่เล็กๆ แต่เราจะไม่ให้เกิดเรื่องพวกนี้ ไม่ให้ใครมาต่อว่าเราได้
แดน : ทำแต่ละงานแล้วแทบไม่เหลือกำไรเลยครับ ทำแล้วไม่ได้อะไรเลยก็มี แต่เป็นความสุขของพวกเราครับ เรารักการเสพงานตัวเอง จะรู้สึก Fail มากถ้างานออกมาแย่
Mr. Coffee : แล้วถ้ามีสตูดิโอรายใหญ่มาให้เงินทุนเยอะ แดนจะรับงานไหมครับ
แดน : มันไม่ใช่เรื่องของเงินครับ ไม่ใช่เรื่องบทด้วย แต่อยู่ที่ว่าเขาเชื่อมั่นในวิถีของเราแค่ไหน คือผมเข้าใจสตูดิโอนะครับ เขาจะมีความคิด มีสูตรของเขา ว่าแบบนี้ขายได้ แบบนี้ชัวร์ ซึ่งผมรักในเสี่ยเจียง รักในสหมงคลฟิล์มอยู่อย่างหนึ่งคือ เขาเปิดโอกาสให้ผู้กำกับหนังที่มี Idea เป็นของตัวเองได้ทำหนัง ไม่ยุ่งอะไรเลย
ปอย : ใช่ครับ แค่แดนบอกว่า ผมเป็นผู้กำกับ แดนเป็น Producer เขาก็โอเค
แดน : คือเขาเชื่อมั่นในผมครับ เชื่อว่าผมจะเอาเงินเขาไปยำ เขาบอกว่าไม่ต้องทำเงินให้เป็นร้อยล้านก็ได้ แค่อย่าให้ใครมาด่าได้ว่าหนังไทยมันห่วย วงการหนังไทยมันห่วย เขาจะไม่ชอบผู้กำกับแบบนั้น เพราะเขาเป็นคนรักหนังไทยมากครับ ผมรู้สึกว่า ถ้าไม่มีเสี่ยเจียงนะ คนไทยก็คงจะได้ดูหนังอยู่แค่บางประเภท จะไม่มีหนังแปลกๆ
ม็อกค่าปาท่องโก๋ : One Way Ticket {สัมภาษณ์ แดน-วรเวช ปอย-ณภัทร Producer/ผู้กำกับ ตัวพ่อเรียกพ่อ}
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1178-1179 ประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2557 และ 2 มกราคม 2558
“ม็อคค่าปาท่องโก๋” ฉบับนี้ ขอนำท่านไปพูดคุยกับ Producer ที่เป็นนักแสดงนำและผู้กำกับของหนัง The One Ticket “ตัวพ่อ…เรียกพ่อ” ซึ่งก่อนหน้านี้เราจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับที่เป็นนักแสดงนำและผู้ช่วยผู้กำกับของหนัง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” และ “ฤดูที่ฉันเหงา” นั่นคือ “แดน” วรเวช ดานุวงศ์ และ “ปอย” ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา
Mr. Coffee : ที่มาของชื่อหนัง
ปอย : ตัวพ่อ…เรียกพ่อ คือพ่อคนไหนที่คิดว่าตัวเองเจ๋ง เลี้ยงลูกแบบสุดยอด ถ้าได้มาเจอ “โป้ง” ที่แดนเล่น ก็จะยังต้องนับถือเลยว่าเป็นสุดยอดของพ่อ ตัวพ่อจริงๆ
แดน : ส่วน The One Ticket มาตอบโจทย์ภารกิจอะไรบางอย่าง ตั๋วใบนี้มันจะมาเปลี่ยนชีวิตของตัวพ่อไปในทิศทางไหน ก็อยากให้คนติดตาม
Mr. Coffee : แนวหนังเรื่องนี้ และส่วนผสมของหนัง
