[CR] ประสบการณ์บ้าเกินพิกัด 100% กับทริปทัวร์สุพรรณฯ

บอกเลยว่าประสบการณ์นี้จริงๆ กับตนเอง เหตุเกิดจากการสอบกลางภาคเสร็จ ในวันพฤหัสที่ 8 มค. 58 พอกลับมาที่หอพัก ความคิดบ้าๆ ก็เกิดขึ้นคือ

'อยากเดินทางไปไกลๆ สักที่'


ตกกลางคืนมานั่งเปิด google map จะไปไหนดีน่า พอคิดไปมา ไป สุพรรณบุรี ไหนๆ เราก็ชอบทีมฟุตบอลสุพรรณบุรีอยู่แล้ว อยากไปเห็นสนามบ้าง ตั้งแต่ 20.00-01.00 น. นั่งศึกษาแผนที่การเดินทาง แผนการเดินทาง ไปตลาดสามชุก กลับมาหอคอยบรรหาร สนามกีฬาสุพรรณ หาที่พัก แล้วก่อนกลับค่อยแวะวัดป่าเลย์ไลย์

วันต่อมาดันตื่นสายตื่น 09.00 น. เอาแล้วไง หยิบกางเกงยัดใส่กระเป๋าตัวหนึ่ง ช้ันในกางเกงในชุดเดียว เสื้อตัวเดียว หยิบโทรศัพท์มือถือติดตัวสองเครื่อง สายชาร์ต ใบขับขี่ ยัดใส่กระเป๋าอย่างเดียว สิ่งที่ขาดไม่ได้กระเป๋าตังค์ พอครบแต่งตัว ชุดแบบว่าคลุมมิดชิดมากดำทั้งตัว เนื่องจากวันพุธมีฝนตกเล็กน้อย บรรยากาศหนาวๆ ก็เลยสวมเสื้อแขนยาวทับกันสองตัว รถรายังไม่เช็ก ขับรถไปหน้ามอ ตรวจยาง ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว น้ำมันเครื่องพึ่งเปลี่ยน ไม่ต้องเช็กแล้ว เมื่อเรียบร้อยก็สวมหูฟังเสียบกับโทรศัพท์ฟังเพลง ขับรถออกจากมอ มุ่งเข้าสู่ถนนมิตรภาพ พอขับมาถึงปากช่องก็พักรถช่วงหนึ่ง เปิดกระเป๋าหาแผนที่เดินทางแต่ทว่า  "ข้าพเจ้าลืมยัดใส่กระเป๋า" ในตอนนั้นความคิดคือ "GPS แล้วล่ะ เพื่อนเอ่ย"



ไหนๆ ก็ได้พักเลยเช็กแผนที่จาก GPS อีกครั้ง อ่อ เข้าสระบุรี ผ่านลพบุรี ใช้เส้นเลี่ยงเมืองอ่างทอง ตัดถนนของสิงห์บุรีเล็กน้อย ผ่านอำเภอมหาราชของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พอเข้าใจแผนที่คร่าวๆ เอาล่ะ เราคงต้องเก็บแบตโทรศัพท์ไว้ล่ะ ปิดเพลง ปิดเครื่อง เปิดโทรศัพท์เครื่องเล็กเผื่อคนโทรมา (การเดินทางไม่ได้แจ้งใครเลย) พอพักซื้อ M150 เท่านั้นแหละ มุ่งตรงอย่างเดียว

