สวัสดีครับ ผมเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งครับ เรื่องราวต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ของผมที่ถูกหลอกให้เข้าไปฟังการทำธุรกิจแอมเวย์ ซึ่งจัดขึ้นสดๆ ร้อนๆ วันนี้เอง กระทู้นี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อดิสเครดิตหรือตำหนิการทำธุรกิจนี้แต่อย่างใด แต่เพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่า ถ้าเจอสถานการณ์เช่นเดียวกับผม คุณจะได้รู้ว่า ตัวเองกำลังถูกหลอกให้ไปฟังอะไร
ย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนธันวาคม ขณะที่ผมกำลังกินข้าวอยู่ที่ฟู้ดคอร์ทของห้างมาบุญครอง จู่ๆ ก็มีน้องคนหนึ่ง เดินเข้ามาขอสัมภาษณ์ผมสัก 10 นาที ผมเองก็ยินดีครับ คิดว่าคงเอาไปทำรายงานหรือส่งงานอาจารย์ น้องเขาเป็นนักศึกษาปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คำถามข้อแรกๆ เป็นคำถามทั่วไป เช่น ชื่ออะไร เรียนอยู่ที่ไหน อายุเท่าไหร่ เวลาว่างชอบทำอะไร จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่คำถามเกี่ยวกับอนาคต การวางแผนอนาคต เช่น ความฝันคืออะไร อยากทำงานอะไร ระหว่างข้าราชการ เอกชน และธุรกิจส่วนตัว ผมก็ตอบไปตามที่คิดครับ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่คำถามจิตวิทยาหน่อยๆ เช่น ถ้าพี่ยังเรียนหนังสือต่อไปแบบนี้ ทำงานอดิเรกแบบนี้ไปเรื่อยๆ คิดว่าพี่จะประสบความสำเร็จตามที่หวังหรือเปล่า จากนั้นน้องเขาก็หว่านล้อมผม บอกว่า ถ้าพี่ยังไม่รู้ว่าจะทำความฝันของพี่ให้เป็นจริงได้ยังไง หรือพี่จะประสบความสำเร็จในอนาคตได้ยังไงล่ะก็ ขอให้พี่มาฟังผมอีกรอบวันพรุ่งนี้
ยอมรับว่า ระหว่างที่ตอบคำถามเหล่านี้อยู่ ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า น่าจะเป็นแอมเวย์แน่นอน เพราะเคยได้ยินคนรอบข้างเล่าให้ฟังเรื่องที่ถูกคนหลอกให้ไปนั่งฟังการทำธุรกิจนี้ แต่ด้วยความที่น้องผู้สัมภาษณ์ผมนั้น ยังดูเด็กอยู่ และบอกว่ามาจากชมรมการวางแผนอนาคตที่มีหลายมหาวิทยาลัยเข้าร่วม ท่าทางไม่ได้เหมือนคนที่จะเคยทำธุรกิจนี้หรือจะมาหลอกกันได้ บวกกับความขี้เกรงใจของผม ผมก็ยอมรับคำ บอกว่าจะไปพบอีก
วันต่อมา เรานัดกันที่ห้างพารากอนครับ วันนี้ไม่มีคำถามแบบวันก่อน แต่เริ่มต้นด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับ วิธีการและเป้าหมาย เราควรเลือกอะไร น้องเขาวาดเส้นสองหันไปทางทิศตรงกันข้ามกัน เส้นแรกมีระยะทาง 1000 กิโลเมตร เดินทางด้วยการเดิน ส่วนเส้นที่สองมีระยะทาง 500 กิโลเมตร เดินทางด้วยรถยนต์ และถามผมว่า ถ้าเป็นพี่ พี่จะเลือกเส้นทางไหน แน่นอนครับ ผมก็ต้องเลือกเส้นทางที่สอง พอตอบไป น้องเขาก็บอกต่อว่า แต่เส้นทางแรกจะทำให้มีเงิน 1000 ล้านบาท ในขณะที่เส้นทางที่สองจะทำให้มีหนี้ 1000 ล้านบาทนะ แน่นอนครับ ผมก็ต้องตอบว่า เส้นทางแรกสิ น้องเขาก็จะสรุปว่า ดังนั้น เป้าหมายจึงสำคัญมากกว่าวิธีการ
