-- รู้ทันภัยจากแท็กซี่ใจร้ายนะคะ เรื่องนี้เกิดกับตัวเราเอง เมื่อวานนี้เอง และก็อยากบอกต่อวิธีที่เป็นประโยชน์ไว้ป้องกันตัวเองคะ อาจจะยาวสักหน่อย แต่มันมีประโยชน์จริงๆคะ --
เดือนภัยสังคม ให้รู้ถึงภัย และวิธีป้องกันตัวเองของแท็กซี่ที่พยายามจะมอมยาผู้โดยสาร เมื่อเหยื่อรู้ตัวก็จะปล่อยให้ลงโดยดี
เลยลอยนวลมาได้ เพราะไม่สามารถเอาผิดหรือมีคนเสียเวลาไปแจ้งความเพราะคิดว่าทำไปก็ไม่ได้อะไร มันเลยก่อเหตุอีกครั้ง โดยเลือกผู้โดยสารที่ออกมาเรียกรถกลับบ้านหลังเลิกเรียน ป.โท ภาคค่ำ
ขอให้เรื่องของเราเป็นวิทยาทานให้รู้เท่าทันภัยเวลากลับแท็กซี่จากเรียน หรือเลิกงานเวลาดึกๆ
เพราะเราได้คำแนะนำจากพี่สาวคนหนึ่ง ช่วยให้เรารู้และเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ได้
เราอยากให้เรื่องของเราได้ช่วยแนะนำคนอื่นได้บ้าง ถึงแม้จะดูไม่ดี ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
แต่ถ้าเรามีสติ และรู้วิธีการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายมันไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
และเราก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดกับตัวเราด้วย
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเอาตัวรอดมาให้ได้คะ สู้ๆ
วันศุกร์หกโมงเย็นไปคลาสติวก่อนสอบไฟนอล Decision Skill ที่ตึก CMMU
เลิกคลาสประมาณ 3 ทุ่ม 20 ก็ออกมาเรียกเเท็กซี่กลับคอนโดเหมือนทุกวันที่เรียนคลาสเย็น
บอกสถานที่ แล้วก็นั่งไป สักพัก ทำไมแอร์รถคันนี้ต้องเปิดแรงสุดด้วย ทั้งๆที่เป็นแท็กซี่ใหม่
แบตมือถือเหลือแค่ 4% เลยปิด 3G จะได้เหลือแบตไว้ เผื่อมีไรฉุกเฉิน
เพราะรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งใน cmmu ที่สนิทกันเราให้เราฟังว่าเคยเกือบโดนแท็กซี่มอมยา ซึ่งคันนั้นเปิดแอร์แรง คนขับดื่มน้ำบ่อย
จนพี่เขาหายใจไม่ออก มึนหัวมากตอนเรียกแท็กซี่จากหน้ามหาลัยไปส่งที่บ้าน
แต่จำทะเบียนไม่ได้ จำได้แค่ว่าเป็นแท็กซี่สีชมพู แต่คุยกับแฟนอยู่ แฟนพี่เขาเลยบอกให้ลงจากรถ ก็เลยไม่เป็นอะไร
(เราเลยระวังตัวเองทุกครั้งจากคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จากพี่คนนั้น)
"ปวดหัวจังแหะ ทำไมเขาต้องขับเร็วปาดไป ปาดมาด้วย เราไม่ได้รีบจะกลับหอซะหน่อย"
เราเลิกเรียน 3 ทุ่ม ต้องกลับแท็กซี่เองคนเดียวตลอดเลยต้องสังเกตอาการคนขับตลอดทาง
ถึงแยกวิภา ที่จะเลี้ยวขวาเข้าไปแยกสุทธิ ก็ยังคงขับรถเร็วมากเหมือนเดิม แล้วคนขับก็หยิบอะไรขึ้นมาเคี้ยว
