กรณีก่อการร้ายฝรั่งเศส เมื่อคุณรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชอบ มันมีเหตุผลอะไรสนุกนักหรือที่คุณยังจะไปล้อเลียนเขา

ผมเป็นพุทธที่ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงนะ และเพราะแคร์เพื่อนร่วมสังคมมากนี่แหละผมถึงเคารพความเชื่อของคนอื่น
จากข่าวฝรั่งเศสที่ช็อคคนไปทั้งโลก ผมเข้าใจนะว่าทำไมเขาถึงก่อเหตุแบบนั้น
อย่างผมเคยเป็นพุทธโธเลี่ยนมาก่อนตอนสมัย ม.ต้น เห็นภาพฝรั่งนั่งขี่คอพระพุทธรูป ผมนี่อยากฆ่ามันมาากเลย
พอโตขึ้นถึงได้ศึกษาแก่นพุทธ จนใจปล่อยวางเสียได้ ใครจะหมิ่นจะอะไรช่างเขาเหอะ ใจเราปล่อยวางเป็นพอ

เข้าประเด็น หลักพื้นฐานการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ถ้าความศรัทธาของเพื่อนร่วมสังคมไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อน
แล้วมันเรื่องอะไรที่เราจะต้องไปล้อเลียนสิ่งที่เขาศรัทธาด้วยครับ? มันสนุกมากเหรอ?
ก็รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชอบ แต่คุณก็ยังไปล้อเลียน มองความเชื่อของเขาเป็นเรื่องตลก
แบบนี้หมายความว่าไง  หมายความว่าคุณไม่เคารพเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรือเปล่า

ผมไม่รู้ว่ากรณีนี้จะเทียบกันได้ไหมนะ
สมมติเด็กชาย ก กับเด็กชาย ข เป็นเพื่อนร่วมห้องกัน
เด็กชาย ก รู้ทั้งรู้ว่า ข ไม่ชอบให้ล้อพ่อ แต่ก็ยังล้อมันทุกวันๆๆๆ
จนวันนึงเด็กชาย ข ระเบิดอารมณ์ที่มันเก็บกดสะสมมานาน คว้าคัตเตอร์ปาดคอเด็กชาย ก ฉับเดียว หลอดลมขาด เส้นเลือดใหญ่กระจุย

เด็กชาย ข ทำผิดแน่นอนครับ แต่เด็กชาย ก จะบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือก็ไม่ใช่นะ

เคารพความเชื่อของเพื่อนร่วมสังคม ไม่ต้องไปดูหมิ่นล้อเลียน ไม่ต้องสร้างศัตรู เรื่องแค่นี้มันทำได้ยากกันนักหรือไง?

ปล.ขแแท็คห้องอาวุธ เพราะคาดว่ามีคนติดตามข่าวนี้ไม่มากก็น้อย เผื่อผมตกข้อมูลอะไรไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
ผมว่ามาพูดเรื่องล้อเลียนให้พวกไร้ศาสนา ยังไงก็ไม่รู้สึกหรอกครับ
เพราะมันไม่กระทบสิ่งที่ตัวเองรัก

แต่พวกเดียวกันนี่แหละ ที่บอกว่าล้อแค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วยนี่แหละ
ถ้าโดนเข้ากับตัวเองในสิ่งที่ตัวเองรักเคารพบ้าง ก็ดิ้นกันพราดๆไม่ต่างกันนักหรอก
บางคนรักสถาบัน พอสถาบันโดนดูถูกก็ทนไม่ได้
บางคนรักครอบครัว พอครอบครัวโดนล้อโดนดูถูกมั่งก็ทนไม่ได้

จริงๆแล้วตรรกะไม่ได้แตกต่างกับเวลาที่ตัวไปล้อคนอื่นเลย
แค่ตอนนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองเดือดร้อนแค่นั้นเอง

อย่างหนังสือพิมพ์ที่ล้อมันก็ล้อได้อับปาราอี ใช้ได้เลย เอารูปศาสดาเขามาแก้ผ้าโชว์ยังงี้
ตัวเองขำ ตัวเองไม่เดือดร้อนไง
คนเขานับถือเขาไม่ขำด้วย