จากนั้นก็เป็นเรื่องเล่าอีกเรื่องครับ มาจากหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ที่แบ่งประเภทของอาชีพเป็นสี่ประเภท ผมเองก็จำไม่ค่อยได้ ทำนองว่า ประเภทแรกคือข้าราชการหรือพนักงานเอกชน ประเภทที่สองคือการทำธุรกิจขนาดเล็ก ประเภทที่สามคือการทำธุรกิจขนาดใหญ่ และประเภทสุดท้ายเกี่ยวกับการลงทุน ทีนี้น้องเขาก็จะอธิบายให้เราฟังว่า การทำงานสองประเภทแรกนั้น ตัวเราเท่ากับเงิน ถ้าเรายังทำงานอยู่ เราก็จะมีเงิน แต่ถ้าเราป่วยหรือหยุดทำงาน เราก็จะไม่มีเงิน ในขณะที่อาชีพประเภทที่เหลือนั้น เหมือนกับเราสร้างเครื่องทำเงินขึ้นมา เราไม่ต้องทำงานก็ยังมีเงินอยู่ และถ้าผมสงสัยว่า แล้วจะทำได้ยังไง ผมก็ต้องไปฟังต่ออีกรอบ ซึ่งก็คืองานที่จัดขึ้นวันนี้นั่นเอง ตอนแรกผมก็ลังเลครับ ไม่อยากไป เพราะเรื่องพวกนี้ผมก็รู้อยู่แล้ว และก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นแอมเวย์แน่นอน แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมขี้เกรงใจเกินไป สุดท้ายก็บอกตกลง
ระหว่างช่วงสามอาทิตย์จากวันนั้นจนถึงวันนี้ น้องเขาไม่ได้โทรมาตื้อผมหรือพูดอะไรเกี่ยวกับธุรกิจเลยครับ มีโทรมาบ้างสองสามครั้ง ถามเรื่องทั่วๆ ไปมากกว่า ทำความรู้จัก เป็นพี่เป็นน้องกัน พอเป็นอย่างนี้ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นเหมือนที่ผมคิดหรือเปล่า และก็คิดว่า ลองไปฟังดูก็ไม่เสียหายอะไร
จนกระทั่งถึงวันนี้ครับ งานสัมมนาจัดขึ้นที่เซ็นทรัลชิดลมครับ (เสียค่าเข้าร่วม 30 บาท) มีนักศึกษามาเข้าร่วมเยอะมาก เด็กมัธยมก็มีไม่น้อยเลยครับ งานสัมมนามีอยู่สามส่วน ส่วนแรกคือเรื่องอนาคตวิทยา ส่วนที่สองเกี่ยวกับการทำธุรกิจ และส่วนที่สามเป็นแขกรับเชิญพิเศษครับ
เริ่มกันที่ส่วนแรกกันเลย วิทยากรทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวอยู่ และก็มีธุรกิจด้านนี้เป็นของตัวเองเหมือนกัน เรื่องที่พูดก็พอจะเดาๆ กันได้ครับ เกี่ยวกับโลกร้อน ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส ดาร์วิน ที่ว่า คนที่จะอยู่รอด ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ต้องเป็นคนที่ปรับตัวได้ นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศอาเซียนเพื่อนบ้านของเรา เช่น จำนวนภาษาที่คนประเทศอื่นๆ พูดได้ ทรัพยากรธรรมชาติของพม่า ฯ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่ภาคธุรกิจ เช่น มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก มีคาร์ลอส สลิม บิล เกตต์ วอร์เรน บัฟเฟ็ต ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงนายริชาร์ด เดวอส ( Richard DeVos) ซึ่งเป็นเจ้าของ Alticor ที่มีธุรกิจย่อย คือ แอมเวย์ ถึงขณะนี้ ผมแน่ใจแล้วครับว่า งานสัมมนานี้เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้แน่นอน
