พูดถึงเรื่องของน้ำผลไม้ ช่วงหลังๆรู้สึกจะฮิตเป็นพิเศษ เพราะมีทั้งคอร์สดีท็อกซ์ และลดน้ำหนักด้วยน้ำผลไม้ต่างๆนานา คอร์สนึงราคาก็ไม่หมูเลย มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น! เพื่อนก็ชอบมาถามว่า ซื้อดีมั้ย ทำดีมั้ย? เลยอยากจะมาแชร์ความจริงของน้ำผลไม้จากที่ศึกษามาค่ะ
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าน้ำผลไม้มีประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ ดื่มๆไปเหอะมันมาจากผลไม้นี่นา
1. "น้ำตาลล้วนๆ"
แต่ในความเป็นจริงเราลืมนึกไปว่าคุณค่าที่ได้จากมันนั้น ส่วนใหญ่เป็นน้ำตาล เมื่อเรานำน้ำผลไม้ 1 แก้ว เปรียบเทียบกับน้ำอัดลมในจำนวนที่เท่ากัน คุณค่าทางอาหารจะใกล้เคียงกันมาก และเกือบทั้งหมดก็คือน้ำตาลดีๆนี่เอง
2. "ถึงแม้จะมีวิตามินหรือสาร anti-oxidant แต่มันไม่คุ้มเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำตาลที่เราดื่มเข้าไป"
จริงอยู่ที่น้ำส้มอาจมีวิตามินซี แต่เมื่อนำตัวเลขนั้นมาเปรียบเทียบกับจำนวนน้ำตาล 20 กว่ากรัมที่เราต้องดื่มเพื่อให้ได้วิตามินซีเพียงน้อยนิด ถือว่ามันมีคุณค่าทางอาหารน้อยมาก ถ้าเราอยากได้วิตามินซีมากจริง เราสามารถเลือกรับประทานอาหารชนิดอื่นได้มากมาย เช่น บร็อคโคลี่ 1 ถ้วยตวง ให้วิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม 1 แก้ว! มิหนำซ้ำบร็อคโคลี่ 1 ถ้วย มีแคลลอรี่แค่ 30 แคล เทียบกับ น้ำส้มที่มี 120 แคล!
3. “เนื่องจากน้ำผลไม้เป็นน้ำทำให้ดื่มง่ายและมีรสชาติอร่อย จึงอาจทำให้เราดื่มมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว”
ลองคิดดูว่าน้ำส้มหนึ่งแก้วต้องใช่ส้มถึงกี่ลูก มีน้ำตาลตั้งเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณรับประทานส้มเป็นลูกๆ คุณมีแนวโน้มที่จะอิ่มเร็วขึ้น ทำให้รับประทานส้มน้อยลง
อย่าลืมนะคะว่าวันๆหนึ่งเราได้น้ำตาลมาจากอาหารหลายชนิดมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว น้ำตาลที่ใส่ในอาหาร หรือขนมขบเคี้ยว ที่เรามักทานควบคู่ไปกับน้ำผลไม้ ซึ่งอาจทำให้เราบริโภคน้ำตาลมากไปโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวระหว่างวัน
4. “น้ำผลไม้ไม่มีกากใยอาหาร”
กากใยอาหารช่วยทำให้น้ำตาลที่เรากินเข้าไปถูกนำไปสะสมช้าลง เพราะปกติเวลาเรารับประทานน้ำตาลเข้าไป ร่างกายจะหลั่งน้องอินซูลินออกมาเป็นไกด์นำทางน้องน้ำตาลไปสู่เซลส์และส่วนต่างๆของร่างกาย นอกจากนั้นอินซูลินยังทำหน้าที่สร้างความสมดุลย์ของจำนวนน้ำตาลในร่างกายอีกด้วย เช่นถ้าเรามีน้ำตาลมากเกินไป มันจะนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในที่ต่างๆ เช่น ตับแลละกล้ามเนื้อ เมื่อเรามีน้ำตาลไม่พอ มันจะไปดึงน้ำตาลที่เก็บไว้ออกมาใช้งาน
ถ้าเราดื่มน้ำผลไม้เข้าไปตอนที่ร่างกายกำลังต้องการพลังงาน น้ำตาลจะถูกนำไปใช้ในทันที