จริงๆถ้ารู้จักเคารพในความคิดคนอื่น เรื่องแบบนี้มันก็ไม่เกิด
ไม่ว่าเขาจะศรัทธาอะไร จะงมงายในสายตาคุณแค่ไหน มันก็ไม่ได้ไปหนักหัวอะไรบิดามารดาคนล้อเลย
จะไปล้อให้เขาฉุนเพียงเพื่อให้หนังสือตัวเองขายได้ทำไม

เจอคนที่เขามีสติสัมปชัญญะ เขาก็แค่โกรธ บอยคอตไรว่าไป
พอดีไปเจอพวกคลั่งเข้า ในเมื่ออยากนัก ข้าก็จัดให้
โดนไปสิบสองศพ
หายบ้าไป

หัดเคารพความศรัทธาของคนอื่นบ้างเถอะ
ไว้เมื่อไหร่ความเชื่อของเขามันหนักหัวอะไรบิดามารดาคุณ
แล้วค่อยมาว่าเขาก็ยังไม่สาย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 39
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนานะครับ ไม่ว่า จะพุทธ คริสต์ อิสลาม ซิกซ์ ฮินดู หรือศาสนาอื่น ๆ

แต่มันเกี่ยวกับทัศนะคติของชาวตะวันตกที่ชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง

ชาวตะวันตกชอบเรียกร้องให้คนทำนั่นนี่นู่นตามบรรทัดฐานของตนเอง
ไม่เคยสนความจำเป็นของใคร ไม่สน วัฒนธรรม หลักคำสอน ประเพณี อะไรของใครทั้งนั้น

อย่างที่ฝรั่งเศสนี่ตัวดีเลย
ไปออกเป็นกฎหมายให้ผู้หญิงชาวมุสลิมเลิกคลุมหัว บอกว่ามันไม่เคารพสิทธิมนุษยชน กดขี่เพศหญิงอย่างนั้นอย่างนี้
หญิงชาวมุสลิมเขาคลุมหัวแบบนี้มาหลายพันปีเป็นวิถีชีวิตไปแล้ว ตัวเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นภาระอะไรด้วย แต่พวกนี้มันเดือดร้อนกันเองซะเหลือเกิน

มีตัวอย่างการไม่เคารพ วัฒนธรรมคนอื่น หรือหลักศาสนาของผู้อื่นอีกมาก
-  FIFA ไม่ยอมให้ทีมฟุตบอลหญิงอิหร่านลงแข่งแมทช์ทางการเพราะพวกเธอแต่งกายผิดข้อบังคับ เพราะหลักปฏิบัติของหญิงมุสลิมห้ามโชว์เนื้อหนังมังสา ความจริงห้ามโชว์ส่วนสัดด้วย แค่ใส่กางเกงเล่นบอลก็อนุโลมพอดูแล้ว
แต่องค์กรที่บอกว่าตั้งมาเพื่อคนทั้งโลกบอกว่ายังไงก็ไม่ได้ ต้องโชว์ขาอ่อนเล่นบอลเท่านั้น ซึ่งแน่นอนที่พวกเธอทำไม่ได้ จึงอดแข่ง.....
- เอารูปที่เหมือนพระพุทธรูปไปทำเป็นลายพื้นในของรองเท้า
- หัวเราะเยาะวัฒนธรรมที่ผู้หญิงเป็นแม่บ้าน บอกว่าเป็นการดูถูกเพศหญิง ตั้งบรรทัดฐานเอาเองว่าผู้หญิงที่ดีต้องทำงานนอกบ้าน แม่บ้านเป็นงานของผู้หญิงไม่ได้ความ แล้วก็มีคนบ้าจี้เห็นด้วย ไม่คิดด้วยซ้ำว่าการคิดแบบนั้นมันเป็นการดูถูก แม่ ย่า ยาย ของคุณที่เป็นแม่บ้านขนาดไหน
- วัฒนธรรมทางเอเชียจะให้ความสำคัญกับครอบครัว แต่มักถูกนำไปล้อเลียนว่าเป็นลูกแหง่ไม่รู้จักโต ( ที่ประเทศแกถึงได้มีคนแก่ตายขึ้นอืดคาบ้านไม่มีใครรู้เรื่องไง )