ในขณะที่แอร์ก็ยังเปิดแรงสุด เหมือนเดิม ผ่านโลตัสเอ็กเพลส เริ่มปวดหัว มึนๆ รู้สึกผิดปกติ หายใจขัดๆ
เลยหยิบโทรศัพท์มาโทรบอกพี่กิ๊งว่าเราอยู่ตรงไหนออกจากมหาลัยมาสักพักแล้ว จะถึงแยกสุทธิสาร
แล้ววางโทรศัพท์เสร็จ รู้สึกหน้าวูบ จะเป็นลม หายใจไม่ออก
เลยโกหกคนขับแท็กซี่ไป บอกว่ามีเพื่อนมารับ ขอลงตรงนี้แทน
ซึ่งแท็กซี่ก็ให้ลงโดยดี พอเราลงปุ๊บ แท็กซี่คันนั้นก็ขับเลยไปนิดหนึ่งแล้วดับเครื่อง เหมือนเฝ้าดูว่าเรารู้ตัวหรือป่าว
นาทีนั้นตกใจมาก คุณพระคุ้มครองที่ลูกรู้ตัวทันภัยชั่วที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต
แต่หันไปเห็นแท็กซี่ยังจอดอยู่แถมดับเครื่องเราก็เลยหยิบโทรศัพท์
โทรไปบอกให้แฟนฟังว่า เราเกือบโดนแท็กซี่มอมยา ดีที่รู้ตัวทัน เลยรีบลงมาก่อน
ขอบคุณคำแนะนำจากพี่คนนั้นทำให้เรารอดชีวิตมาได้
ถามว่าทำไม ไม่ลง ทั้งที่รู้สึกผิดปกติตั้งแต่แรก เพราะว่ารอบๆมันมืด
และเปลี่ยวเลยอดทนลงตรงหัวมุมที่เป็นที่ตั้งสถานีสุทธิสารคะ
ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคคนที่สถานีสุทธิสาร แม้ว่าดึกแล้วก็ยังบริการเอาใจใส่ประชาชนอย่างเรา
ตั้งแต่เดินก้าวแรกเข้าไปกะว่าแค่จะไปหลบรอให้ใครมารับ
เพราะไม่กล้านั่งแท็กซี่กลับแล้ว
สภาพตอนนั้นตกใจมาก เดินเข้าไปเราหน้าไม่ดีเหมือนจะร้องไห้ หิ้วกระเป๋าลากเพราะตอนบ่ายไปส่งของให้ลูกค้าแล้วเอาติดไปที่มหาลัยด้วย
คุณตำรวจคนหนึ่งเดินมาถาม "เป็นอะไรหรือป่าว มีอะไรให้ช่วยไหมครับ"
เราก็แจ้งไปว่าเกือบโดนแท็กซี่มอมยา แต่รู้ตัวก่อนเลยบอกให้จอดลงตรงใกล้กับทางเข้าโรงพัก
แต่ไม่กล้าเรียกแท็กซี่นั่งกลับต่อเพราะคันนั้นเหมือนจอดรอดูเราอยู่
เลยขอเข้ามาหลบในโรงพักก่อนเพราะกลัวมาก T_T และก็แจ้งไปว่าเราขึ้น
แท็กซี่สีชมพู ทะเบียน ทษ1403 กทม.
คุณตำรวจก็รีบสั่งให้ตำรวจอีกท่านช่วยเช็คกล้องวงจรปิด เช็คภาพแท็กซี่คันนั้น แล้วตำรวจอีกท่านก็ช่วยลากของ ที่เอามาส่งลูกค้า ให้เรา
(บอกตรงๆเลยว่าเป็นคนมีอคติกับตำรวจ ไม่ค่อยชอบ แต่เหตุการณ์วันนี้มันทำให้เราเปลี่ยนความคิดไปเลย)
จากที่คิดว่าตำรวจคงไม่สนใจเรื่องเราแน่นอน
กลายเป็นทุกคนที่สถานีเอาใจใส่ ดูแลผู้หญิงคนหนึ่งที่เกือบจะต้องเจอเหตุการณ์ที่เลวร้าย
ทำให้เรารู้สึกคลายกังวล และหายตกใจ
เจ้าหน้าที่ก็มารับเรื่องที่เราแจ้งว่าเกรงจะถูกมอมยาจากแท็กซี่คันนั้น
แล้วเราก็ถูกส่งให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลตำรวจ
ทั้งๆที่ขอแล้วว่าเป็นที่โรงพยาบาลอื่นๆใกล้ๆแถวนี้ได้ไหม เนื่องจากไปไม่เป็น