จนเมื่อถึงส่วนที่สอง วิทยากรคนนี้บอกว่าเคยเป็นโปรแกรมเมอร์แล้วออกมาทำธุรกิจของตัวเอง เรื่องที่พูดก็ไม่ได้ต่างจากคนแรกครับ แต่แสดงความเป็นแอมเวย์ชัดเจนกว่าคนแรกมาก คือคำนวณรายได้ให้เสร็จสรรพเลยว่า ทำธุรกิจนี้จะได้เงินเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ ณ ขณะนั้น ผมรู้สึกผิดหวังมากๆ เหมือนถูกหักหลัง ทรยศโดยคนที่ไว้ใจ ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ อยากเดินออกจากห้องไปเลย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเก้าอี้ติดกันมาก และน้องเขาให้ผมนั่งตรงกลางแถวสองเลย เลยต้องจำใจฟังต่อไป
จนกระทั่งถึงส่วนสุดท้าย วิทยากรอายุ 30 ปี เล่าเรื่องชีวิตของตัวเองว่า เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย พ่อแม่มีรายได้เจ็ดหลักต่อเดือน มีเวลาไปเที่ยวต่างประเทศปีละสองสามครั้ง (มีรูปถ่ายตอนไปเที่ยวมาแสดงด้วย) ตอนปอหกถูกส่งไปเรียนที่มาเลเซีย จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยที่นั่น และจบปริญญาตรีสองใบ เกียรตินิยมเหรียญทองทั้งคู่ แล้วก็กลับมาทำงานธนาคารที่ประเทศไทย ได้เงินเดือนแค่ 15000 รู้สึกไม่คุ้มเท่าไหร่ จนได้ไปเจอเพื่อนซึ่งเป็นทายาทสวนยางมูลค่าหลายพันล้านซึ่งก็ทำแอมเวย์อยู่เหมือนกัน เขาเล่าว่า การทำธุรกิจนี้ดีตรงที่ เรายังทำงานประจำควบคู่ไปได้ นอกจากนี้ เขายังแสดงใบเสร็จว่าเดือนๆ หนึ่งได้เงินเท่าไหร่ เริ่มจากเดือนละพันสองพัน ไปจนถึงหลักแสน ปิดท้ายด้วยรูปถ่ายตอนที่ไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งแอมเวย์จัดให้ไปฟรี ไปหลายประเทศด้วยนะครับ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ฯ เขาพยายามย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า เขาไม่ได้มาหลอกให้เราขายแอมเวย์อย่างที่เราคิด แค่มาบอกหนทางที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จอย่างง่ายๆ (คำถามของผมคือ ในเมื่อเขารวยอยู่แล้ว ทำไมไม่ทำธุรกิจของที่บ้าน ยังได้เยอะกว่าทำแอมเวย์อีก)
หลังจากงานสัมมนาจบ ทุกอย่างยังไม่จบครับ ทุกคนต้องล้อมวงแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไร มาจากที่ไหน แต่ให้เลือกจากตัวเลือกสามข้อ ได้แก่ ข้อแรก สนใจและอยากทำบ้าง ข้อสอง สนใจแต่ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ และข้อสาม ไม่สนใจ แน่นอนว่าผมเลือกข้อสามครับ และเพราะผมเลือกข้อนี้ น้องที่แนะนำผมให้มา ก็เริ่มเกลี่ยกล่อมผมอีกครั้ง ว่า ไม่อยากให้เข้าใจผิดว่าเป็นการชักเชิญให้ขายแอมเวย์ อย่าไปเชื่อสิ่งที่คนเขียนกันในอินเตอร์เน็ต แล้วก็ให้ซีดีผมมาแผ่นหนึ่ง บอกให้ผมดูความจริงก่อน ผมก็รับมานะครับ แต่คิดว่าคงไม่ดูแน่นอน เพราะความเชื่อใจมันหายไปหมดแล้ว รู้สึกแย่มากๆ
จบแล้วครับ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ เป็นกระทู้เล่าเรื่องครั้งแรกของผม
ปล. น้องคนนี้ไม่ใช่คนเดียวที่มาสัมภาษณ์ผมนะครับ เมื่อสามวันก่อนก็มีน้องปีหนึ่งอยูมหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม มาถามคำถาม และเล่าเรื่องจากหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" เหมือนกันเป๊ะเลย
เมื่อผมถูกหลอกให้ไปฟังแอมเวย์...