นั่นคือถือว่าโชคดีไปเพราะคุณจะไม่สะสมน้ำตาลไว้
แต่! เมื่อใดที่ร่างกายไม่ต้องการพลังงาน น้ำตาลที่เราเอาเข้าไปนั้นจะไม่ถูกใช้ในทันที แต่จะถูกน้องอินซูลินพาไปสู่เซลส์ กล้ามเนื้อ และตับเพื่อไปสะสมไว้ใช้ในอนาคตอย่างที่บอกข้างต้น
สิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อใดก็ตามที่เราทานน้ำตาลมากเกินไป มันจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน และสะสมเอาไว้ตามส่วนต่างๆ นอกจากเราจะมีไขมันเพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะทำให้ร่างกายรวนอีกด้วย
เพราะการที่คุณคุณดื่มแต่เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเยอะๆบ่อยๆ จะทำให้น้องอินซูลิน งง ผลิตตัวเองออกมาไม่ทันบ้าง พาน้ำตาลไปหาเซลส์ไม่ทันบ้าง เพราะเซลส์บอกว่า ตรูมีน้ำตาลพอแล้ว เอามาทำด๋อยไรอีก! และนี่แหละคือสาเหตุของโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคเมตาบอลลิซึ่มผิดปกติ
ในทางกลับกันอาหารที่มีกากใยสามารถทำให้เราอิ่มเร็วขึ้น และทำให้กระบวนการย่อยช้าลง
5. “เนื่องจากน้ำผลไม้เป็นของเหลว มันทำให้อ้วนเร็วขึ้น!”
อย่าคิดว่าถ้าเรารับประทานอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เกินจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการ เราจะไม่อ้วนและมีสุขภาพดี เพราะแคลอรี่ไม่ใช่แคลอรี่เสมอไป เนื่องจากร่างกายตอบสนองต่ออาหารแต่ละชนิดต่างกัน หลั่งฮอร์โมนส์ต่างกัน ทำให้เราหิวหรืออิ่มต่างกัน และที่สำคัญมีผลต่อการสั่งการของสมองต่างกัน เจ้าสมองนี่แหละเป็นผู้ทำหน้าที่สั่งการว่า “ฉันอิ่มแล้วนะ” หรือ “ยังหิวอยู่เลยอ่ะ”
งานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกว่า เมื่อเรากินอาหารเพิ่มเข้าไป เช่น ปกติเรากินข้าว 1 จาน ในทุกๆมื้อ แต่วันนี้กินไป 2 จานตอนเช้าเพราะหิวมาก ผลคือตอนเย็นเรามีแนวโน้มที่จะกินน้อยลง เหตุเพราะสมองทำหน้าที่บาลานซ์พลังงานในร่างกาย
ต่างกับน้ำผลไม้ซึ่งเป็นของเหลว เมื่อเราดื่มเพิ่มเข้าไป ถึงแม้มีพลังงาน (calories ) แต่สมองกลับไม่สั่งการว่าอิ่ม มีค่าเท่ากับเราเพิ่มแคลอรี่เข้าไปโดยไม่รู้ตัว
อีกหนึ่งงานวิจัยที่นำเด็กจำนวน 500 กว่าคนมาทดสอบเป็นเวลา 19 เดือน พบว่ายิ่งดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเท่าไหร่ ยิ่งมีสิทธิ์ที่จะเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นเท่านั้น และน้ำผลไม้ก็ถือว่าเข้าข่ายเครื่องดื่มเหล่านั้นเช่นกัน
นอกเหนือจากงานวิจัยที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีงานวิจัยอีกจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าน้ำผลไม้กับโรคอ้วนมีความเกี่ยวข้องกันจริง
6. “แล้วเรื่องลดน้ำหนักล่ะ ทำไมชั้นเข้าคอร์สน้ำผลไม้แล้วน้ำหนักลดจริงๆ ?”