เพื่อนเราก็ขับไปไม่ถูก เลยโทรถามให้แฟนมาช่วยพาไป ก็ไปกัน 3 คน เรา แฟน และเพื่อน
พอถึงโรงพยาบาลตำรวจก็รอกรอกประวัติทำบัตร แล้วก็รอตรวจ คุณหมอผู้หญิงที่ตรวจก็ซักถามอาการ เราก็บอกว่าเราโดนมอมยา
แต่รู้ตัวทันขอลงก่อนเลยไม่เป็นอะไร
โดยสังเกตว่าแท็กซี่เปิดแอร์แรงสุด ขับรถเร็ว หาบ้างอย่างมาเคี้ยว เรารู้สึกหายใจไม่ออก ปวดหัว มึนๆ เหมือนคนกินเหล้า ผะอืดผะอม
อยากอ้วกแต่ไม่อ้วก จนหายใจไม่ออกเลยขอลงก่อนที่จะถึงบ้าน
คุณหมอผู้หญิงก็เอาอาการเราไปปรึกษากับหมอผู้ชายอีกท่าน ที่อาวุโสกว่า
หมอผช. "
คุณไม่ต้องมาบอกว่าเขาไปเจออะไรมาบ้าง เรามีหน้าที่แค่ตรวจว่าเขาเป็นอะไรเท่านั้น
อย่างอื่นมันไม่ได้เกี่ยว ผมไม่ได้อยากรู้" พูดเสียงดัง เราเลยได้ยินน้ำตาถึงกับซึมออกมาอีกรอบ
คุณหมอ ผญ. โดนดุ เลยแจ้งอาการที่เราเป็นว่าเป็นอะไรบ้าง
แล้วหมอ ผช. ก็เดินมา บอกว่าเอายาไปทาน แล้วก็แจ้งอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ถูกลวนลาม หรือเป็นลม ไม่มีเรี่ยวแรง
ไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้
เรา "
อย่างนี้ก็ทำอะไรกับแท็กซี่คันนั้นไม่ได้เลยสิคะ"
หมอ ผช. "
ทำอะไรไม่ได้หรอก กะอิแค่ลมแอร์ มันมีมีหลักฐาน ตรวจสอบไม่ได้"
พูดเสียงห้วนๆ แบบเลิกเซ้าซี้ซะที เอายาและก็กลับไปได้แล้ว
คิดไปเองหรือป่าว อาจจะไม่สบายเองก็เป็นได้แล้ว (คหสต)
อึ้งไปเลย ไม่คิดว่า หมอ ผช.คนนี้ เป็นถึงคุณหมอ นอกจากจะพูดจาไม่ดี
ไม่สนใจว่าคนไข้จะเจอกับเรื่องเลวร้ายแค่ไหนมากลับพูดจาไม่ใส่ใจว่าเราตกใจมาก
เราแค่อยากไม่ให้เรื่องมันจบไป แล้วคนร้ายก็ลอยนวล กลับมาทำแบบนี้กับคนอื่นๆอีก
เราเลยยอมเสียเวลาไปนั่งแจ้งความเกือบ 2 ชม. แล้วเสียเวลามาตรวจร่างกายที่นี่อีก
ไกลก็ไกล รอก็นาน บริการก็ช้า ห้องน้ำก็สกปรก แล้วยังให้หมอ ผช. คนหนึ่ง มาพูดจาให้เสียใจ อีก
เหมือนเราทำมาทั้งหมดมันหายไปเลยคะ คนร้ายก็ลอยนวลไปได้ เพราะไม่มีหลักฐานเอาผิด
เลยถามไปว่า
ต้องโดนลวนลาม ชิงทรัพย์ก่อนใช่ไหม ถึงจะจัดการคนร้ายได้
ถ้าคนที่เขาฉลาด รู้จักป้องกันตัวเอง รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เอาตัวรอดได้
ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะหมอบอกว่า กับอิแค่ลมแอร์ มันตรวจสอบไม่ได้ว่าคุณโดนอะไรมา
(ถ้าพูดจาให้ดีกว่านี้ และคิดก่อนพูด ใส่ใจคนอื่น อย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพราะถ้าวันหนึ่ง
ญาติผู้หญิง หรือคนที่คุณรักเจอแบบนี้เข้ากับตัวแล้วละก็ อาจจะไม่โชคดีแบบเราก็ได้นะ!!!!