ย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนธันวาคม ขณะที่ผมกำลังกินข้าวอยู่ที่ฟู้ดคอร์ทของห้างมาบุญครอง จู่ๆ ก็มีน้องคนหนึ่ง เดินเข้ามาขอสัมภาษณ์ผมสัก 10 นาที ผมเองก็ยินดีครับ คิดว่าคงเอาไปทำรายงานหรือส่งงานอาจารย์ น้องเขาเป็นนักศึกษาปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คำถามข้อแรกๆ เป็นคำถามทั่วไป เช่น ชื่ออะไร เรียนอยู่ที่ไหน อายุเท่าไหร่ เวลาว่างชอบทำอะไร จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่คำถามเกี่ยวกับอนาคต การวางแผนอนาคต เช่น ความฝันคืออะไร อยากทำงานอะไร ระหว่างข้าราชการ เอกชน และธุรกิจส่วนตัว ผมก็ตอบไปตามที่คิดครับ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่คำถามจิตวิทยาหน่อยๆ เช่น ถ้าพี่ยังเรียนหนังสือต่อไปแบบนี้ ทำงานอดิเรกแบบนี้ไปเรื่อยๆ คิดว่าพี่จะประสบความสำเร็จตามที่หวังหรือเปล่า จากนั้นน้องเขาก็หว่านล้อมผม บอกว่า ถ้าพี่ยังไม่รู้ว่าจะทำความฝันของพี่ให้เป็นจริงได้ยังไง หรือพี่จะประสบความสำเร็จในอนาคตได้ยังไงล่ะก็ ขอให้พี่มาฟังผมอีกรอบวันพรุ่งนี้
ยอมรับว่า ระหว่างที่ตอบคำถามเหล่านี้อยู่ ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า น่าจะเป็นแอมเวย์แน่นอน เพราะเคยได้ยินคนรอบข้างเล่าให้ฟังเรื่องที่ถูกคนหลอกให้ไปนั่งฟังการทำธุรกิจนี้ แต่ด้วยความที่น้องผู้สัมภาษณ์ผมนั้น ยังดูเด็กอยู่ และบอกว่ามาจากชมรมการวางแผนอนาคตที่มีหลายมหาวิทยาลัยเข้าร่วม ท่าทางไม่ได้เหมือนคนที่จะเคยทำธุรกิจนี้หรือจะมาหลอกกันได้ บวกกับความขี้เกรงใจของผม ผมก็ยอมรับคำ บอกว่าจะไปพบอีก
วันต่อมา เรานัดกันที่ห้างพารากอนครับ วันนี้ไม่มีคำถามแบบวันก่อน แต่เริ่มต้นด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับ วิธีการและเป้าหมาย เราควรเลือกอะไร น้องเขาวาดเส้นสองหันไปทางทิศตรงกันข้ามกัน เส้นแรกมีระยะทาง 1000 กิโลเมตร เดินทางด้วยการเดิน ส่วนเส้นที่สองมีระยะทาง 500 กิโลเมตร เดินทางด้วยรถยนต์ และถามผมว่า ถ้าเป็นพี่ พี่จะเลือกเส้นทางไหน แน่นอนครับ ผมก็ต้องเลือกเส้นทางที่สอง พอตอบไป น้องเขาก็บอกต่อว่า แต่เส้นทางแรกจะทำให้มีเงิน 1000 ล้านบาท ในขณะที่เส้นทางที่สองจะทำให้มีหนี้ 1000 ล้านบาทนะ แน่นอนครับ ผมก็ต้องตอบว่า เส้นทางแรกสิ น้องเขาก็จะสรุปว่า ดังนั้น เป้าหมายจึงสำคัญมากกว่าวิธีการ
จากนั้นก็เป็นเรื่องเล่าอีกเรื่องครับ มาจากหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ที่แบ่งประเภทของอาชีพเป็นสี่ประเภท ผมเองก็จำไม่ค่อยได้ ทำนองว่า ประเภทแรกคือข้าราชการหรือพนักงานเอกชน ประเภทที่สองคือการทำธุรกิจขนาดเล็ก ประเภทที่สามคือการทำธุรกิจขนาดใหญ่ และประเภทสุดท้ายเกี่ยวกับการลงทุน ทีนี้น้องเขาก็จะอธิบายให้เราฟังว่า การทำงานสองประเภทแรกนั้น