เชื่อดิชั้นเถอะค่ะว่านักโภชนาการดีๆทุกคนคงจะบอกคุณว่ามันไม่ถูกต้องเพราะคุณได้สารอาหารไม่ครบถ้วน โปรตีนก็ไม่มี ไขมันดีก็ไม่มี ส่วนที่ลดน้ำหนักได้ก็เพราะว่าแคลอรี่มันต่อวันมันน้อยนิดเดียว
สมมุติว่าวันๆหนึ่งคุณรับประทานอาหาร 1,500 แคล แต่คอร์สน้ำผลไม้ให้คุณดื่มแต่น้ำผลไม้และน้ำเปล่า มีค่าแค่ 800 แคล
แน่นอนน้ำหนักก็ต้องลดอยู่แล้ว แต่ถามหน่อยว่าคุณมีแรงมั้ย จะเป็นลมมั้ย? ที่สำคัญพอหมดคอร์ส คุณกลับมารับประทานอาหารปกติ เชื่อเถอะค่ะว่าน้ำหนักก็กลับมาเท่าเดิม ดีไม่ดีอาจจะมากกว่าเดิมเพราะคุณโหยอาหาร
7. “รับประทานผลไม้เป็นลูกๆ....คือคำตอบสุดท้าย! ถูกต้องนะคร้าาาา”
วิธีที่ดีที่สุดในการกินผลไม้คือกินแบบสดๆนี่แหละ เพราะคุณค่าทางอาหารจะอยู่ครบถ้วนมากที่สุด อีกทั้งมีกากใยช่วยไม่ให้ร่างกายทำงานผิดปกติและช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าอย่าไปตกเป็นเหยื่อของการตลาด เพราะนอกจากเราจะเสียเงินหลายพันในไม่กี่วัน ร่างกายเราอาจจะรวนอีกด้วย!
ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่อ่านจนจบนะคะ
ถ้าชอบยังไง ฝากติดตามบทความเกี่ยวกับสุขภาพแบบเปิดโปงแบบนี้ได้ที่
www.rawibody.com
หรือเข้าไปคลิก like ในเพจ Facebook ที่
https://www.facebook.com/rawibody
เพราะจะมีการอัพเดทสาระและไม่มีาระ ดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและ lifestyle!
อ้างอิง: www.authoritynutrition.com/fruit-juice-is-just-as-bad-as-soda/
คอร์สน้ำผลไม้ลดน้ำหนัก!!!
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าน้ำผลไม้มีประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ ดื่มๆไปเหอะมันมาจากผลไม้นี่นา
1. "น้ำตาลล้วนๆ"
แต่ในความเป็นจริงเราลืมนึกไปว่าคุณค่าที่ได้จากมันนั้น ส่วนใหญ่เป็นน้ำตาล เมื่อเรานำน้ำผลไม้ 1 แก้ว เปรียบเทียบกับน้ำอัดลมในจำนวนที่เท่ากัน คุณค่าทางอาหารจะใกล้เคียงกันมาก และเกือบทั้งหมดก็คือน้ำตาลดีๆนี่เอง
2. "ถึงแม้จะมีวิตามินหรือสาร anti-oxidant แต่มันไม่คุ้มเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำตาลที่เราดื่มเข้าไป"
จริงอยู่ที่น้ำส้มอาจมีวิตามินซี แต่เมื่อนำตัวเลขนั้นมาเปรียบเทียบกับจำนวนน้ำตาล 20 กว่ากรัมที่เราต้องดื่มเพื่อให้ได้วิตามินซีเพียงน้อยนิด ถือว่ามันมีคุณค่าทางอาหารน้อยมาก ถ้าเราอยากได้วิตามินซีมากจริง เราสามารถเลือกรับประทานอาหารชนิดอื่นได้มากมาย เช่น บร็อคโคลี่ 1 ถ้วยตวง ให้วิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม 1 แก้ว! มิหนำซ้ำบร็อคโคลี่ 1 ถ้วย มีแคลลอรี่แค่ 30 แคล เทียบกับ น้ำส้มที่มี 120 แคล!
