คิดว่าน่าจะมีไม่น้อยที่เคย สำหรับเรา ตอนนั้นเราอยู่ม.5 ช่วงนั้นชอบอ่านบทความต่างๆของเว็บ uncyclopedia คือเว็บคล้ายๆ wiki ใครก็สามารถเข้าไปแก้ไขข้อมูลได้ แต่ต่างกันตรงที่มีสาระกับไม่มีสาระ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://th.uncyclopedia.info/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81
มันจะมีพวกบทความที่เขียนล้อเลียนมหาลัยหรือโรงเรียนที่ต่างๆด้วย เราเลยลองหาว่ามีของโรงเรียนเรามั้ย ปรากฏว่าไม่มีครับ เสร็จโจรสิทีนี้ ก็เลยเริ่มเขียนโดยดูบทความของโรงเรียนอื่นเป็นตัวอย่าง ว่าเขาเรียนอะไรกันบ้าง ส่วนมากจะเป็นเรื่องวีรกรรมที่โด่งดังที่เคยเกิดขึ้นทั้งของคุณครูและนร. เรื่องแย่ๆภายในองกรที่ไม่ควรเอามาพูดข้างนอก บลาๆ
เรามีเพื่อนสนิทคนนึงเป็นผู้หญิง ชื่อมิ้น เป็นรองประธานรุ่น พอเห็นว่าเราเขียนบทความในเว็บนั้น นางก็ตื่นเต้นมาก เพราะนางมีเรื่องจะช่วยเขียนเพิ่มเข้าไปอีกเยอะเลย นางค่อนข้างกว้างขวางและรู้เรื่องชาวบ้านเยอะ บวกกับเป็นประธานรุ่นที่ต้องทำงานให้โรงเรียน เจอกับระบบแย่ๆบางอย่างของโรงเรียนอยู่เสมอ นางก็คงจะเก็บกด เลยเอาเรื่องภายในมาเขียนเพิ่มเติม แต่ก็เขียนไว้ไม่เยอะมาก
วันต่อมามีคุณครูท่านนึงมาพูดหน้าเสาธง บอกว่าตอนนี้โรงเรียนเรากำลังตกอยู่ในอันตราย มีคนไม่หวังดี สร้างเว็บโจมตีโรงเรียน ถ้าใครรู้เบาะแสก็ช่วยมาแจ้งข้อมูลด้วย เพราะแบบนี้มันทำให้โรงเรียนเสื่อมเสีย ยื่นเรื่องให้สถานีตำรวจไปแล้ว แต่นักเรียนที่เข้าแถวอยู่ก็ไม่ได้สนใจกันหรอก พอเลิกแถวมิ้นต้องเอาเอกสารอะไรไม่รู้ไปให้คุณครูทุกคนของแผนกประถมเซ็น เราก็ตามมิ้นไปด้วย(โดดคาบเช้า) เดินไล่ไปทีละห้อง แล้วขอให้ครูที่กำลังสอนอยู่ช่วยเซ็นเอกสาร จะได้เอาไปส่งห้องธุรการ พอให้ครูเซ็นเสร็จ ก็ชิงถามเรื่องที่โรงเรียนโดนทำเว็บประจานเลย ปรากฏว่าครูทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว เพราะเมื่อวาน ครูใหญ่(มาเซอ) เชิญครูทุกคนในโรงเรียนมาประชุมเรื่องที่โรงเรียนโดนเขียนด่า มาเซอคิดว่าคนที่เขียนต้องเป็นครูในโรงเรียนแน่ๆ เลยพาครูทุกคนไปสาบานต่อหน้าพระ ขอให้มีอันเป็นไป บลาๆ เรากับมิ้นถามครูทุกคนในแผนกประถมก็ได้รู้เรื่องมาประมาณนี้แหละครับ พอตกเย็นมิ้นทนไม่ไหวเครียดมาก บอกเราว่าจะไปสารภาพความจริงกับมาเซอ ไปด้วยกันนะ เราก็บอกว่าเราไม่ไป แต่ฝากบอกมาเซอด้วยว่าเราทำคนเดียว มิ้นไม่ได้ทำ