แดน : ตั้งต้นทีม Lasercat ของเรา เป้าหมายคือ Comedy หนักๆ เลยครับ รวมทั้งหนังในอนาคตของเราด้วย คราวนี้จากหนังที่ผ่านๆ มา เราตั้งใจว่าเรื่องนี้เราจะมา Comedy กันให้เต็มที่ดีกว่า ให้มันสะใจกันไปเลย แต่หนัง Draft แรกที่เราตัดมา กลับพบว่ามันมี Drama และความอบอุ่นผสมเข้ามาอยู่มาก ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่คาดคิดมาก่อน นั่นคือความสัมพันธ์ของพ่อลูก ตอนเราเล่นเองยังไม่รู้สึกขนาดนี้เลย จนพบว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นคือความรักของพ่อลูกและครอบครัว ทั้งๆ ที่เราตั้งใจจะทำหนังวัยรุ่นที่ Comedy ที่สุดที่เราเคยทำมาด้วยซ้ำ กวนที่สุด จี๊ดที่สุด แต่กลายเป็นมี Drama ด้วย ซึ่งก็ดีครับ
ปอย : คือคุณจะสนุกกับ Comedy อย่างเต็มรูปแบบ แต่หนังจะพาไปให้อินกับ Drama ด้วย
แดน : หนังตลกอย่างเดียวไม่ใช่เป้าหมายของ Lasercat อยู่แล้วครับ ที่จริงเราตั้งเป้าไว้ก่อนว่าหนังจะให้อะไรกับคนดู อย่างเรื่องนี้ก็คือ คนเราถ้าตั้งใจจะทำอะไรก็ทำให้สำเร็จ แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำหรือไม่ทำ ซึ่งเราจะกุม Line ของหนังนี้ไว้ แต่จะเอามาทำอย่างไรให้มันเบาลง แต่แข็งแรงคือ ดูง่าย เข้าใจง่าย ไม่บ่นว่า มันลึกไป จับต้องได้ง่าย เหมือนเราเรียนในห้องเรียน มีอาจารย์สองคน คนหนึ่งสอนเข้มข้น เครียด แต่อีกคนสอนสนุกเข้าใจง่าย แต่ได้ความรู้เหมือนกัน เป็นวิธีการบอกเล่าอีกแบบหนึ่งของพวกเราครับ
Mr. Coffee : การขึ้นมานั่งเป็นผู้กำกับเองเป็นครั้งแรกของ “ปอย” แตกต่างจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับอย่างไรบ้าง
ปอย : จริงๆ ผมก็ขึ้นมาเร็วเหมือนกันครับ คือทำหนังใหญ่มาสองเรื่อง แต่การที่ผมขลุกอยู่กับแดนมาตลอดทั้งเรื่องการกำกับและบท ทำให้มีความมั่นใจได้มากขึ้น และทีมงานก็เคยทำงานร่วมกันมาก่อน และส่วนตัวคือเป็นบทใกล้ตัวที่สุด เอาจากความคิดของผมเลย ผมเลี้ยงลูกคนเดียวและมองในมุมบวกตลอด และมั่นใจว่าหนังพ่อลูกไม่จำเป็นต้อง Drama อย่างเดียว สนุกสนานก็ได้ เหมือนผมกับลูกสาว สนุกกันได้ตลอด พอดีได้ Idea เกี่ยวกับตัว เลยไปเสนอแดน แล้วก็เลยได้มาทำ แต่เราเตรียมงานกันเยอะและพร้อม พอไปถ่ายจริงจึงไม่ได้กังวลอะไรครับ
แดน : ในทีมงานของผม ปอยจะเป็นคนรับทุกอย่างทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะมุมดี มุมเสีย เขาไม่ใช่ผู้ช่วยแบบที่เราเรียกกันว่า ผู้ช่วยหนึ่ง แต่เป็นคนที่ช่วยผมคิดมาตลอด เราทำงานกันมาตั้งแต่งานละคร งานฟรี งานการกุศลต่างๆ
ปอย: ทำให้ได้ลองงานหลายๆ อย่างครับ ผมสนุกกับงานมาก