ที่มีปัญหาคือทัศนะคติของชาวตะวันตกที่ชอบคิดว่าตัวเองคือผู้ชี้นำโลก คิดว่าตัวเองเป็นเผ่าพันธ์ุที่เหนือกว่า ไม่ยอมรับสิ่งที่อยู่เหนือการรับรู้ของตัวเอง ทุกคนต้องรับได้กับสิ่งที่เขาคิดเขาทำเพราะมันเป็นมาตรฐานที่สมควรแล้ว....

โศกนาฏกรรมใหญ่ ๆ ในโลกต้องมีชาวตะวันตกไปเอี่ยวซะหมด
แค่เขาเลิกงี่เง่าแล้วรู้จักยอมรับความแตกต่างกับคนอื่นมากขึ้นซักนิด โลกคงวุ่นวายน้อยกว่านี้
ความคิดเห็นที่ 31
ขออนุญาตแปะข้อความจากกระทู้ที่ผมตั้ง  คิดว่าตอบข้อสงสัยได้ดีของคนที่ตั้งคำถามว่า ทำไมโลกตะวันตกจึงสนับสนุนชาลี เอบโด ทำไมตะวันตกต้องมีเสรีภาพในการวิจารณ์ ถ้าวิจารณ์ศาสนาไม่ได้สังคมเค้าจะเสื่อมทรามลงอย่างไร


http://ppantip.com/topic/33085243
อ่านกระทู้การก่อการร้ายในปารีสหลายๆกระทู้  แล้วฟังคอมเม้นหลายๆความเห็น  รู้สึกว่ายังมีหลายๆท่านยังมึนงงไม่เข้าใจว่าทำไมชาลี เอบโด จึงมีการวิจารณ์พาดพิงศาสนา ทำไมต้องทำเช่นนั้น  ทำไมสังคมตะวันตกจึงเปิดกว้างให้มีเสรีภาพในการวิพากษณ์วิจารณ์ศาสนา ซึ่งการวิจารณ์ศาสนามันเป็นไปไม่ได้เลยในประเทศที่ศรัทธาสุดโต่งจนให้ศาสนาอยู่เหนือปัญญา  ไม่เพียงแค่อิสลามนะครับ คริสต์เองก็โดน โดนหนักกว่าอิลามด้วย  พุทธก็โดน  ซึ่งการวิจารณ์บางครั้งอาจมีล้ำเส้นไปบ้าง แต่สังคมตะวันตกก็จะมีกฏหมายให้สิทธิ คุ้มครองทุกฝ่ายในเรื่องนี้

เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปครับ ในยุคแรกๆที่ศาสนาคริสต์เข้าครอบงำยุโรป โดยเข้าแทนที่ศาสนากรีก-โรมัน ในช่วงยุคปลายของอาณาจักรโรมัน  คริสต์ก็ได้กวาดล้างความเชื่อเดิม โดยการทำลายสัญลักษณ์ เช่นรูปปั้นพระเจ้าของศาสนากรีก-โรมัน เทวสถานต่างๆ  รวมทั้งเปลี่ยนความหมายใหม่ เช่นเทศกาลฉลองเทพีแห่งความรักของเทพีชื่อไรจำไม่ได้  มาเป็นเทศกาลแห่งความรักตามความหมายคริสต์โดยอปโลกป์นักบุญวาเลนไทน์ขึ้นมา  ปัจจุบันนักประวัติศาสตร์โบราณคดีตรวจสอบแล้วครับว่า นักบุญวาเลนไทน์ไม่มีตัวตนจริง   จากนั้นสังคมยุโรปก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของศาสนาคริสต์เบ็ดเสร็จทุกอย่าง  อำนาจปกครองยุโรปตกอยู่ในกำมือโป๊บ ณ วาติกัน  ที่เป็นตัวแทนชาวโลกคอยสื่อสารรับบัญชาจากพระเจ้า กษัตริย์ทุกแคว้นจะถูกสวมมงกุฏโดยโป๊บ ถ้าโป๊บไม่สนับสนุนใครอย่าหวังที่จะได้ครองบัลลังก์  ที่เป็นเช่นนั้นเพราะทุกคนต้องเชื่อศาสนา ต้องเคารพโป๊บ