มิ้นก็อึ้งๆทั้งที่มิ้นก็ทำ วันต่อมา คุณครู3คนมาหาเราที่บ้านเลยครับ ทั้งที่บ้านเราก็อยู่ไกลจากโรงเรียนตั้ง 40 กิโล มาตอนค่ำๆด้วย ครูเขาก็ถามโน่นนี่นั่น ประมาณ 2ทุ่ม - 5 ทุ่มเลย นานมาก แต่จำไม่ค่อยได้ว่าเขาถามไรบ้าง เราตอบไรออกไปบ้างจำไม่ได้ มันนานแล้ว ที่จำได้ก็ประมาณว่า อยู่โรงเรียนนี้มากี่ปี รู้สึกยังไงกับโรงเรียน รู้เรื่องของครูคนนั้นได้ยังไง ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน บลาๆ
สรุปคือ ครูเขาไม่เชื่อเรา ว่าเราทำเอง เพราะเขาคิดว่า เด็กม.5ไม่น่าจะทำเว็บได้ (เขาคิดเราสร้างเว็บขึ้นมาเอง แต่จริงๆมันเป็นเว็บสำเร็จรูป) แล้วภาษาที่เขียนก็ไม่น่าจะใช้เด็กม.5 แล้วเรื่องบางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว เด็กที่อยู่มาแค่ 6 ปี จะไปรู้เรื่องเมื่อสมัย10ปีก่อนได้ไง บลาๆ เราก็อธิบายว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็เล่าต่อๆกันมาเป็นทอดๆ ต่อให้เป็นเด็กใหม่ ก็ไม่แปลกที่จะรู้เรื่องเก่าๆ เว็บมันก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย ไม่ต้องเก่งคอมพ์ก็เข้าไปสร้างได้ บลาๆ แต่คุณครูทั้ง3ก็ไม่เชื่ออยู่ดี ต้องมีผู้ใหญ่คอยบงการอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ถามอยู่นั่นแหละว่าใครสั่งให้มาทำ เป็นศิษย์เก่ารุ่นที่เท่าไหร่
เราก็บอกว่า มีเพื่อนอีกคนนึงที่ช่วยเขียน แต่เขียนไม่เยอะ แค่1ย่อหน้า ชื่อมิ้น ที่เป็นรองประธานรุ่น นอกนั้นก็ไม่มีใครแล้ว แต่คุณครูทั้ง3ก็ยังไม่เชื่อ ต้องมีผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลังแน่ๆ
อีกวันเราโดนพาไปคุยกับผู้ใหญ่ของโรงเรียนหลายท่านเลย มีทั้งตำรวจ พระสงฆ์ หัวหน้าสมาคมผู้ปกครอง หัวหน้าสมาคมศิษย์เก่า เราก็โดนรุมถามโน่นถามนี่ วนเวียนอยู่คำถามเก่าๆ ประโยคเก่าๆ เช่น แค่ม.5เองจะไปทำได้ไง เรื่องที่เขียนลงไปมันก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว ไปรู้มาจากไหน อยู่มาแค่6ปีแต่ทำไมรู้ลึกรู้จริงเหมือนอยู่มา50ปี (ตอนนั้นโรงเรียนเปิดมาได้40กว่าปี) จนเราชักเบื่อๆ หลังๆเลยเริ่มตอบกวนๆทีเล่นทีจริงจนโดนด่า
อีกวันเราโดนพามาคุยกับผู้รับใบอนุญาตของโรงเรียน(บาทหลวง) เขาก็ตัดสินว่าจะไม่แจ้งความ เพราะยังหาคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้ มาถึงตรงนี้ ทุกคนก็ยังไม่เชื่อว่าเราทำ แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เชื่อ เพราะถ้าเชื่อขึ้นมาเราก็โดนฟ้องนะซี มีอยู่ไม่กี่คนที่เชื่อเรา เช่น พ่อแม่ เพื่อนในห้อง คนที่รู้จักเรา
เราก็โดนพักการเรียนยาวเลยทีนี้ จนสอบปลายภาคเทอม1 เราก็มาสอบตามปกติ ส่วนการบ้าน งานต่างๆที่คุณครูสั่ง มิ้นเป็นคนทำส่งให้เราหมดเลยโดยที่เราไม่ได้ขอ เพิ่งมารู้ว่ามิ้นทำการบ้านทุกอย่างให้เราก็ตอนที่กลับมาสอบนี่แหละ ส่วนเทอม2 เราก็ย้ายไปอยู่ที่โรงเรียนใหม่ใกล้บ้าน