ขับรถออกจากปากช่องเข้าสระบุรี ทางผ่านบรรยากาศเย็นสบาย เห็นนุ้นเห็นนี้หลากตาอยากจะจอดถ่ายภาพเอาไว้ แต่เดี๋ยวถึงสุพรรณฯ ค่ำ เผื่อหลงด้วย (ได้ฉายา จอมหลง) เลยตัดสินใจผ่านมันไป ในใจ "ขากลับต้องมาถ่ายรูปล่ะ" ขับต่อไปเรื่อยๆ และพักตลอดทาง บางทีขับไปรถรู้สึกเหมือนจะส่ายเล็กน้อยก็จอดเช็กไม่ก็เข้าร้านยางก่อนอันดับแรก ประเด็นของการเดินทางคือ ข้าวเช้าข้าวเที่ยงไม่ได้กินจ้า ถามว่าหิวไหม คือหิวนะ แต่ในความคิดคือ ไม่ถึงไม่กิน ขับรถผ่านสระบุรีเข้าลพบุรี เผอิญบ้านพี่ที่รู้จักอยู่ทางผ่านพอดี แต่ไม่ได้แวะ บอกให้รู้ เราก็ขับต่อไป พอสายโทรศัพท์เข้า จอดก่อนอันดับแรกแล้วพูดเหมือนเราอยู่หอ หลังวางสายขับต่อ เราเป็นคนโชคดีอย่างหนึ่ง ขับ 150 กม. ไม่เจอด่านตรวจ ไม่เจออะไรเลย แน่ล่ะเราสอบหมวกตรวจนี้น่า บางทีขับเข้าไปเขตชนบทนำมันลดเริ่มเข้าขีดแดง ความกลัวเริ่มมาเยือน เอาไงดีวะ เอาไงดีวะ สุดท้ายก็มีปั๊มขนาดเล็กอยู่ โอ๊ย โล่ง

ขับมาถึง อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซวยล่ะ ความโชคดีของเราอยู่ไหน เจอด่านจ้า ใบขับขี่ที่ทำมา 2 ปีพึ่งได้โชว์ พอตำรวจจราจรเห็นป้ายทะเบียนขึ้นบุรีรัมย์เท่านั้นแหละ "มาจากบุรีรัมย์จะไปไหน หนู" เราก็ตอบไปว่า ไปสุพรรณฯ ค่ะ ตำรวจจราจรท่านหนึ่งยื่น M150 ให้เรา พร้อมกับบอกว่า "นามสกุลเหมือนนายเลยนะ เอ้า เอ็มร้อยจะได้ไม่หลับ ขับรถดีๆ ล่ะ" โอ้โฮ วันนี้จะให้กินสองขวดเลยหรอ แต่เราก็รับไว้นะ พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณขอบอกเลยว่า  "ตำรวจไทยใจดีมาก" (หรือเปล่า หรือเพราะเรานามสกุลเหมือนนายของเขา ขอไม่เปิดเผยนะ ขอใบ้ว่า นามสกุลเราเป็นนามสกุลของนักแสดงที่เป็นทหาร)

ขับตรงมาตามทาง เขาบอกว่า "คนขับรถมักมีเซ้นเป็นของตัวเอง ไม่มีทางขับหลง" เราก็ขับตรงมาตลอด ไม่เห็นป้ายเขียนสุพรรณฯเลย มาผิดหรือเปล่า สุดท้ายเราก็มีความหวังต่อเมื่อเห็นป้ายสุพรรณฯ อยู่ข้างหน้า มีความหวังล่ะ ขับตามแผนที่ ตอนนั้นมองนาฬิกา โอ้ 14.10 น. โดยประมาณ พอมาถึงทางแยกเข้าเมือง เลี้ยวซ้ายเข้าตัวจังหวัด เลี้ยวขวาตลาดสามชุก สุดท้าย ไม่ไปล่ะ ตลาดสามชุก เดี๋ยวเข้าเมืองค่ำ ตัดสินใจเข้าตัวเมือง ไปถึงตัวสุพรรณเท่านั้นแหละ ศาลหลักเมืองตรงไหน คือในความคิดไหว้เจ้าก่อนจะมาพัก ตามทางเลยจ้า ป้ายบอกเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตรง ตามหมด พอมาถึงไหว้อย่างเดี๋ยว ซึ่งศาลหลักเมืองจะมีพิพิธภัณฑ์ลูกหลานมังกร ในใจอยากเข้าไปดู แต่ ยังไม่มีที่พักเลย ใจหวั่นนะถ้าไม่มีที่อยู่อาศัย เลยตัดสินใจ ทิ้งพิพิธภัณฑ์ซะ ไปถามพี่สาวเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ถึงสถานที่พักซึ่งอยู่ใกล้ๆ