อย่างนี้ไงคนร้ายถึงยอมให้เราลงแต่โดยดีเมื่อเหยื่อรู้ตัว เพราะก็ไม่มีความผิด
"เพราะมันก็อิแค่ลมแอร์ ใช่ไหมคะคุณหมอ"
คนอื่นที่เจอเขาก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ดี กลับบ้านนอนสบายกว่า
เราเลือกที่จะลำบาก เพื่อนเราเลือกที่จะอยู่เป็นเพื่อนเรา
เพื่ออยากให้คนร้ายไม่ออกมาทำความผิดแบบนี้อีก เพราะเรารู้ว่ามันรู้สึกแย่ และตกใจขนาดไหน ถึงแม้ว่าเราจะไม่เป็นอะไร
>> ต้องรอให้เป็นอะไรก่อนหรือไง ถึงจะเอาผิดให้คนร้าย / หรือคนที่เริ่มคิดจะคิดร้ายต่อคนอื่น ได้หยุดกระทำสิ่งเหล่านั้นซะ
เพราะกฎหมายเอาผิดพวกคุณได้ อย่าให้วัวหายแล้วล้อมคอก ให้คนด่า ถึงจะทำอะไรๆดีขึ้นมา ช่วยกันเถอะคะ อย่าปล่อยให้คนชั่วที่คิดว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้
เพราะเขาจะกลับมาทำชั่วกับคนอื่นๆได้อีกไม่รู้เท่าไหร่ อย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพราะวันหนึ่งวันอาจเป็นตัวเรา เหมือนที่เรากำลังเจออยู่ก็ได้คะ
สุดท้ายนี้
ขอบคุณพื่อนสนิท ทั้งๆที่ไม่รู้ทางแต่แกก็รีบมารับฉันที่สถานี และก็อยู่ทำเรื่องที่โรงพักเป็นชั่วโมงกับฉันและไปเป็นเพื่อนตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอีก
ขอบใจแกจริงๆ
ขอบคุณแฟน และครอบครัวแฟนที่เพิ่งจะลงเครื่องบิน เพิ่งกลับจากไปต่างประเทศ กำลังกลับบ้าน ก็เจอเรื่องเรา และรีบเข้ามาดูแลนะคะ ขอบคุณมากคะ
ขอบคุณคุณพ่อ ที่เป็นห่วงจะรีบขับรถจากกาญจนบุรีมาหาเราที่กรุงเทพ ตอนนั้น แต่เราห้ามไว้ว่าไม่เป็นไรมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว
ขอบคุณคำแนะนำดีๆจากพี่คนนั้น ทำให่เรารอดมาได้ มันทำให้เราคิดได้ว่า ขอให้เรื่องของเราได้มีส่วนช่วยให้คนอื่นๆ ปลอดภัย และรอดจากเหตุการณ์ร้ายๆอย่างนี้ได้
เพราะเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อเรียกแท็กซี่หน้ามหาลัย หลังเลิกเรียนตอนดึกๆกลับบ้าน แล้วก็เป็นสีชมพูทั้งสองครั้ง ที่พยายามจะมอมยานักศึกษาผู้หญิง ป.โท ที่เลิกเรียนตอนค่ำ
และกลับบ้านคนเดียว (มันคงไม่บังเอิญ หรอกที่เหตุการณ์คล้ายกันจะเริ่มต้นที่ สถานที่เดียวกัน ถ้าไม่ใช่คนเดียวกัน พวกเราผู้หญิงก็อันตรายมากคะ ที่มีแท็กซี่เลือกที่จะลงมือในที่เดียวกันถึง 2 ครั้ง)
แต่เราไม่ได้รับแจ้งอะไรจากทางโรงพยาบาลตำรวจว่ามีสารพิษหรือไม่ และก็ไม่ได้รับแจ้งความคืบหน้าจากสถานีตำรวจเช่นเดียวกันคะ
เรื่องนานแล้ว เราอาจจะทำอะไรไม่ได้มากที่จะจับคนขับแท็กซี่คนนั้นมาลงโทษ แต่ก็อยากแชร์ประสบการณ์ให้ทุกคนระมัดระวังตนเองไว้นะคะ
อย่าประมาท ถ้าตั้งนั่งแท็กซี่กลับคนเดียว (ยิ่งของเยอะๆ ยิ่งตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายนะคะ คหสต. เพราะของเยอะคงอยากนั่งแท็กซี่สบายๆ จนถึงบ้าน
มากกว่า ถ้ามีอะไรผิดปกติ ก็จะไม่ค่อยยอมลง เพราะของเยอะขี้เกียจเรียกคันใหม่ ต้องหอบของพะรังพะรัง)
เรื่องยาวนิดหนึ่งนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ แล้วเอาวิธีเราไปลองปรับใช้ดูนะคะ หากเจอเหตุการณ์ผิดปกติบนแท็กซี่คะ
รู้ทันภัยแท็กซี่ มอมยา!!!!