โรงเรียนเก่าที่เราโดนบังคับให้ออกนั้น ทุกๆปิดเทอมใหญ่ จะมีให้เรียนซัมเมอร์ เด็กที่นั่นถูกบังคับให้เรียน(เพราะโรงเรียนจะเอาเงิน) ใครไม่เรียนจะไม่อัพเกรดให้ ส่วนบุคคลภายนอกก็สามารถเข้าไปเรียนได้ เราก็ไปสมัครเรียนนะ(หน้าด้านจริงๆ) ที่เราไป เพราะเราอยากจะไปหาความจริงบางอย่างที่เรายังสงสัยอยู่
เที่ยงวัน เรากับพวกเพื่อนจะห่อกับข้าวมาแบ่งกินกันในห้องเรียน แต่มิ้นไม่เคยห่อข้าวมาเลย กลับไปกินที่บ้านแล้วตอนบ่ายก็กลับมาเรียนต่อ วันนั้นเป็นวันเรียนซัมเมอร์วันสุดท้าย เราถามเพื่อนในวงข้าว ว่าทำไมเพื่อนทั้งห้องต้องคว่ำบาตรมิ้น แทนที่จะได้กินข้าวด้วยกัน มิ้นต้องเดินกลับบ้านทุกวันเลย ทั้งที่มิ้นก็เขียนด่าโรงเรียนแค่1ย่อหน้าเอง และเราก็ไม่ได้โกรธมิ้นเลย ที่มิ้นเป็นคนไปฟ้องมาเซอ ว่าเราเป็นคนทำ เพราะเราเป็นคนใช้ให้มิ้นไปฟ้องเอง เพื่อนเราตอบมาว่า ถ้าครูตั้มมีมะม่วง10ลูก แกกินไป9ลูกแล้วเค้ากินไป1ลูก ถามว่าครูตั้มต้องฟาดใคร? (ครูตั้มคือครูประจำชั้น) เราตอบคำถามนี้กับเพื่อนเราไม่ได้เลย
เราไม่รู้ว่าตอนที่มิ้นไปสารภาพความจริงกับมาเซอ มิ้นพูดอะไรออกไปบ้าง เพราะเราไม่ได้ไปด้วย แต่ฝากมิ้นให้บอกมาเซอว่า เราทำ มิ้นไม่ได้ทำ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่ามิ้นสารภาพว่าตัวเองทำด้วยรึป่าว แต่เราเชื่อ ว่ายังไงมิ้นก็ต้องสารภาพตามความจริงอยู่แล้ว เลยไม่ได้ถามกับมิ้นตรงๆเรื่องนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราแปลกใจคือ ตลอดเวลาที่เราโดนเอาตัวไปสอบสวน(ตอนที่ยังอยู่ม.5) เราพูดเสมอว่า นอกจากเรากับมิ้นก็ไม่มีใครทำอีกแล้ว แต่คุณครูและผู้ใหญ่หลายๆท่านในโรงเรียนกลับไม่เชื่อเลย ... ในเมื่อเราบอกชื่อมิ้นไปแล้วว่ามิ้นมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทำไมมิ้นกลับไม่โดนเรียกตัวไปคุยเลยสักครั้ง (แต่เราก็ดีใจนะ ที่มันไม่เป็นแบบนั้น)
เราได้คำตอบในวันสุดท้ายนั่นแหละ ก่อนขึ้นรถกลับบ้าน เราเดินสวนกับคุณครู2คน ที่เคยมาหาเราที่บ้าน เราถามว่าทำไมมิ้นไม่โดนบ้าง
เราได้คำตอบมาว่า ... มิ้นเป็นถึงรองประธาน นิสัยดี เรียนดี สร้างผลงานให้โรงเรียนเยอะแยะ มิ้นไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นหรอก ... สรุปคือ คุณครูคิดว่าเราโยนความผิดให้มิ้น ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกจริงๆ เลยขึ้นรถกลับบ้านไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ แถมคุณครูยังเยาะเย้อใส่เราอีก ว่า ไม่เชื่อหรอก ว่าทำเองคนเดียว