ตัวเราเท่ากับเงิน ถ้าเรายังทำงานอยู่ เราก็จะมีเงิน แต่ถ้าเราป่วยหรือหยุดทำงาน เราก็จะไม่มีเงิน ในขณะที่อาชีพประเภทที่เหลือนั้น เหมือนกับเราสร้างเครื่องทำเงินขึ้นมา เราไม่ต้องทำงานก็ยังมีเงินอยู่ และถ้าผมสงสัยว่า แล้วจะทำได้ยังไง ผมก็ต้องไปฟังต่ออีกรอบ ซึ่งก็คืองานที่จัดขึ้นวันนี้นั่นเอง ตอนแรกผมก็ลังเลครับ ไม่อยากไป เพราะเรื่องพวกนี้ผมก็รู้อยู่แล้ว และก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นแอมเวย์แน่นอน แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมขี้เกรงใจเกินไป สุดท้ายก็บอกตกลง
ระหว่างช่วงสามอาทิตย์จากวันนั้นจนถึงวันนี้ น้องเขาไม่ได้โทรมาตื้อผมหรือพูดอะไรเกี่ยวกับธุรกิจเลยครับ มีโทรมาบ้างสองสามครั้ง ถามเรื่องทั่วๆ ไปมากกว่า ทำความรู้จัก เป็นพี่เป็นน้องกัน พอเป็นอย่างนี้ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นเหมือนที่ผมคิดหรือเปล่า และก็คิดว่า ลองไปฟังดูก็ไม่เสียหายอะไร
จนกระทั่งถึงวันนี้ครับ งานสัมมนาจัดขึ้นที่เซ็นทรัลชิดลมครับ (เสียค่าเข้าร่วม 30 บาท) มีนักศึกษามาเข้าร่วมเยอะมาก เด็กมัธยมก็มีไม่น้อยเลยครับ งานสัมมนามีอยู่สามส่วน ส่วนแรกคือเรื่องอนาคตวิทยา ส่วนที่สองเกี่ยวกับการทำธุรกิจ และส่วนที่สามเป็นแขกรับเชิญพิเศษครับ
เริ่มกันที่ส่วนแรกกันเลย วิทยากรทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวอยู่ และก็มีธุรกิจด้านนี้เป็นของตัวเองเหมือนกัน เรื่องที่พูดก็พอจะเดาๆ กันได้ครับ เกี่ยวกับโลกร้อน ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส ดาร์วิน ที่ว่า คนที่จะอยู่รอด ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ต้องเป็นคนที่ปรับตัวได้ นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศอาเซียนเพื่อนบ้านของเรา เช่น จำนวนภาษาที่คนประเทศอื่นๆ พูดได้ ทรัพยากรธรรมชาติของพม่า ฯ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่ภาคธุรกิจ เช่น มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก มีคาร์ลอส สลิม บิล เกตต์ วอร์เรน บัฟเฟ็ต ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงนายริชาร์ด เดวอส ( Richard DeVos) ซึ่งเป็นเจ้าของ Alticor ที่มีธุรกิจย่อย คือ แอมเวย์ ถึงขณะนี้ ผมแน่ใจแล้วครับว่า งานสัมมนานี้เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้แน่นอน
จนเมื่อถึงส่วนที่สอง วิทยากรคนนี้บอกว่าเคยเป็นโปรแกรมเมอร์แล้วออกมาทำธุรกิจของตัวเอง เรื่องที่พูดก็ไม่ได้ต่างจากคนแรกครับ แต่แสดงความเป็นแอมเวย์ชัดเจนกว่าคนแรกมาก คือคำนวณรายได้ให้เสร็จสรรพเลยว่า ทำธุรกิจนี้จะได้เงินเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ ณ ขณะนั้น ผมรู้สึกผิดหวังมากๆ เหมือนถูกหักหลัง ทรยศโดยคนที่ไว้ใจ ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ อยากเดินออกจากห้องไปเลย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเก้าอี้ติดกันมาก และน้องเขาให้ผมนั่งตรงกลางแถวสองเลย เลยต้องจำใจฟังต่อไป