และในที่สุดก็ได้มา 3 ที่ แต่เราตัดสินใจไปพักที่

โรงแรมกีฬาสุพรรณฯ Sport Hotel

ซึ่งอยู่ทางไปวัดป่าเลย์ไลย์ ตรงข้ามคลองส่งน้ำ ก่อนเข้าไป "ไอ้โรงแรมนี้ ต้องมีแต่นักกีฬาแน่เลย" พอเข้าไป นักกีฬาจริงๆ แหละ แต่เป็นนักกีฬาต่างประเทศน่าจะจากเวียดนามมั่ง ฟังจากที่พูดแล้ว เรานึกว่าค่าเข้าพักจะ 800up แต่ผิดมหันต์ 650 บาทจ้า เข้าชมภายในห้องพักเป็นเตียงเดี่ยวแต่นอนคู่ มีโต๊ะ 3 โต๊ะ ทีวี แอร์ เครื่องปรับน้ำอุ่น สิ่งแรกที่ทำเมื่อถึงห้องพัก โยนกระเป๋าลงบนเตียงแล้วล้มตัวนอน หมดแรง บอกเลยว่าขับรถมา 5 ชม. ปวดแขนมาก เพราะเรามักเกร็งแขนเวลาเข้าทางโค้ง นอนผ่อนคลายกล้ามเนื้อ คราวนี้เอาของออกมาเช็ก เสื้อผ้ามีชุดเดียว งั้นคืนนี้นอนชุดที่ใส่มา พรุ่งนี้ค่อยอีกชุด พอตัดสินใจได้ดั่งนั้น อาบน้ำกำจัดความเหนียวและฝุ่นควันออกจากเนื้อตัว อาบเสร็จคราวนี้นอนจริง 30 นาทีพอประมาณ เพราะวางแผนวันนี้ต้องไปหอคอยบรรหารให้ได้

พอ 16.10 น. ตื่น หยิบกระเป๋าตังค์ เสื้อแขนยาว โทรศัพท์ เดินไปที่ลานจอดรถขับออกไป ขอบอกว่า หอคอยบรรหารทางไป มีป้ายบอกทุก 500 ม. แต่ป้ายเล็กนะ ขับตามเส้นทางตลอดในถนนมาลัยแมน หรือเปล่าไม่แน่ใจ ตรงยันสุดกลับรถตามทางตามป้าย พอมาถึงหอคอยบรรหาร ยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า เลยถือโอกาสหาข้าวกินแล้วถามคนแถวนั้นถึงการเสียเงินเข้า

หอคอยบรรหารค่าทางเข้า ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท พอเข้าไปจะเจอสวนและก็มีน้ำพุ เดินตรงไปหาหอคอยบรรหารเท่านั้นแหละคือเป้าหมาย ต้องเสียเงินค่าขึ้นอีกจ้า 30 บาท ยอมเสียเพื่อให้มาถึงสุพรรณฯ หลังจากซื้อบัตรเข้าก็มาขึ้นลิฟต์ ซึ่งพนักงานที่กดลิฟต์ก็จะแนะนำว่า จะมีทั้งหมด 4 ชั้นเทียบเท่ากับตึก 25 ชั้น และสามารถมองเห็นวิวได้ทั่วสุพรรณ โอเคเรายอมเชื่อ พอขึ้นมาชั้น 4 ก็จะเป็นชั้นชมวิว ซึ่งทั้งชั้น 4 จะมีรูปที่กล่าวถึงจังหวัดสุพรรณฯ กล่าวถึงประวัติพระเรศวร นอกจากน้ียังมีกล้องส่อง ซึ่งต้องเสียเงินอีก 30 บาทรับชมได้ 3 นาที เราตัดสินใจ 10 บาทเลย ส่องให้เต็มที่ ถัดลงมาชั้น 3 ชั้นนี้ยังสามารถชมวิวได้ และจะมีร้านขายของฝาก สำหรับช่วง 16.00 น.ร้านปิดแล้วก็ไม่ได้ไรมาก เรารอหน้าลิฟต์ ลงลิฟต์มาชั้น 2 ซึ่งก็ยังสามารถชมวิวได้แต่ขอบแคบกว่าเดิม ชั้น 2 จะเป็นศูนย์อาหาร และสุดท้ายก็ลงมาชั้น 1 ซึ่งมีของที่ระลึกขาย เนื่องจากกลัวเพื่อนด่าว่า หนีเที่ยวแต่ไม่มีของฝาก เลยซื้อพวงกุญแจที่เป็นสัญลักษณ์สุพรรณฯเป็นของฝาก เราเดินเที่ยวแค่ 30 นาทีเท่านั้นแหละรวมทั้งชมสวนรอบๆ หอคอยด้วย