3. “เนื่องจากน้ำผลไม้เป็นน้ำทำให้ดื่มง่ายและมีรสชาติอร่อย จึงอาจทำให้เราดื่มมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว”
ลองคิดดูว่าน้ำส้มหนึ่งแก้วต้องใช่ส้มถึงกี่ลูก มีน้ำตาลตั้งเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณรับประทานส้มเป็นลูกๆ คุณมีแนวโน้มที่จะอิ่มเร็วขึ้น ทำให้รับประทานส้มน้อยลง
อย่าลืมนะคะว่าวันๆหนึ่งเราได้น้ำตาลมาจากอาหารหลายชนิดมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว น้ำตาลที่ใส่ในอาหาร หรือขนมขบเคี้ยว ที่เรามักทานควบคู่ไปกับน้ำผลไม้ ซึ่งอาจทำให้เราบริโภคน้ำตาลมากไปโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวระหว่างวัน
4. “น้ำผลไม้ไม่มีกากใยอาหาร”
กากใยอาหารช่วยทำให้น้ำตาลที่เรากินเข้าไปถูกนำไปสะสมช้าลง เพราะปกติเวลาเรารับประทานน้ำตาลเข้าไป ร่างกายจะหลั่งน้องอินซูลินออกมาเป็นไกด์นำทางน้องน้ำตาลไปสู่เซลส์และส่วนต่างๆของร่างกาย นอกจากนั้นอินซูลินยังทำหน้าที่สร้างความสมดุลย์ของจำนวนน้ำตาลในร่างกายอีกด้วย เช่นถ้าเรามีน้ำตาลมากเกินไป มันจะนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในที่ต่างๆ เช่น ตับแลละกล้ามเนื้อ เมื่อเรามีน้ำตาลไม่พอ มันจะไปดึงน้ำตาลที่เก็บไว้ออกมาใช้งาน
ถ้าเราดื่มน้ำผลไม้เข้าไปตอนที่ร่างกายกำลังต้องการพลังงาน น้ำตาลจะถูกนำไปใช้ในทันที
นั่นคือถือว่าโชคดีไปเพราะคุณจะไม่สะสมน้ำตาลไว้
แต่! เมื่อใดที่ร่างกายไม่ต้องการพลังงาน น้ำตาลที่เราเอาเข้าไปนั้นจะไม่ถูกใช้ในทันที แต่จะถูกน้องอินซูลินพาไปสู่เซลส์ กล้ามเนื้อ และตับเพื่อไปสะสมไว้ใช้ในอนาคตอย่างที่บอกข้างต้น
สิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อใดก็ตามที่เราทานน้ำตาลมากเกินไป มันจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน และสะสมเอาไว้ตามส่วนต่างๆ นอกจากเราจะมีไขมันเพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะทำให้ร่างกายรวนอีกด้วย
เพราะการที่คุณคุณดื่มแต่เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเยอะๆบ่อยๆ จะทำให้น้องอินซูลิน งง ผลิตตัวเองออกมาไม่ทันบ้าง พาน้ำตาลไปหาเซลส์ไม่ทันบ้าง เพราะเซลส์บอกว่า ตรูมีน้ำตาลพอแล้ว เอามาทำด๋อยไรอีก! และนี่แหละคือสาเหตุของโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคเมตาบอลลิซึ่มผิดปกติ
ในทางกลับกันอาหารที่มีกากใยสามารถทำให้เราอิ่มเร็วขึ้น และทำให้กระบวนการย่อยช้าลง
5. “เนื่องจากน้ำผลไม้เป็นของเหลว มันทำให้อ้วนเร็วขึ้น!”