แดน : ทำงานด้วยกันมานานมากครับ คราวนี้ผมอยากได้ Idea จากเขา เพราะเขาเป็นคน Idea เยอะ และคอยช่วยเหลือผมในวันที่ผมล้ามากๆ มาตลอด และเป็นคนที่มี Idea มากมายมาให้ผมหยิบจับเลือกมาใช้ได้เสมอ เขาเป็นคนอ่านการ์ตูนเยอะ ดูหนังเยอะ
Mr. Coffee : การเล่นบท พ่อ ถือว่าไกลตัวไปหรือไม่ แล้วแดนใช้อะไรเป็นหลักอ้างอิง
แดน : ไม่ไกลตัวเลยครับ ผมเป็นคนที่อินกับเรื่องครอบครัวอยู่แล้ว ที่บ้านสนิทกันครับ กอดกันตลอด ทำให้ผมนึกถึงตอนที่พ่อกอดผม แม่ลูบหัวผม มันรู้สึกอย่างไร มือที่เขาสัมผัสเรา และเราก็ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ลงไปในหนังเรื่องนี้ ในการเล่นกับลูก ซึ่งผมจะเป็นคนเล่นบทนี้ตั้งแต่แรกเลย
Mr. Coffee : การเป็น Producer ที่แสดงไปด้วย ยากง่ายแค่ไหน
แดน : มันง่ายกว่ากำกับไปเล่นไปแน่ๆ ครับ (หัวเราะ) เล่นไปดูดอลลี่ไปมันไม่ไหวครับ เคยมาแล้ว (หัวเราะ) แต่คราวนี้โอเคครับ ที่มาเป็น Producer เต็มตัวในวันนี้เพราะผมรู้สึกว่า ทีมผมค่อนข้างแข็งแรงแล้ว และรู้ทุกสิ่งที่เราต้องการ รู้ว่าเราทำงานกันแบบไหน ผมทำหนังมาสองเรื่อง ไม่เคยมีโอกาสแวบไปนอนเลยครับ แต่เรื่องนี้ทำได้ (หัวเราะ)
ปอย: แต่บางครั้งที่ผมกำกับแล้วมันอาจจะเลยเถิดไป ก็จะมีแดนเข้ามาคุยกัน
แดน : เหมือนทำงานตาม Pre-Production จบบนโต๊ะยังไงก็ตามนั้น และแน่นอน ผมเข้าใจในมุมผู้กำกับว่า เติมตรงนั้นตรงนี้หน่อยดีไหม แต่ผมก็บอกว่า เอาตามบทดีกว่า
Mr. Coffee : แล้วทำไมถึงไม่ใช้การ กำกับร่วมกันครับ
แดน : กลัวจะต่อยกันครับ (หัวเราะ)
ปอย: จริงๆ วิธีการเล่าเรื่องของเรื่องนี้มันเป็น Comics ครับ แต่อยู่ในโครงสร้างที่เป็นของ Lasercat ของแดนอยู่แล้ว
แดน : มันเป็นสไตล์ของเขาครับ วิธีเล่าแบบของเขา ดังนั้นผมมาเป็น Producer เปอร์เซ็นต์ที่จะทะเลาะกันมันน้อยกว่าครับ (หัวเราะ)
Mr. Coffee : หนังเรื่องนี้เป็นหนังในแนวทางของ แดน อยู่หรือไม่
แดน : คือมันจะเป็น Lasercat ครับ ผมว่า คำว่าหนังของแดน เป็นเรื่องของสไตล์ของมุกครับ ที่คนเราจะรับรู้ได้ว่า จังหวะจะเป็นแบบนี้ ซึ่งที่จริงมันเป็นจังหวะของพวกเราครับ
ปอย: คือมันเป็นมาตั้งนานแล้วครับ ตั้งแต่ “คืนวันเสาร์ ถึงเช้าวันจันทร์” แล้ว เป็นจังหวะของทีมโดยรวมมากกว่า
แดน : แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้มันจะมีจังหวะแบบนั้นอยู่ในหนังครับ แต่มันจะมีความหวือหวาตามสไตล์ของปอย ซึ่งคนจะรับรู้ได้ว่าใครกำกับ ใครทำ ผมเชื่อว่าในเรื่องต่อๆ ไป คนจะเริ่มแยกออกได้มากขึ้นว่าสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ จะเป็นอย่างไร
Mr. Coffee : เห็นว่าหนังมีเรื่องราวของมวยด้วย เราจะได้เห็นอะไรคล้ายๆ ใน แสบสนิทฯ หรือไม่