-- รู้ทันภัยจากแท็กซี่ใจร้ายนะคะ เรื่องนี้เกิดกับตัวเราเอง เมื่อวานนี้เอง และก็อยากบอกต่อวิธีที่เป็นประโยชน์ไว้ป้องกันตัวเองคะ อาจจะยาวสักหน่อย แต่มันมีประโยชน์จริงๆคะ --
เดือนภัยสังคม ให้รู้ถึงภัย และวิธีป้องกันตัวเองของแท็กซี่ที่พยายามจะมอมยาผู้โดยสาร เมื่อเหยื่อรู้ตัวก็จะปล่อยให้ลงโดยดี
เลยลอยนวลมาได้ เพราะไม่สามารถเอาผิดหรือมีคนเสียเวลาไปแจ้งความเพราะคิดว่าทำไปก็ไม่ได้อะไร มันเลยก่อเหตุอีกครั้ง โดยเลือกผู้โดยสารที่ออกมาเรียกรถกลับบ้านหลังเลิกเรียน ป.โท ภาคค่ำ
ขอให้เรื่องของเราเป็นวิทยาทานให้รู้เท่าทันภัยเวลากลับแท็กซี่จากเรียน หรือเลิกงานเวลาดึกๆ
เพราะเราได้คำแนะนำจากพี่สาวคนหนึ่ง ช่วยให้เรารู้และเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ได้
เราอยากให้เรื่องของเราได้ช่วยแนะนำคนอื่นได้บ้าง ถึงแม้จะดูไม่ดี ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
แต่ถ้าเรามีสติ และรู้วิธีการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายมันไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
และเราก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดกับตัวเราด้วย
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเอาตัวรอดมาให้ได้คะ สู้ๆ
วันศุกร์หกโมงเย็นไปคลาสติวก่อนสอบไฟนอล Decision Skill ที่ตึก CMMU
เลิกคลาสประมาณ 3 ทุ่ม 20 ก็ออกมาเรียกเเท็กซี่กลับคอนโดเหมือนทุกวันที่เรียนคลาสเย็น
บอกสถานที่ แล้วก็นั่งไป สักพัก ทำไมแอร์รถคันนี้ต้องเปิดแรงสุดด้วย ทั้งๆที่เป็นแท็กซี่ใหม่
แบตมือถือเหลือแค่ 4% เลยปิด 3G จะได้เหลือแบตไว้ เผื่อมีไรฉุกเฉิน
เพราะรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งใน cmmu ที่สนิทกันเราให้เราฟังว่าเคยเกือบโดนแท็กซี่มอมยา ซึ่งคันนั้นเปิดแอร์แรง คนขับดื่มน้ำบ่อย
จนพี่เขาหายใจไม่ออก มึนหัวมากตอนเรียกแท็กซี่จากหน้ามหาลัยไปส่งที่บ้าน
แต่จำทะเบียนไม่ได้ จำได้แค่ว่าเป็นแท็กซี่สีชมพู แต่คุยกับแฟนอยู่ แฟนพี่เขาเลยบอกให้ลงจากรถ ก็เลยไม่เป็นอะไร
(เราเลยระวังตัวเองทุกครั้งจากคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จากพี่คนนั้น)
"ปวดหัวจังแหะ ทำไมเขาต้องขับเร็วปาดไป ปาดมาด้วย เราไม่ได้รีบจะกลับหอซะหน่อย"
เราเลิกเรียน 3 ทุ่ม ต้องกลับแท็กซี่เองคนเดียวตลอดเลยต้องสังเกตอาการคนขับตลอดทาง
ถึงแยกวิภา ที่จะเลี้ยวขวาเข้าไปแยกสุทธิ ก็ยังคงขับรถเร็วมากเหมือนเดิม แล้วคนขับก็หยิบอะไรขึ้นมาเคี้ยว