อย่าคิดว่าถ้าเรารับประทานอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เกินจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการ เราจะไม่อ้วนและมีสุขภาพดี เพราะแคลอรี่ไม่ใช่แคลอรี่เสมอไป เนื่องจากร่างกายตอบสนองต่ออาหารแต่ละชนิดต่างกัน หลั่งฮอร์โมนส์ต่างกัน ทำให้เราหิวหรืออิ่มต่างกัน และที่สำคัญมีผลต่อการสั่งการของสมองต่างกัน เจ้าสมองนี่แหละเป็นผู้ทำหน้าที่สั่งการว่า “ฉันอิ่มแล้วนะ” หรือ “ยังหิวอยู่เลยอ่ะ”
งานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกว่า เมื่อเรากินอาหารเพิ่มเข้าไป เช่น ปกติเรากินข้าว 1 จาน ในทุกๆมื้อ แต่วันนี้กินไป 2 จานตอนเช้าเพราะหิวมาก ผลคือตอนเย็นเรามีแนวโน้มที่จะกินน้อยลง เหตุเพราะสมองทำหน้าที่บาลานซ์พลังงานในร่างกาย
ต่างกับน้ำผลไม้ซึ่งเป็นของเหลว เมื่อเราดื่มเพิ่มเข้าไป ถึงแม้มีพลังงาน (calories ) แต่สมองกลับไม่สั่งการว่าอิ่ม มีค่าเท่ากับเราเพิ่มแคลอรี่เข้าไปโดยไม่รู้ตัว
อีกหนึ่งงานวิจัยที่นำเด็กจำนวน 500 กว่าคนมาทดสอบเป็นเวลา 19 เดือน พบว่ายิ่งดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเท่าไหร่ ยิ่งมีสิทธิ์ที่จะเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นเท่านั้น และน้ำผลไม้ก็ถือว่าเข้าข่ายเครื่องดื่มเหล่านั้นเช่นกัน
นอกเหนือจากงานวิจัยที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีงานวิจัยอีกจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าน้ำผลไม้กับโรคอ้วนมีความเกี่ยวข้องกันจริง
6. “แล้วเรื่องลดน้ำหนักล่ะ ทำไมชั้นเข้าคอร์สน้ำผลไม้แล้วน้ำหนักลดจริงๆ ?”
เชื่อดิชั้นเถอะค่ะว่านักโภชนาการดีๆทุกคนคงจะบอกคุณว่ามันไม่ถูกต้องเพราะคุณได้สารอาหารไม่ครบถ้วน โปรตีนก็ไม่มี ไขมันดีก็ไม่มี ส่วนที่ลดน้ำหนักได้ก็เพราะว่าแคลอรี่มันต่อวันมันน้อยนิดเดียว
สมมุติว่าวันๆหนึ่งคุณรับประทานอาหาร 1,500 แคล แต่คอร์สน้ำผลไม้ให้คุณดื่มแต่น้ำผลไม้และน้ำเปล่า มีค่าแค่ 800 แคล
แน่นอนน้ำหนักก็ต้องลดอยู่แล้ว แต่ถามหน่อยว่าคุณมีแรงมั้ย จะเป็นลมมั้ย? ที่สำคัญพอหมดคอร์ส คุณกลับมารับประทานอาหารปกติ เชื่อเถอะค่ะว่าน้ำหนักก็กลับมาเท่าเดิม ดีไม่ดีอาจจะมากกว่าเดิมเพราะคุณโหยอาหาร
7. “รับประทานผลไม้เป็นลูกๆ....คือคำตอบสุดท้าย! ถูกต้องนะคร้าาาา”
วิธีที่ดีที่สุดในการกินผลไม้คือกินแบบสดๆนี่แหละ เพราะคุณค่าทางอาหารจะอยู่ครบถ้วนมากที่สุด อีกทั้งมีกากใยช่วยไม่ให้ร่างกายทำงานผิดปกติและช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าอย่าไปตกเป็นเหยื่อของการตลาด เพราะนอกจากเราจะเสียเงินหลายพันในไม่กี่วัน ร่างกายเราอาจจะรวนอีกด้วย!
ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่อ่านจนจบนะคะ
ถ้าชอบยังไง ฝากติดตามบทความเกี่ยวกับสุขภาพแบบเปิดโปงแบบนี้ได้ที่ www.rawibody.com
หรือเข้าไปคลิก like ในเพจ Facebook ที่ https://www.facebook.com/rawibody
เพราะจะมีการอัพเดทสาระและไม่มีาระ ดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและ lifestyle!
อ้างอิง: www.authoritynutrition.com/fruit-juice-is-just-as-bad-as-soda/