จากบทความที่เราเขียนประจานโรงเรียนไป เราก็เขียนไปเฉพาะข้อมูลที่เราจำๆมาจากเพื่อนๆบ้าง คุณครูที่อยู่มานานๆเล่าให้ฟังบ้าง พอรวมๆกันแล้วปรากฏว่ามันก็เยอะเหมือนกันนะ ปรินต์ออกมาได้ 10 กระดาษ A4 เลย แต่พอเรื่องแดงถึงขั้นจะฟ้องปุ๊บ มันยิ่งทำให้เราได้เห็นเรื่องน่าประจานของโรงเรียนเพิ่มขึ้นมาอีกตั้งหลายเรื่องเลย อย่างเช่น ตอนที่เราถูกพาไปคุยกับมาเซอ มาเซอก็ด่าๆๆๆๆเรา โดยที่ยังไม่ได้อ่านบทความของเราเลยสักตัว -*- สุดท้ายก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ต้องปรินต์ออกมาอ่านไปด้วย ด่าไปด้วย ทีละย่อหน้า เรื่องบางเรื่องมาเซอไม่รู้มาก่อน เช่น หอพักนักเรียนหญิง นอนรวม30คน แต่มีพัดลม1ตัว
ตอนที่เราโดนสั่งพักการเรียน คุณครูที่อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารบอกไว้ว่า ช่วงที่พักการเรียน ไม่ต้องทำการบ้านส่ง เพราะจะใช้คะแนนสอบปลายภาคคิดเป็นคะแนนทั้งหมดไปเลย ไปอ่านหนังสือที่บ้านซะ พอกลับมาอีกที โดนครูฝ่ายวิชาการทวงงานสิครับ ว่าทำไมไม่ตามงาน เราก็บอกไปว่าผู้บริหารบอกว่าไม่ต้องทำ พอหัวหน้าฝ่ายวิชาการไปหาผุ้บริหาร ผู้บริหารก็ทำเป็นไม่รู้ไม่รเห็น โชคดีที่มิ้นทำการบ้านส่งให้ไม่งั้นคงต้องมานั่งทำอีกบาน
เราไม่ได้ไปเรียน3เดือนเต็มๆ แต่ก็ยังโดนทวงค่าเรียนพิเศษ 3 เดือน เดือนละ 800 .... อ่อครับ โรงเรียนเขาต้องการเงินหนะ
แล้วก็สิ่งที่เราเจ็บใจที่สุดคือ มาเซอโทรศัพท์ไปหาเจ้าหน้าที่ห้องธุรการ บอกว่า ให้ปรินต์ใบลาออกมาให้หน่อย พอพนักงานเอาใบลาออกมาให้มาเซอ มาเซอก็บอกว่า ให้ไปปรินต์มาใหม่ ให้เพิ่มช่องหมายเหตุข้างล่างด้วย จะได้เอาไว้เขียนเพิ่มเติม ว่าออกเพราะอะไร คือปกติใบลาออกของโรงเรียนนี้จะไม่มีช่องหมายเหตุหรือช่องสำหรับกรอกประวัติเสีย ทั้งที่มาเซอยังไม่ได้ถามเราเลยสักคำว่าจะออกไม่ออก แต่เอาใบลาออกมาให้เขียนเลย แสดงว่า เราโดนบังคับให้ออก ซึ่งเราก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลยนะครับ ก็ก่อเรื่องไว้เสียขนาดนั้นก็สมควรแล้วที่โดนบังคับออก แต่มันเจ็บใจตรงที่ ตอนที่เราโดนพักการเรียนไปแล้ว เรื่องทุกอย่างเคลียร์แล้ว มาเซอเอาเรื่องทั้งหมดมาพูดหน้าเสาธงแบบมั่วๆว่า " เราลาออกเอง เพราะสำนึกผิด " .... เรารู้สึกเสียหมามากเลย ตอนที่มารู้ทีหลังว่ามาเซอพูดแบบนี้ คนอย่างเราไม่มีทางลาออกเพราะทำความผิดแล้วอายจนอยู่ต่อไม่ได้หรอก (หน้าด้านจริงๆ) ยังมีรายละเอียดยิบย่อยอีกเยอะครับวีรกรรมนี้ เล่าสิบวันก็ไม่จบ เอาเป็นว่าตัดจบแค่นี้พอนาา