จนกระทั่งถึงส่วนสุดท้าย วิทยากรอายุ 30 ปี เล่าเรื่องชีวิตของตัวเองว่า เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย พ่อแม่มีรายได้เจ็ดหลักต่อเดือน มีเวลาไปเที่ยวต่างประเทศปีละสองสามครั้ง (มีรูปถ่ายตอนไปเที่ยวมาแสดงด้วย) ตอนปอหกถูกส่งไปเรียนที่มาเลเซีย จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยที่นั่น และจบปริญญาตรีสองใบ เกียรตินิยมเหรียญทองทั้งคู่ แล้วก็กลับมาทำงานธนาคารที่ประเทศไทย ได้เงินเดือนแค่ 15000 รู้สึกไม่คุ้มเท่าไหร่ จนได้ไปเจอเพื่อนซึ่งเป็นทายาทสวนยางมูลค่าหลายพันล้านซึ่งก็ทำแอมเวย์อยู่เหมือนกัน เขาเล่าว่า การทำธุรกิจนี้ดีตรงที่ เรายังทำงานประจำควบคู่ไปได้ นอกจากนี้ เขายังแสดงใบเสร็จว่าเดือนๆ หนึ่งได้เงินเท่าไหร่ เริ่มจากเดือนละพันสองพัน ไปจนถึงหลักแสน ปิดท้ายด้วยรูปถ่ายตอนที่ไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งแอมเวย์จัดให้ไปฟรี ไปหลายประเทศด้วยนะครับ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ฯ เขาพยายามย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า เขาไม่ได้มาหลอกให้เราขายแอมเวย์อย่างที่เราคิด แค่มาบอกหนทางที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จอย่างง่ายๆ (คำถามของผมคือ ในเมื่อเขารวยอยู่แล้ว ทำไมไม่ทำธุรกิจของที่บ้าน ยังได้เยอะกว่าทำแอมเวย์อีก)
หลังจากงานสัมมนาจบ ทุกอย่างยังไม่จบครับ ทุกคนต้องล้อมวงแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไร มาจากที่ไหน แต่ให้เลือกจากตัวเลือกสามข้อ ได้แก่ ข้อแรก สนใจและอยากทำบ้าง ข้อสอง สนใจแต่ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ และข้อสาม ไม่สนใจ แน่นอนว่าผมเลือกข้อสามครับ และเพราะผมเลือกข้อนี้ น้องที่แนะนำผมให้มา ก็เริ่มเกลี่ยกล่อมผมอีกครั้ง ว่า ไม่อยากให้เข้าใจผิดว่าเป็นการชักเชิญให้ขายแอมเวย์ อย่าไปเชื่อสิ่งที่คนเขียนกันในอินเตอร์เน็ต แล้วก็ให้ซีดีผมมาแผ่นหนึ่ง บอกให้ผมดูความจริงก่อน ผมก็รับมานะครับ แต่คิดว่าคงไม่ดูแน่นอน เพราะความเชื่อใจมันหายไปหมดแล้ว รู้สึกแย่มากๆ
จบแล้วครับ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ เป็นกระทู้เล่าเรื่องครั้งแรกของผม
ปล. น้องคนนี้ไม่ใช่คนเดียวที่มาสัมภาษณ์ผมนะครับ เมื่อสามวันก่อนก็มีน้องปีหนึ่งอยูมหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม มาถามคำถาม และเล่าเรื่องจากหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" เหมือนกันเป๊ะเลย