หลังออกจากหอคอยบรรหาร ก็ขับรถออกมาสนามกีฬาสุพรรณฯ ออกจากหอคอย 17.20 น. โดยประมาณ ขับตรง ช่วงเลิกเรียนของเด็ก รถเยอะมาก แถมโรงเรียนอยู่ติดกันซะด้วย รถติดยาวเลย แม้เราจะเคยอยู่โคราชขับช่วงเลิกเรียนก็ไม่เยอะขนาดนี้นะ ขับออกมาจนถึงสนามกีฬาสุพรรณฯ




ประสบการณ์เหยียบสนามสุพรรณฯ ทีเป็นสนามในการแข่งฟุตบอลไทยลีกส์ครั้งแรกขอบอกว่า ประทับใจมาก อยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ แต่เกรงใจคนอื่นกัน ก็เลยเดินชมเล็กๆ น้อย มีคนทั่วไปมาออกกำลังกาย ภายในสนามเยอะแยะ นอกจากนี้ยังมีการขายตั๋วปีของชาวสุพรรณฯ (ตั๋วเข้าชมสุพรรณฯ แข่งที่บ้านได้ตลอดโดยไม่ต้องซื้อทุกนัด) เราเข้าไป Shop ของสุพรรณฯ ของทุกอย่างยังไม่ออก ในที่ตั้งใจแน่ชัดคือ ต้องได้แจ็กเก็ตสุพรรณฯ ให้ได้ ไม่ตัดสินใจมาก เปิดใน Web. ตัวละ 1150 บาท พอมาถึงสนาม "ถ้าน้องซื้อที่นี้ 500 บาท และเสื้อเหลือ 2 size เท่านั้นนะจ๊ะ s กับ ss" เราดันโชคดี 2 ประการ ประการแรก โชคดีนะที่ยังไม่สั่งทางเน็ตไป ประการที่สอง ดีนะที่เราตัวเล็กได้ size s พอดี ตัดสินใจซื้อเลยจ้า ดีใจสุดๆ นั่งเล่นสนามสักพักก็เดินทางกลับที่พักแล้ว ก่อนกลับแวะเซเว่นซื้อ Power Bank ไว้เป็นพลังงานขากลับล่ะกัน จะได้ฟังเพลงบ้าง และอย่าลืมแปรงสีฟัน ยาสีฟัน แล้วกัน โฟมที่ใต้เบาะรถมี แป้งใต้เบาะรถมี (พกติดรถตลอด เป็นคนชอบเดินทางเลยติดตัว) สิ่งที่ขาดไม่ได้อีก น้ำจ้า ซื้อไปเองดีกว่า