แดน : ไม่เหมือนเลยครับ จะเป็นสไตล์ของพวกเรามากกว่า ผมบอกทีมเสมอว่า พวกเราต้องพัฒนา และการ Reference งาน ผมจะ Reference จากงานเก่าของตัวเองเสมอครับ ผมเป็นคน Comment งานตัวเองด้วยครับ และจะบอกทีมเสมอว่า ถ้าทำแบบนี้ จะเจออะไร ผลจะเป็นอย่างไร ผิดพลาดอย่างไร ดังนั้น งานต่อไปอย่าให้เกิด นั่นคือหน้าที่ของผมในฐานะ Producer ที่จะต้องหาอะไรก็ได้มาเพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก งานไหนที่ต้องเสี่ยงต้องลอง ผมจะออกไปซัดมาก่อน สัตว์ เด็ก Effect สลิง เราเจอมาหมดแล้วครับ
Mr. Coffee : คิดอย่างไรกับการที่มีคนมองว่าแดนทำหนังออกมาคล้ายหนังพี่ยอร์ช แล้วมันจะแตกต่างออกไปหรือไม่อย่างไร
แดน : ผมเชื่อว่าวันหนึ่งทุกคนจะรู้ว่าเราคืออะไรครับ และเราไม่ได้คิดถึงความแตกต่างด้วยนะครับ เพราะว่าเราก็เป็นเรา เพราะเรื่องนี้ก็เคยได้ยินมาอยู่แล้ว และเราก็คุยกันเสมอว่า อันนี้มันเหมือนเขาหรือเปล่า แต่ผมมองว่าทำอย่างที่เป็นเราดีกว่า สักวันหนึ่งเขาจะต้องรู้ว่าเราเป็นอะไร ผมแค่มีความสุขกับสิ่งที่ผมทำ ซึ่งจริงๆ ผมก็เอาสิ่งที่คนเขาบอกว่าเหมือนมาถอดสลักดูเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกแอนตี้กับคำพูดนี้นะ เพราะผมเองก็โตมากับพี่ยอร์ช ตั้งแต่แสบสนิทฯ และเราก็สนิทกัน คุยกันก็แชร์เรื่องจังหวะกันตลอด ผมยกให้เขาเป็นครูผมคนหนึ่งเลย ผมนับถือเขา เขาเป็นพี่ชายที่เก่ง
Mr. Coffee : งานแนวอื่น เช่น Series ละคร ละครเวที MV โฆษณา
แดน : Series MV หนัง มีแน่ครับ ทำอยู่แล้วก็มี ในอนาคตก็คงจะเข้าไปดูพวกโฆษณา
Mr. Coffee : แล้วงานด้านการแสดงล่ะครับ เมื่อก่อนก็เคยเห็นปอยเล่นละคร
ปอย : คือถ้าผมเอามวลสารที่อยู่ในตัวออกไปได้ ทั้งๆ ที่จริงๆ เมื่อก่อนผมก็อ้วนและผมก็เล่นนะครับ แต่อยู่ดีๆ มันก็หายไปเอง บางครั้งตอนกำกับเห็นคนอื่นเล่น ก็รู้สึกคันเหมือนกัน อยากอยู่ครับ ขอวิงวอนผู้จัดหลายๆ ท่าน (หัวเราะ) จริงๆ คือไปทำเบื้องหลังซะเยอะครับ
Mr. Coffee : แผนในอนาคต / แนวหนังที่อยากกำกับ
แดน : การกำกับผมไม่มีอยู่ในหัวเลยครับ คือผมกำกับให้ชิ้นงาน ตอบโจทย์จินตนาการของเราให้เร็วที่สุด ตอนนี้ยังไม่ถึง ตั้งแต่เรื่องแรก เรื่องที่สอง มีงานกึ่งการทดลองอยู่ เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ หลายคนเห็นว่า จากคืนวันเสาร์ฯ ถึง ฤดูที่ฉันเหงา สไตล์หนังจะต่างกันชัดเจนมาก นั่นคือการหาคำตอบของเรา แต่อย่างน้อยการหาทดลอง การหาคำตอบของผมต้องไม่สร้างความไม่สบายใจให้กับสตูดิโอ (หัวเราะ) ด้วยรายได้ ซึ่งเราก็รับรู้อยู่แล้วว่าจะอยู่แถวๆ นี้ และต้องพร้อมรับทั้งคำติคำชม แต่เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร เพื่อตอบคำถามอะไรของเรา