ปล.มิ้นไปเรียนต่างประเทศ เคร่งศาสนามาก ไม่เล่นเฟส เลยติดต่อด้วยไม่ได้อีกแล้ว ยังมีเรื่องที่อยากถามอีกเยอะมาก แต่ก็ไม่มีโอกาสแล้ว เศร้าใจจัง
ใครเคยมีประสบการณ์ โดนไล่ออก เชิญออก บังคับให้ลาออกจากรร.บ้าง มาแชร์กัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มันจะมีพวกบทความที่เขียนล้อเลียนมหาลัยหรือโรงเรียนที่ต่างๆด้วย เราเลยลองหาว่ามีของโรงเรียนเรามั้ย ปรากฏว่าไม่มีครับ เสร็จโจรสิทีนี้ ก็เลยเริ่มเขียนโดยดูบทความของโรงเรียนอื่นเป็นตัวอย่าง ว่าเขาเรียนอะไรกันบ้าง ส่วนมากจะเป็นเรื่องวีรกรรมที่โด่งดังที่เคยเกิดขึ้นทั้งของคุณครูและนร. เรื่องแย่ๆภายในองกรที่ไม่ควรเอามาพูดข้างนอก บลาๆ
เรามีเพื่อนสนิทคนนึงเป็นผู้หญิง ชื่อมิ้น เป็นรองประธานรุ่น พอเห็นว่าเราเขียนบทความในเว็บนั้น นางก็ตื่นเต้นมาก เพราะนางมีเรื่องจะช่วยเขียนเพิ่มเข้าไปอีกเยอะเลย นางค่อนข้างกว้างขวางและรู้เรื่องชาวบ้านเยอะ บวกกับเป็นประธานรุ่นที่ต้องทำงานให้โรงเรียน เจอกับระบบแย่ๆบางอย่างของโรงเรียนอยู่เสมอ นางก็คงจะเก็บกด เลยเอาเรื่องภายในมาเขียนเพิ่มเติม แต่ก็เขียนไว้ไม่เยอะมาก
วันต่อมามีคุณครูท่านนึงมาพูดหน้าเสาธง บอกว่าตอนนี้โรงเรียนเรากำลังตกอยู่ในอันตราย มีคนไม่หวังดี สร้างเว็บโจมตีโรงเรียน ถ้าใครรู้เบาะแสก็ช่วยมาแจ้งข้อมูลด้วย เพราะแบบนี้มันทำให้โรงเรียนเสื่อมเสีย ยื่นเรื่องให้สถานีตำรวจไปแล้ว แต่นักเรียนที่เข้าแถวอยู่ก็ไม่ได้สนใจกันหรอก พอเลิกแถวมิ้นต้องเอาเอกสารอะไรไม่รู้ไปให้คุณครูทุกคนของแผนกประถมเซ็น เราก็ตามมิ้นไปด้วย(โดดคาบเช้า) เดินไล่ไปทีละห้อง แล้วขอให้ครูที่กำลังสอนอยู่ช่วยเซ็นเอกสาร จะได้เอาไปส่งห้องธุรการ พอให้ครูเซ็นเสร็จ ก็ชิงถามเรื่องที่โรงเรียนโดนทำเว็บประจานเลย ปรากฏว่าครูทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว เพราะเมื่อวาน ครูใหญ่(มาเซอ) เชิญครูทุกคนในโรงเรียนมาประชุมเรื่องที่โรงเรียนโดนเขียนด่า มาเซอคิดว่าคนที่เขียนต้องเป็นครูในโรงเรียนแน่ๆ เลยพาครูทุกคนไปสาบานต่อหน้าพระ ขอให้มีอันเป็นไป บลาๆ เรากับมิ้นถามครูทุกคนในแผนกประถมก็ได้รู้เรื่องมาประมาณนี้แหละครับ พอตกเย็นมิ้นทนไม่ไหวเครียดมาก บอกเราว่าจะไปสารภาพความจริงกับมาเซอ ไปด้วยกันนะ เราก็บอกว่าเราไม่ไป แต่ฝากบอกมาเซอด้วยว่าเราทำคนเดียว มิ้นไม่ได้ทำ
มิ้นก็อึ้งๆทั้งที่มิ้นก็ทำ วันต่อมา คุณครู3คนมาหาเราที่บ้านเลยครับ ทั้งที่บ้านเราก็อยู่ไกลจากโรงเรียนตั้ง 40 กิโล มาตอนค่ำๆด้วย ครูเขาก็ถามโน่นนี่นั่น ประมาณ 2ทุ่ม - 5 ทุ่มเลย นานมาก แต่จำไม่ค่อยได้ว่าเขาถามไรบ้าง เราตอบไรออกไปบ้างจำไม่ได้ มันนานแล้ว ที่จำได้ก็ประมาณว่า อยู่โรงเรียนนี้มากี่ปี รู้สึกยังไงกับโรงเรียน รู้เรื่องของครูคนนั้นได้ยังไง ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน บลาๆ