ในขณะที่แอร์ก็ยังเปิดแรงสุด เหมือนเดิม ผ่านโลตัสเอ็กเพลส เริ่มปวดหัว มึนๆ รู้สึกผิดปกติ หายใจขัดๆ
เลยหยิบโทรศัพท์มาโทรบอกพี่กิ๊งว่าเราอยู่ตรงไหนออกจากมหาลัยมาสักพักแล้ว จะถึงแยกสุทธิสาร
แล้ววางโทรศัพท์เสร็จ รู้สึกหน้าวูบ จะเป็นลม หายใจไม่ออก
เลยโกหกคนขับแท็กซี่ไป บอกว่ามีเพื่อนมารับ ขอลงตรงนี้แทน
ซึ่งแท็กซี่ก็ให้ลงโดยดี พอเราลงปุ๊บ แท็กซี่คันนั้นก็ขับเลยไปนิดหนึ่งแล้วดับเครื่อง เหมือนเฝ้าดูว่าเรารู้ตัวหรือป่าว
นาทีนั้นตกใจมาก คุณพระคุ้มครองที่ลูกรู้ตัวทันภัยชั่วที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต
แต่หันไปเห็นแท็กซี่ยังจอดอยู่แถมดับเครื่องเราก็เลยหยิบโทรศัพท์
โทรไปบอกให้แฟนฟังว่า เราเกือบโดนแท็กซี่มอมยา ดีที่รู้ตัวทัน เลยรีบลงมาก่อน
ขอบคุณคำแนะนำจากพี่คนนั้นทำให้เรารอดชีวิตมาได้
ถามว่าทำไม ไม่ลง ทั้งที่รู้สึกผิดปกติตั้งแต่แรก เพราะว่ารอบๆมันมืด
และเปลี่ยวเลยอดทนลงตรงหัวมุมที่เป็นที่ตั้งสถานีสุทธิสารคะ
ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคคนที่สถานีสุทธิสาร แม้ว่าดึกแล้วก็ยังบริการเอาใจใส่ประชาชนอย่างเรา
ตั้งแต่เดินก้าวแรกเข้าไปกะว่าแค่จะไปหลบรอให้ใครมารับ
เพราะไม่กล้านั่งแท็กซี่กลับแล้ว
สภาพตอนนั้นตกใจมาก เดินเข้าไปเราหน้าไม่ดีเหมือนจะร้องไห้ หิ้วกระเป๋าลากเพราะตอนบ่ายไปส่งของให้ลูกค้าแล้วเอาติดไปที่มหาลัยด้วย
คุณตำรวจคนหนึ่งเดินมาถาม "เป็นอะไรหรือป่าว มีอะไรให้ช่วยไหมครับ"
เราก็แจ้งไปว่าเกือบโดนแท็กซี่มอมยา แต่รู้ตัวก่อนเลยบอกให้จอดลงตรงใกล้กับทางเข้าโรงพัก
แต่ไม่กล้าเรียกแท็กซี่นั่งกลับต่อเพราะคันนั้นเหมือนจอดรอดูเราอยู่
เลยขอเข้ามาหลบในโรงพักก่อนเพราะกลัวมาก T_T และก็แจ้งไปว่าเราขึ้น
แท็กซี่สีชมพู ทะเบียน ทษ1403 กทม.
คุณตำรวจก็รีบสั่งให้ตำรวจอีกท่านช่วยเช็คกล้องวงจรปิด เช็คภาพแท็กซี่คันนั้น แล้วตำรวจอีกท่านก็ช่วยลากของ ที่เอามาส่งลูกค้า ให้เรา
(บอกตรงๆเลยว่าเป็นคนมีอคติกับตำรวจ ไม่ค่อยชอบ แต่เหตุการณ์วันนี้มันทำให้เราเปลี่ยนความคิดไปเลย)
จากที่คิดว่าตำรวจคงไม่สนใจเรื่องเราแน่นอน
กลายเป็นทุกคนที่สถานีเอาใจใส่ ดูแลผู้หญิงคนหนึ่งที่เกือบจะต้องเจอเหตุการณ์ที่เลวร้าย
ทำให้เรารู้สึกคลายกังวล และหายตกใจ
เจ้าหน้าที่ก็มารับเรื่องที่เราแจ้งว่าเกรงจะถูกมอมยาจากแท็กซี่คันนั้น
แล้วเราก็ถูกส่งให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลตำรวจ
ทั้งๆที่ขอแล้วว่าเป็นที่โรงพยาบาลอื่นๆใกล้ๆแถวนี้ได้ไหม เนื่องจากไปไม่เป็น