พอถึงที่พักอาบน้ำอีกรอบ แล้วโทรหาเพื่อน บอกความจริงซะ ไม่ชอบปิดบัง บอกทางบ้านด้วย หลังจากแจ้งการเดินทางก็ศึกษาแผนที่กลับ เนื่องจากทางที่มาไกลมาก เลยหาเส้นใหม่ คราวนี้ไม่เข้าอ่างทองล่ะ และอยากกลับถึงมอก่อนบ่ายสาม เนื่องจากทางเพื่อนโทรมาแจ้งให้ทำงานกลุ่ม เอาเหอะ ออกเช้าๆ แล้วเที่ยวกลับแล้วกัน วางแผนเสร็จเก็บของยัดใส่กระเป๋า ดูท่านประยุทธจบ ปิดไฟนอน เสร็จสิ้นหนึ่งวันของการเดินทาง



วันรุ่งขึ้นตื่นมาแต่เช้า 6.00 น. อาบน้ำแต่งตัว เช็กของทุกอย่างที่นำมา เสร็จก็เดินลงมาจากห้อง คืนกุญแจ ในใจอยากไปตลาดสามชุกอยู่นะ พอถามพี่สาวที่ประชาสัมพันธ์แกก็บอกว่าไกล เลยตัดสินใจไม่ไปดีกว่า พอเรื่องโรงแรมเสร็จสิ้น ก็ขับรถออกมา แวะวัดเลไลยก์ เป็นช่วงที่หลวงพ่อกำลังจะออกบิณฑบาตรพอดี เราเลยไปซื้อกับข้าวทันใส่บาตรพอดี เราก็เดินชมภายในวัดภายในช่วงเวลา 10 นาที กลัวจะกลับถึงมอช้า

7.00 น. เริ่มออกเดินทางสุพรรณฯ ข้าวเช้าก็ยังไม่กิน วางแผนจะไปกินที่สระบุรีช่วง 9.00 น. (ถ้าถึงทัน) พอเท่านั้นแหละ หูฟังสวม หมวกกันน็อก ใบขับขี่พร้อม เดินทาง ขับรถออกจากทางสุพรรณฯ ความเร็วอยู่ที่ 90 กม./ชม. เป็นค่าเฉลี่ย เนื่องจากเปิด GPS ตลอดทางจะเลี้ยวไหน มีบอกตลอด ไม่มีหลงจ้า พอเส้นทางที่ขรุขระหน่อยก็ลดความเร็ว

8.40 น. มาถึงทางออกสระบุรีจนได้ จึงได้แวะกินข้าวที่ ปั๊มปตท. เป็นปั๊มก่อนถึงแก่งคอย ขณะนั่งกินข้าวก็คิดไปมา ไหนๆ ก็กลับมอทันค่ำอยู่แล้ว ไม่แวะไปเที่ยวแก่งคอยหน่อยหรอ ก็เลยถือโอกาสถามป้าขายน้ำ แกก็บอกว่า ไปแก่งคอยก็ไม่มีไรหรอกหนู อยากเที่ยวสระบุรี ก็ไปทุ่งทานตะวันสิ พอได้ยินเช่นนั้นจึงเปิดเส้นทาง GPS ดู ปรากฏว่าถ้าไปทุ่งทานตะวันก็ไกล กว่าจะเข้าไหนต่อไหนอีก ตัดสินใจกลับเถอะ หลังจากนั้นก็ขับรถต่อ

9.30 น.ขับรถออกมาถึงปากช่องแวะปั๊ม ปตท. เติมน้ำมันอีกครั้งเห็นว่าถ้าไปถึงมอก็คงเที่ยงกว่าก็เลยว่า แวะฟาร์มโชคชัยก็ได้ ตัดสินใจได้เท่านั้นแหละ ขับรถมาถึงฟาร์มโชคชัยก็ 10.10 น. ก่อนเวลาเข้าชมเล็กน้อย ทันซื้อตั๋วเข้าชม เผอิญวันเด็กพอดีเลยกลมกลืนไปได้เล็กน้อย (มั่ง) เข้าชมภายในก็ 2 ชม.ได้









หลังจากนั้นก็เินทางกลับมอ และก็กลับถึงมอในช่วง 15.00 น.

บ้าไม่บ้าโปรดพิจารณา ผู้หญิงแบกเป้ขับมอไซต์
ชื่อสินค้า:   เที่ยวทั่วไทย
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่