ผลก็คือ ประชาชน กษัตริย์ พ่อค้า ถูกกดขี่โดยถ้วนหน้าจากวาติกัน  มีการเก็บภาษีศาสนามหาโหด มีการลงโทษคนที่คิดต่าง ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างเหี้ยมโหดทารุณ บางทีก็โดนยัดข้อหาพ่อมดแม่มดถูกจับเผาทั้งเป็น  เมื่อมีการกดขี่ก็เริ่มมีการต่อต้าน การต่อต้านเริ่มแรกก็จากมาติน ลูเธอ  ให้กำเนิดนิกายโปรแตสแตนท์ เป็นคริสต์อีกสายหนึ่งที่เป็นอิสระในการนับถือพระเจ้าโดยไม่ต้องผ่านโป๊บ ณ วาติกัน  กษัตริย์แคว้นอื่นๆ ที่ไม่อยากอยู่ใต้อาณัติวาติกันก็เอาบ้าง ประกาศคริสต์โปรแตสแตนท์ในสายของตนเองไม่ขึ้นกับวาติกัน เช่น อังกฤษประกาศตั้งนิกาย เชิสออฟอิงแลนด์เป็นศาสนาประจำชาติ  เป็นการเริ่มลดอิทธิพลของวาติกันของหลายๆอาณาจักรในยุโรป   ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ  มีสงครามระหว่างวาติกันซึ่งก็คือคาทอลิกรวมพลังกับอาณาจักรในสังกัด ทำสงครามกับอาณาจักรโปรแตสแตนท์  เป็นสงครามที่ยาวนานทำลายชีวิตชาวยุโรปเป็นร้อยๆล้านคน (ก่อนนหน้านั้นก็มีสงครามครูเสดกับเปอร์เซีย อาหรับ)

นั้นคือความขัดแย้งในระดับสองนิกายหลักๆของคริสต์  ส่วนความขัดแย้งในเรื่องของความเจริญ อารยธรรม ความคิด สติปัญญา ก็เป้นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำลายความเติบโต ความเจริญก้าวหน้าของยุโรป  นักคิด นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบความจริงในธรรมชาติ ทั้งหลายที่ขัดกับความเชื่อในไบเบิ้ล จะถูกกำจัด เข่นฆ่า บางคนก็ไม่กล้าพูดความจริง  เช่น เตปเลอร์ , กาลิเลโอ ที่ค้นพบว่าโลกกลมไม่ได้แบนแบบที่ไบเบิ้ลเขียนก็ถูกลงโทษรุนแรง  บรูโนก็ถูกจับเผาทั้งเป็น  ชาร์ล ดาวินที่ค้นพบทฤษฏีวิวัฒนาการก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจากคริสจักร(ทั้งคาทอลิกและโปรแตสแตนท์  ทั้งสองนิกายมีการลงโทษทารุณทั้งนั้น แต่โปรแตสแตนท์มีหลายสายไม่ขึ้นกัน)  บุคนั้นเป็นยุคตกต่ำทางความคิด สคิปัญญา ของยุโรป  นักประวัติศาสตร์ขนานนามว่าเป็นยุคมืดของยุโรป หรือ DARK Age (คริสต์มักจะเถียงว่าไม่ใช่ยุคมืด มีแสงสว่างทางปัญญาจากศาสนาคริสต์ด้วยจ้ะ)  