สรุปคือ ครูเขาไม่เชื่อเรา ว่าเราทำเอง เพราะเขาคิดว่า เด็กม.5ไม่น่าจะทำเว็บได้ (เขาคิดเราสร้างเว็บขึ้นมาเอง แต่จริงๆมันเป็นเว็บสำเร็จรูป) แล้วภาษาที่เขียนก็ไม่น่าจะใช้เด็กม.5 แล้วเรื่องบางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว เด็กที่อยู่มาแค่ 6 ปี จะไปรู้เรื่องเมื่อสมัย10ปีก่อนได้ไง บลาๆ เราก็อธิบายว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็เล่าต่อๆกันมาเป็นทอดๆ ต่อให้เป็นเด็กใหม่ ก็ไม่แปลกที่จะรู้เรื่องเก่าๆ เว็บมันก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย ไม่ต้องเก่งคอมพ์ก็เข้าไปสร้างได้ บลาๆ แต่คุณครูทั้ง3ก็ไม่เชื่ออยู่ดี ต้องมีผู้ใหญ่คอยบงการอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ถามอยู่นั่นแหละว่าใครสั่งให้มาทำ เป็นศิษย์เก่ารุ่นที่เท่าไหร่
เราก็บอกว่า มีเพื่อนอีกคนนึงที่ช่วยเขียน แต่เขียนไม่เยอะ แค่1ย่อหน้า ชื่อมิ้น ที่เป็นรองประธานรุ่น นอกนั้นก็ไม่มีใครแล้ว แต่คุณครูทั้ง3ก็ยังไม่เชื่อ ต้องมีผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลังแน่ๆ
อีกวันเราโดนพาไปคุยกับผู้ใหญ่ของโรงเรียนหลายท่านเลย มีทั้งตำรวจ พระสงฆ์ หัวหน้าสมาคมผู้ปกครอง หัวหน้าสมาคมศิษย์เก่า เราก็โดนรุมถามโน่นถามนี่ วนเวียนอยู่คำถามเก่าๆ ประโยคเก่าๆ เช่น แค่ม.5เองจะไปทำได้ไง เรื่องที่เขียนลงไปมันก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว ไปรู้มาจากไหน อยู่มาแค่6ปีแต่ทำไมรู้ลึกรู้จริงเหมือนอยู่มา50ปี (ตอนนั้นโรงเรียนเปิดมาได้40กว่าปี) จนเราชักเบื่อๆ หลังๆเลยเริ่มตอบกวนๆทีเล่นทีจริงจนโดนด่า
อีกวันเราโดนพามาคุยกับผู้รับใบอนุญาตของโรงเรียน(บาทหลวง) เขาก็ตัดสินว่าจะไม่แจ้งความ เพราะยังหาคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้ มาถึงตรงนี้ ทุกคนก็ยังไม่เชื่อว่าเราทำ แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เชื่อ เพราะถ้าเชื่อขึ้นมาเราก็โดนฟ้องนะซี มีอยู่ไม่กี่คนที่เชื่อเรา เช่น พ่อแม่ เพื่อนในห้อง คนที่รู้จักเรา
เราก็โดนพักการเรียนยาวเลยทีนี้ จนสอบปลายภาคเทอม1 เราก็มาสอบตามปกติ ส่วนการบ้าน งานต่างๆที่คุณครูสั่ง มิ้นเป็นคนทำส่งให้เราหมดเลยโดยที่เราไม่ได้ขอ เพิ่งมารู้ว่ามิ้นทำการบ้านทุกอย่างให้เราก็ตอนที่กลับมาสอบนี่แหละ ส่วนเทอม2 เราก็ย้ายไปอยู่ที่โรงเรียนใหม่ใกล้บ้าน