เพื่อนเราก็ขับไปไม่ถูก เลยโทรถามให้แฟนมาช่วยพาไป ก็ไปกัน 3 คน เรา แฟน และเพื่อน
พอถึงโรงพยาบาลตำรวจก็รอกรอกประวัติทำบัตร แล้วก็รอตรวจ คุณหมอผู้หญิงที่ตรวจก็ซักถามอาการ เราก็บอกว่าเราโดนมอมยา
แต่รู้ตัวทันขอลงก่อนเลยไม่เป็นอะไร
โดยสังเกตว่าแท็กซี่เปิดแอร์แรงสุด ขับรถเร็ว หาบ้างอย่างมาเคี้ยว เรารู้สึกหายใจไม่ออก ปวดหัว มึนๆ เหมือนคนกินเหล้า ผะอืดผะอม
อยากอ้วกแต่ไม่อ้วก จนหายใจไม่ออกเลยขอลงก่อนที่จะถึงบ้าน
คุณหมอผู้หญิงก็เอาอาการเราไปปรึกษากับหมอผู้ชายอีกท่าน ที่อาวุโสกว่า
หมอผช. "คุณไม่ต้องมาบอกว่าเขาไปเจออะไรมาบ้าง เรามีหน้าที่แค่ตรวจว่าเขาเป็นอะไรเท่านั้น
อย่างอื่นมันไม่ได้เกี่ยว ผมไม่ได้อยากรู้" พูดเสียงดัง เราเลยได้ยินน้ำตาถึงกับซึมออกมาอีกรอบ
คุณหมอ ผญ. โดนดุ เลยแจ้งอาการที่เราเป็นว่าเป็นอะไรบ้าง
แล้วหมอ ผช. ก็เดินมา บอกว่าเอายาไปทาน แล้วก็แจ้งอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ถูกลวนลาม หรือเป็นลม ไม่มีเรี่ยวแรง
ไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้
เรา "อย่างนี้ก็ทำอะไรกับแท็กซี่คันนั้นไม่ได้เลยสิคะ"
หมอ ผช. "ทำอะไรไม่ได้หรอก กะอิแค่ลมแอร์ มันมีมีหลักฐาน ตรวจสอบไม่ได้" พูดเสียงห้วนๆ แบบเลิกเซ้าซี้ซะที เอายาและก็กลับไปได้แล้ว
คิดไปเองหรือป่าว อาจจะไม่สบายเองก็เป็นได้แล้ว (คหสต)
อึ้งไปเลย ไม่คิดว่า หมอ ผช.คนนี้ เป็นถึงคุณหมอ นอกจากจะพูดจาไม่ดี
ไม่สนใจว่าคนไข้จะเจอกับเรื่องเลวร้ายแค่ไหนมากลับพูดจาไม่ใส่ใจว่าเราตกใจมาก
เราแค่อยากไม่ให้เรื่องมันจบไป แล้วคนร้ายก็ลอยนวล กลับมาทำแบบนี้กับคนอื่นๆอีก
เราเลยยอมเสียเวลาไปนั่งแจ้งความเกือบ 2 ชม. แล้วเสียเวลามาตรวจร่างกายที่นี่อีก
ไกลก็ไกล รอก็นาน บริการก็ช้า ห้องน้ำก็สกปรก แล้วยังให้หมอ ผช. คนหนึ่ง มาพูดจาให้เสียใจ อีก
เหมือนเราทำมาทั้งหมดมันหายไปเลยคะ คนร้ายก็ลอยนวลไปได้ เพราะไม่มีหลักฐานเอาผิด
เลยถามไปว่า ต้องโดนลวนลาม ชิงทรัพย์ก่อนใช่ไหม ถึงจะจัดการคนร้ายได้
ถ้าคนที่เขาฉลาด รู้จักป้องกันตัวเอง รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เอาตัวรอดได้
ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะหมอบอกว่า กับอิแค่ลมแอร์ มันตรวจสอบไม่ได้ว่าคุณโดนอะไรมา
(ถ้าพูดจาให้ดีกว่านี้ และคิดก่อนพูด ใส่ใจคนอื่น อย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพราะถ้าวันหนึ่ง
ญาติผู้หญิง หรือคนที่คุณรักเจอแบบนี้เข้ากับตัวแล้วละก็ อาจจะไม่โชคดีแบบเราก็ได้นะ!!!!