เมื่อมีการเข่นฆ่ากันมากๆ ถูกกดขี่กันมากๆ  ชาวยุโรปส่วนใหญ่จึง รวมใจกันปลดแอกตัวเองจากความเชื่อทางศาสนาคริสต์ มีการวิจารณ์ศาสนามากขึ้น  มีการตั้งคำถามมากขึ้น ไม่ยอมให้ศาสนาความเชื่อ มีอิทธิพลครอบงำความคิดคน จนบ้าคลั้ง ไร้สติ เข่นฆ่ากันเองได้ เพราะถูกปลูกฝังจากศาสนาว่าคนคิดต่างคือซาตาน  นี่คือยุคที่ยุโรปสามารถพัฒนา ความคิด ความเจิญได้ หลังจากฆ่ากันเองเพราะศาสนามาเป็นร้อยๆปี  ซึ่งเรียกว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคเรเนอสซอง  มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม  รวมถึงการปฏิวัติฝรั่งเศส   ความเจริญก้าวหน้าทางความคิด ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ถูกจำกัด กดขี่ จากศาสนาอีกต่อไป  และเป็นที่มาของกฏหมายใหม่ๆ  ที่ให้อิสระในการวิพากษ์วิจารณ์ศาสนา ความเชื่อ  โดยมีหลักกว้างๆคือ ถ้าคุณจะไปเผยแพร่ความเชื่อ ความเชื่อคุณก็ต้องถูกตรวจสอบ วิจารณ์ได้  จะให้เชื่อพระเจ้าแต่ห้ามสงสัยในพระเจ้ามันขัดกับกฏหมายของประเทศทางยุโรป อเมริกาครับ  

ศาสนาคริสต์เอง โดนฝรั่งตรวจสอบ วิจารณ์หนักกว่าอิสลามหลายเท่า เพราะเป็นศาสนาดั้งเดิมที่สร้างความเจ็บปวดให้พวกเค้ามานานแล้ว  ถ้ามองผ่านวรรณกรรม นิยาย อย่างเรื่องดาวินซี โค้ด  มีการตั้งข้อสงสัยว่าพระเยซูมีเมียเป็นต้น   เรื่องอื่นๆก็เช่น ใครเป็นพ่อพระเยซูกันแน่ ไอ้การตั้งครรภ์โดยบริสุทธิอัสจรรย์นั่นมันความเชื่อทางศาสนา  คนที่มีปัญญาเค้าไม่เชื่อกันครับ มีอีกเยอะ หาอ่านได้ตามเวปของพวกไม่เชื่อพระเจ้า Athiest  พวกนี้ก็เป็นกลุ่มที่กฏหมายรองรับ  ประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อพระเจ้า  

ปูพื้นมาตั้งนาน เพื่อให้เห็นภาพ  เข้าใจว่า  ทำไมยุโรปถึงให้ความสำคัญสำหรับเสรีภาพ การวิจารณ์ศาสนา  นี่ข่าวก็ออกแล้วว่า หลายๆชาติรวมตัวกัน ทั้ง ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ฮอลแลนด์ อังกฤษ สวีเดน ฯลฯ อียู อเมริกา จะมาเดินขบวนแสดงพลัง สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออก  ไม่ยอมให้สังคมตกอยู่ใต้ความกลัว ในอำนาจของพระเจ้า อย่างขาดสคิ ไร้เหตุผล

ผลเสียของการศรัทธาโดยขาด สติ ปัญญา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งอดีตและในปัจจุบัน  เป็นสิ่งที่เราเห็นๆกันอยู่เสมอ จะเกิดอะไรขึ้นกับยุโรปถ้าศรัทธาถูกปลูกฝังจนอยู่เหนือปัญญา โดยมีความรุนแรงคอยข่มขู่ให้ห้ามคิดต่าง  ยุโรปจะกลายเป็นตะวันออกกลางไม๊หรือจะถอยกลับไปยุคมืด ทำไมต้องมีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำไมต้องห้ามวิจารณ์ ฯลฯ ชาลี เอบโดคือหน่วยเล็กๆของเสรีภาพทางการวิจารณ์เท่านั้นครับ  ผู้นำยุโรปประกาสจุดยืนและแสดงพลังร่วมกันแล้วว่า จะไม่ยอมแพ้ต่อการก่อการร้าย ยุโรปต้องมีเสรีภาพทางการแสดงความคิด ทำไมโจรใต้ต้องเผาโรงเรียน ก็เพราะโรงเรียนคือแหล่งสร้างปัญญาที่จะทำให้ความเชื่อสั่นคลอนนั่นเอง