โรงเรียนเก่าที่เราโดนบังคับให้ออกนั้น ทุกๆปิดเทอมใหญ่ จะมีให้เรียนซัมเมอร์ เด็กที่นั่นถูกบังคับให้เรียน(เพราะโรงเรียนจะเอาเงิน) ใครไม่เรียนจะไม่อัพเกรดให้ ส่วนบุคคลภายนอกก็สามารถเข้าไปเรียนได้ เราก็ไปสมัครเรียนนะ(หน้าด้านจริงๆ) ที่เราไป เพราะเราอยากจะไปหาความจริงบางอย่างที่เรายังสงสัยอยู่
เที่ยงวัน เรากับพวกเพื่อนจะห่อกับข้าวมาแบ่งกินกันในห้องเรียน แต่มิ้นไม่เคยห่อข้าวมาเลย กลับไปกินที่บ้านแล้วตอนบ่ายก็กลับมาเรียนต่อ วันนั้นเป็นวันเรียนซัมเมอร์วันสุดท้าย เราถามเพื่อนในวงข้าว ว่าทำไมเพื่อนทั้งห้องต้องคว่ำบาตรมิ้น แทนที่จะได้กินข้าวด้วยกัน มิ้นต้องเดินกลับบ้านทุกวันเลย ทั้งที่มิ้นก็เขียนด่าโรงเรียนแค่1ย่อหน้าเอง และเราก็ไม่ได้โกรธมิ้นเลย ที่มิ้นเป็นคนไปฟ้องมาเซอ ว่าเราเป็นคนทำ เพราะเราเป็นคนใช้ให้มิ้นไปฟ้องเอง เพื่อนเราตอบมาว่า ถ้าครูตั้มมีมะม่วง10ลูก แกกินไป9ลูกแล้วเค้ากินไป1ลูก ถามว่าครูตั้มต้องฟาดใคร? (ครูตั้มคือครูประจำชั้น) เราตอบคำถามนี้กับเพื่อนเราไม่ได้เลย
เราไม่รู้ว่าตอนที่มิ้นไปสารภาพความจริงกับมาเซอ มิ้นพูดอะไรออกไปบ้าง เพราะเราไม่ได้ไปด้วย แต่ฝากมิ้นให้บอกมาเซอว่า เราทำ มิ้นไม่ได้ทำ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่ามิ้นสารภาพว่าตัวเองทำด้วยรึป่าว แต่เราเชื่อ ว่ายังไงมิ้นก็ต้องสารภาพตามความจริงอยู่แล้ว เลยไม่ได้ถามกับมิ้นตรงๆเรื่องนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราแปลกใจคือ ตลอดเวลาที่เราโดนเอาตัวไปสอบสวน(ตอนที่ยังอยู่ม.5) เราพูดเสมอว่า นอกจากเรากับมิ้นก็ไม่มีใครทำอีกแล้ว แต่คุณครูและผู้ใหญ่หลายๆท่านในโรงเรียนกลับไม่เชื่อเลย ... ในเมื่อเราบอกชื่อมิ้นไปแล้วว่ามิ้นมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทำไมมิ้นกลับไม่โดนเรียกตัวไปคุยเลยสักครั้ง (แต่เราก็ดีใจนะ ที่มันไม่เป็นแบบนั้น)
เราได้คำตอบในวันสุดท้ายนั่นแหละ ก่อนขึ้นรถกลับบ้าน เราเดินสวนกับคุณครู2คน ที่เคยมาหาเราที่บ้าน เราถามว่าทำไมมิ้นไม่โดนบ้าง
เราได้คำตอบมาว่า ... มิ้นเป็นถึงรองประธาน นิสัยดี เรียนดี สร้างผลงานให้โรงเรียนเยอะแยะ มิ้นไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นหรอก ... สรุปคือ คุณครูคิดว่าเราโยนความผิดให้มิ้น ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกจริงๆ เลยขึ้นรถกลับบ้านไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ แถมคุณครูยังเยาะเย้อใส่เราอีก ว่า ไม่เชื่อหรอก ว่าทำเองคนเดียว