อย่างนี้ไงคนร้ายถึงยอมให้เราลงแต่โดยดีเมื่อเหยื่อรู้ตัว เพราะก็ไม่มีความผิด "เพราะมันก็อิแค่ลมแอร์ ใช่ไหมคะคุณหมอ"
คนอื่นที่เจอเขาก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ดี กลับบ้านนอนสบายกว่า เราเลือกที่จะลำบาก เพื่อนเราเลือกที่จะอยู่เป็นเพื่อนเรา
เพื่ออยากให้คนร้ายไม่ออกมาทำความผิดแบบนี้อีก เพราะเรารู้ว่ามันรู้สึกแย่ และตกใจขนาดไหน ถึงแม้ว่าเราจะไม่เป็นอะไร
>> ต้องรอให้เป็นอะไรก่อนหรือไง ถึงจะเอาผิดให้คนร้าย / หรือคนที่เริ่มคิดจะคิดร้ายต่อคนอื่น ได้หยุดกระทำสิ่งเหล่านั้นซะ
เพราะกฎหมายเอาผิดพวกคุณได้ อย่าให้วัวหายแล้วล้อมคอก ให้คนด่า ถึงจะทำอะไรๆดีขึ้นมา ช่วยกันเถอะคะ อย่าปล่อยให้คนชั่วที่คิดว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้
เพราะเขาจะกลับมาทำชั่วกับคนอื่นๆได้อีกไม่รู้เท่าไหร่ อย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพราะวันหนึ่งวันอาจเป็นตัวเรา เหมือนที่เรากำลังเจออยู่ก็ได้คะ
สุดท้ายนี้
ขอบคุณพื่อนสนิท ทั้งๆที่ไม่รู้ทางแต่แกก็รีบมารับฉันที่สถานี และก็อยู่ทำเรื่องที่โรงพักเป็นชั่วโมงกับฉันและไปเป็นเพื่อนตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอีก
ขอบใจแกจริงๆ
ขอบคุณแฟน และครอบครัวแฟนที่เพิ่งจะลงเครื่องบิน เพิ่งกลับจากไปต่างประเทศ กำลังกลับบ้าน ก็เจอเรื่องเรา และรีบเข้ามาดูแลนะคะ ขอบคุณมากคะ
ขอบคุณคุณพ่อ ที่เป็นห่วงจะรีบขับรถจากกาญจนบุรีมาหาเราที่กรุงเทพ ตอนนั้น แต่เราห้ามไว้ว่าไม่เป็นไรมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว
ขอบคุณคำแนะนำดีๆจากพี่คนนั้น ทำให่เรารอดมาได้ มันทำให้เราคิดได้ว่า ขอให้เรื่องของเราได้มีส่วนช่วยให้คนอื่นๆ ปลอดภัย และรอดจากเหตุการณ์ร้ายๆอย่างนี้ได้
เพราะเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อเรียกแท็กซี่หน้ามหาลัย หลังเลิกเรียนตอนดึกๆกลับบ้าน แล้วก็เป็นสีชมพูทั้งสองครั้ง ที่พยายามจะมอมยานักศึกษาผู้หญิง ป.โท ที่เลิกเรียนตอนค่ำ
และกลับบ้านคนเดียว (มันคงไม่บังเอิญ หรอกที่เหตุการณ์คล้ายกันจะเริ่มต้นที่ สถานที่เดียวกัน ถ้าไม่ใช่คนเดียวกัน พวกเราผู้หญิงก็อันตรายมากคะ ที่มีแท็กซี่เลือกที่จะลงมือในที่เดียวกันถึง 2 ครั้ง)
แต่เราไม่ได้รับแจ้งอะไรจากทางโรงพยาบาลตำรวจว่ามีสารพิษหรือไม่ และก็ไม่ได้รับแจ้งความคืบหน้าจากสถานีตำรวจเช่นเดียวกันคะ
เรื่องนานแล้ว เราอาจจะทำอะไรไม่ได้มากที่จะจับคนขับแท็กซี่คนนั้นมาลงโทษ แต่ก็อยากแชร์ประสบการณ์ให้ทุกคนระมัดระวังตนเองไว้นะคะ
อย่าประมาท ถ้าตั้งนั่งแท็กซี่กลับคนเดียว (ยิ่งของเยอะๆ ยิ่งตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายนะคะ คหสต. เพราะของเยอะคงอยากนั่งแท็กซี่สบายๆ จนถึงบ้าน
มากกว่า ถ้ามีอะไรผิดปกติ ก็จะไม่ค่อยยอมลง เพราะของเยอะขี้เกียจเรียกคันใหม่ ต้องหอบของพะรังพะรัง)
เรื่องยาวนิดหนึ่งนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ แล้วเอาวิธีเราไปลองปรับใช้ดูนะคะ หากเจอเหตุการณ์ผิดปกติบนแท็กซี่คะ