สุดท้ายขอแนะนำหนังสือน่าอ่าน  แนวคิดที่ผมนำเสนอ ก็ได้มาจากหนังสือเล่มนี้เป็นหลัก   อ่านแล้วมองเหตุกาณ์หลายๆอย่างในโลก สังคม ได้เข้าใจ กระจ่างมากขึ้นเลยครับ  สามารถดาวโหลดมาอ่านได้
http://www.watnyanaves.net/th/book_detail/341
มองสันติภาพโลก ผ่านภูมิหลังอารยธรรมโลกาภิวัตน์
ความคิดเห็นที่ 8
ความคิดเห็นที่ 19
มองแบบจขกท.ก็ไม่ผิด มันแล้วแต่ว่าคนเราให้คุณค่าสิ่งไหนมากกว่ากัน

คนฝรั่งเศสเขาให้คุณค่าของคำว่า"อิสรภาพ(Liberty)"มาก จนได้เป็นส่วนหนึ่งในคำขวัญของชาติ ในขณะที่เราและเอเชียตะวันออกส่วนมากจะไปให้คุณค่าของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ(Harmony)แทนโดยแนวคิดแบบนี้มันฝังอยู่ในศาสนาและวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นพวกพุทธเถรวาท ขงจื๊อ ชินโต   แนวคิด Liberty กับ Harmony นี้ค่อนข้างขัดแย้งกัน ถ้าชอบ Liberty ก็ต้องทำใจยอมรับว่าต้องขาด Harmony ไป แต่ถ้าให้ Harmony มากก็ต้องยอมรับว่า Liberty บางส่วนต้องหายไป สองอย่างนี้ทำให้รูปแบบสังคมต่างกัน สังคมที่มี Liberty มากก็จะมีคนคิดต่างได้มากและมักเกิดอะไรใหม่ๆ ส่วนสังคมที่มี Harmony มากก็ต้องสูญเสียข้อดีตรงนั้นไปแต่ได้การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมา แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าสังคมที่มี Liberty จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไม่ได้(ตรงนี้ต้องเอาความเป็นอยู่หรือดัชนีทางเศรษฐกิจมาวัดด้วย) หรือสังคมที่มี Harmony จะคิดต่างไม่ได้ แต่ว่าทั้งสองอย่างนี้มันจะแฝงอยู่ในสังคมไปหมด เช่นสังคมการทำงานของฝรั่งกับเอเชียนี่ก็ต่างกันมากเพราะกรอบอันนี้

ถ้าเราเอากรอบของคนที่ชอบ Harmony ไปตัดสินคนที่ชอบ Liberty ว่ามีเหตุผลอะไรมันก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ ทางแก้คืออย่าไปยึดติดอะไรง่ายๆ
ความคิดเห็นที่ 29
เป็นเรื่องธรรมดาโลกครับ เหมือนกับที่อิสลามทำลายรูปแกะหินพุทธนั่นแหล่ะ
เห็นหลายคนเชียร์ บอกว่าเรื่องของประเทศเขา เขาจะทำอะไรกับทรัพย์สิน
ก็ได้ แล้วก็รูปเคารพบูชาก็ชัดศาสนาเขา

เช่นเดียวกัน คนไร้ศาสนา เขาก็ดูหมิ่นศาสนา (คนไทยหลายๆ คนยังทำเลย)
มันไม่ผิดกฏหมายบ้านเขา อิสลามก็ควรยอมไป ทีตัวเองยังทำได้ ทำไมต้อง
ไปห้ามคนอื่นเขาด้วยล่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่