จากบทความที่เราเขียนประจานโรงเรียนไป เราก็เขียนไปเฉพาะข้อมูลที่เราจำๆมาจากเพื่อนๆบ้าง คุณครูที่อยู่มานานๆเล่าให้ฟังบ้าง พอรวมๆกันแล้วปรากฏว่ามันก็เยอะเหมือนกันนะ ปรินต์ออกมาได้ 10 กระดาษ A4 เลย แต่พอเรื่องแดงถึงขั้นจะฟ้องปุ๊บ มันยิ่งทำให้เราได้เห็นเรื่องน่าประจานของโรงเรียนเพิ่มขึ้นมาอีกตั้งหลายเรื่องเลย อย่างเช่น ตอนที่เราถูกพาไปคุยกับมาเซอ มาเซอก็ด่าๆๆๆๆเรา โดยที่ยังไม่ได้อ่านบทความของเราเลยสักตัว -*- สุดท้ายก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ต้องปรินต์ออกมาอ่านไปด้วย ด่าไปด้วย ทีละย่อหน้า เรื่องบางเรื่องมาเซอไม่รู้มาก่อน เช่น หอพักนักเรียนหญิง นอนรวม30คน แต่มีพัดลม1ตัว
ตอนที่เราโดนสั่งพักการเรียน คุณครูที่อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารบอกไว้ว่า ช่วงที่พักการเรียน ไม่ต้องทำการบ้านส่ง เพราะจะใช้คะแนนสอบปลายภาคคิดเป็นคะแนนทั้งหมดไปเลย ไปอ่านหนังสือที่บ้านซะ พอกลับมาอีกที โดนครูฝ่ายวิชาการทวงงานสิครับ ว่าทำไมไม่ตามงาน เราก็บอกไปว่าผู้บริหารบอกว่าไม่ต้องทำ พอหัวหน้าฝ่ายวิชาการไปหาผุ้บริหาร ผู้บริหารก็ทำเป็นไม่รู้ไม่รเห็น โชคดีที่มิ้นทำการบ้านส่งให้ไม่งั้นคงต้องมานั่งทำอีกบาน
เราไม่ได้ไปเรียน3เดือนเต็มๆ แต่ก็ยังโดนทวงค่าเรียนพิเศษ 3 เดือน เดือนละ 800 .... อ่อครับ โรงเรียนเขาต้องการเงินหนะ
แล้วก็สิ่งที่เราเจ็บใจที่สุดคือ มาเซอโทรศัพท์ไปหาเจ้าหน้าที่ห้องธุรการ บอกว่า ให้ปรินต์ใบลาออกมาให้หน่อย พอพนักงานเอาใบลาออกมาให้มาเซอ มาเซอก็บอกว่า ให้ไปปรินต์มาใหม่ ให้เพิ่มช่องหมายเหตุข้างล่างด้วย จะได้เอาไว้เขียนเพิ่มเติม ว่าออกเพราะอะไร คือปกติใบลาออกของโรงเรียนนี้จะไม่มีช่องหมายเหตุหรือช่องสำหรับกรอกประวัติเสีย ทั้งที่มาเซอยังไม่ได้ถามเราเลยสักคำว่าจะออกไม่ออก แต่เอาใบลาออกมาให้เขียนเลย แสดงว่า เราโดนบังคับให้ออก ซึ่งเราก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลยนะครับ ก็ก่อเรื่องไว้เสียขนาดนั้นก็สมควรแล้วที่โดนบังคับออก แต่มันเจ็บใจตรงที่ ตอนที่เราโดนพักการเรียนไปแล้ว เรื่องทุกอย่างเคลียร์แล้ว มาเซอเอาเรื่องทั้งหมดมาพูดหน้าเสาธงแบบมั่วๆว่า " เราลาออกเอง เพราะสำนึกผิด " .... เรารู้สึกเสียหมามากเลย ตอนที่มารู้ทีหลังว่ามาเซอพูดแบบนี้ คนอย่างเราไม่มีทางลาออกเพราะทำความผิดแล้วอายจนอยู่ต่อไม่ได้หรอก (หน้าด้านจริงๆ) ยังมีรายละเอียดยิบย่อยอีกเยอะครับวีรกรรมนี้ เล่าสิบวันก็ไม่จบ เอาเป็นว่าตัดจบแค่นี้พอนาา
ปล.มิ้นไปเรียนต่างประเทศ เคร่งศาสนามาก ไม่เล่นเฟส เลยติดต่อด้วยไม่ได้อีกแล้ว ยังมีเรื่องที่อยากถามอีกเยอะมาก แต่ก็ไม่มีโอกาสแล้ว เศร้าใจจัง