ปอย : ของผมในหัวก็มีมาเรื่อยครับ มี Idea เยอะ ตอนทำเรื่องนี้ก็มี Idea ว่าจะไปทาง Dark ไปทางอื่นไปเรื่อย แต่แดนบอกว่าทำไมพี่ไม่ทำสิ่งที่ใกล้ตัวที่คิดไว้แต่แรก คือหนังพ่อลูก สุดท้ายก็ได้ทำ เรื่องใหม่ๆ ก็ยังมีโครงการในหัวเรื่อยๆ อยู่ครับ
Mr. Coffee : แล้วผลงานเพลงล่ะครับ
แดน : ส่วนใหญ่เป็นเพลงประกอบหนัง เพลงประกอบละคร ส่วนตัวผมอิ่มตัวมากๆ แล้วครับกับวงการเพลง คือคอนเสิร์ต D2B ที่ผ่านมาสรุปความฝันของผมได้เรียบร้อยครับ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับชีวิต Happy มากๆ แล้วครับ ทั้งเรื่องครอบครัว เพื่อน ความรัก การงาน บริษัทฯ เราก็ไม่ต้องการเป็นบริษัทฯ ที่ใหญ่โต ไม่ได้ต้องการเป็นอภิมหาเศรษฐี (หัวเราะ) เรารับงานที่ทำแล้วรู้สึกสนุก เพราะเราไม่ได้ทำหนังที่ Model ขนาด XL ด้วย Budget ที่ได้มาแทบจะเท่าหนังอินดี้ แต่เราได้เปรียบเพราะเราทำหนัง Mass ซึ่งเมื่อเทียบกับสตูดิโอใหญ่ๆ ที่มีงบในระดับที่เราอิจฉา แต่ว่าเราจะทำให้หนังให้เทียบเท่ากับที่เขาทำๆ กัน ผมที่หนังทุกเรื่องของผมไม่มีใครมาต่อว่าในด้านที่ ทำไม Production แย่
ปอย : ใช่ครับ ต่อให้เป็นงานที่เล็กๆ แต่เราจะไม่ให้เกิดเรื่องพวกนี้ ไม่ให้ใครมาต่อว่าเราได้
แดน : ทำแต่ละงานแล้วแทบไม่เหลือกำไรเลยครับ ทำแล้วไม่ได้อะไรเลยก็มี แต่เป็นความสุขของพวกเราครับ เรารักการเสพงานตัวเอง จะรู้สึก Fail มากถ้างานออกมาแย่
Mr. Coffee : แล้วถ้ามีสตูดิโอรายใหญ่มาให้เงินทุนเยอะ แดนจะรับงานไหมครับ
แดน : มันไม่ใช่เรื่องของเงินครับ ไม่ใช่เรื่องบทด้วย แต่อยู่ที่ว่าเขาเชื่อมั่นในวิถีของเราแค่ไหน คือผมเข้าใจสตูดิโอนะครับ เขาจะมีความคิด มีสูตรของเขา ว่าแบบนี้ขายได้ แบบนี้ชัวร์ ซึ่งผมรักในเสี่ยเจียง รักในสหมงคลฟิล์มอยู่อย่างหนึ่งคือ เขาเปิดโอกาสให้ผู้กำกับหนังที่มี Idea เป็นของตัวเองได้ทำหนัง ไม่ยุ่งอะไรเลย
ปอย : ใช่ครับ แค่แดนบอกว่า ผมเป็นผู้กำกับ แดนเป็น Producer เขาก็โอเค
แดน : คือเขาเชื่อมั่นในผมครับ เชื่อว่าผมจะเอาเงินเขาไปยำ เขาบอกว่าไม่ต้องทำเงินให้เป็นร้อยล้านก็ได้ แค่อย่าให้ใครมาด่าได้ว่าหนังไทยมันห่วย วงการหนังไทยมันห่วย เขาจะไม่ชอบผู้กำกับแบบนั้น เพราะเขาเป็นคนรักหนังไทยมากครับ ผมรู้สึกว่า ถ้าไม่มีเสี่ยเจียงนะ คนไทยก็คงจะได้ดูหนังอยู่แค่บางประเภท จะไม่มีหนังแปลกๆ