กระทู้อื่นๆอีกแยะ ที่จะพาคุณไปฮาน้ำตาเล็ด >>
“ภูกระดึง” (เกือบ)ถึงที่ตาย!!! >>
https://ppantip.com/topic/39622790
นั่งรถไฟไปดู..."ผี"...ที่เชียงดาว>>
https://ppantip.com/topic/37548826
ดราม่า!...หลวงพระบาง>>
http://ppantip.com/topic/34466332
เจอผี...ที่เวียงจันทร์>>
http://ppantip.com/topic/33113878
คนที่...5>>
http://ppantip.com/topic/34528419
ปีนัง...ปัง! ปัง! โป๊ะ!>>
http://ppantip.com/topic/35690354
* หมายเหตุ ออกตัวก่อนว่านี่เป็นกระทู้แรกของผม ผิดพลาดอะไรขอโทษไว้ก่อนนะครับ
- สำหรับภาพถ่ายอาจจะไม่สวยอะไรเพราะผมพกไปแค่มือถือถ่ายได้สวยสุดแค่นี้ ขอโทษอีกทีครับ
ถ้าพร้อมแล้ว...ก็แบกเป้ ตามผมมาได้เลยคร้าบ ^^
ท่ามกลางหมู่ตึกคอนกรีตระฟ้า ที่พุ่งทะยานดั่งจะเอื้อมมือขึ้นไขว่คว้าหมู่เมฆก้อนใหญ่ ผมเดินแบกหินหนาหนักที่เรียกว่าความรับผิดชอบ พร้อมๆกับขอบตาที่เอ่อท่วม อยู่ปลายสุดของเหว...
เอ่อ...เดี๋ยวนะ! “ผมไม่ใช่นักเขียน” ไม่ต้องพยายามประดิษฐ์ประดอยคำพูดยากๆขนาดนั้นหรอก อีกอย่างมันก็ไม่ได้ดราม่าน้ำตาท่วมจอกันขนาดนั้น
เรื่องจริงคือ...หลังจากที่ผมนั่งว่างๆมองดูปฏิทินวันหยุดที่เหลือไม่มาก บวกกับเคยนั่งดูหนังเรื่อง”สบายดี หลวงพะบาง”มาได้เกือบ10รอบ อยู่ๆก็รู้สึกหนวดเครางอกดั้งโด่งเบ้าหน้าคล้ายอนันดาขึ้นมาในเช้าวันนึง น่าจะได้เวลาที่ผมควรจะออกไปแตะขอบฟ้าตามหารักแท้ดูสักที
เปิดกระเป๋า “มีเงินสดอยู่ 3,000 หน่อยๆ มันจะพาผมไปได้แค่ไหน” อยากจะรู้เหมือนกัน
ถึง”ลาว”จะดูใกล้ แต่ในการที่เราจะไปในที่ที่เรามีข้อมูลแค่อย่างเดียวคือชื่อบนหนังDVD มันก็น่ากังวลอยู่ไม่น้อย…
ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่ค่อนข้างนาน...
ประมาณ...5 นาที!!!
“ไปว่ะ...มันจะยากแค่ไหนกัน”
นั่นคือเรื่องราวใน 9 ชั่วโมงก่อน...ก่อนที่ผมจะมานั่งเขียนประโยคนี้ในไดอารี่บนเก้าอี้ยาวที่ชานชาลาหัวลำโพง วันนี้ 24ธันวาคม 2557 ที่คนแน่นเต็มสถานี
เคยมีคนพูดเอาไว้ว่า “คิดจะ Backpacker ไม่ต้องเตรียมอะไร แค่...เป้หนึ่งใบกับใจถึงๆก็พอ”
หึหึ...ถึงไม่ถึง...เดี๋ยวก็รู้
เนื่องจากผมออกมาโดยไม่มีวางแผนอะไรล่วงหน้า เท่าๆที่ถามๆก็มีแต่คนบอกว่า”วังเวียง” ผมรู้คร่าวๆว่ามันต้องไปเริ่มที่นองคาย โดยเอาเวียงจันทร์เป็นที่ตั้งและการเดินทางโดยรถไฟก็ค่อนข้างง่ายเพราะมัน ”ฟรี” ก็แบกเป้เดินหาตั๋วแบบโง่ๆ ถามหาตั๋วฟรี วันนี้ ซึ่งหลายที่เริ่มหยุดงานแล้ว ตั๋วฟรีเต็มหมด ไอ้ผมจะเกาะหน้าต่างรถไฟไป พ่อผมก็ไม่ได้ชื่อ จา พนม ซะด้วยสิ แต่พนักงานก็ใจดีแจ้งว่ายังพอมีเหลือตั๋วตู้นอนแอร์เตียงล่างเอามั้ย?
นาทีนั้นยังไงก็ต้องเอา...ดีกว่าแบกกระเป๋าเดินกลับบ้าน ...
จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเคยใช้บริการรถไฟ ตอนที่ถูกถามว่าเอาเตียงไหน ผมตอบแบบไม่ลังเลเลยว่า”เตียงบน” เพราะรู้สึกมันดู”เหนือ” รู้สึกเป็นพวกชนชั้นบน พอขึ้นไปถึงบนโบกี้ก็ได้แต่งงว่าเตียงบนมันอยู่ตรงไหน
หรือ...ผมต้องนอนบนตะแกรงนั้น...”เฮ้ย!...ผมไม่ใช่นักยิมนาสติกนะ!!!”
แต่พอเห็นพนักงานเดินมาแงะตู้ออกก็พอได้โล่งใจ ...
ผมระทึกตลอดการเดินทางในเตียงบนวันนั้นเพราะขณะที่รถไฟวิ่งโยกไปโยกมา กลัวเหลือเกินว่าผมจะหล่นลงไปทำความรู้จักกับพื้นรถไฟแข็งๆข้างล่างจริงๆ แต่ไม่ต้องกังวลไป
เพราะการรถไฟมีระบบความปลอดภัยคือ...สายกั้นขนาดไม่ถึงคืบจำนวน2เส้นคอยกั้นเราเอาไว้ แหม...สบายใจเหลือเกิน
ตั้งแต่นั้นมาก็เลยตั้งใจว่า “จะไม่นอนเตียงบนอีก...เด็ดขาด” วันนี้จึงถือว่าโชคดีมากๆ
เอาล่ะ...กลับมาที่รถไฟตอนนี้ดีกว่า รถจะออกในเวลา2ทุ่มและถึงหนองคายประมาณ8โมงเช้า
ผมตั้งใจว่าจะไป”วังเวียง”เห็นใครต่อใครก็บอกว่าสวยนักสวยหนา เปรียบเสมือน”กุ้ยหลิน เมืองลาว” ผมก็ไม่เคยเห็นหรอกว่ากุ้ยหลินจริงๆสวยแค่ไหน แต่ถ้าใครต่อใครพากันการันตีขนาดนี้ มันก็คงจะสวยจริงๆนั้นแหล่ะ
ระหว่างรอจัดเตียง ผมโชคดีที่เจอคนลาวที่กำลังจะกลับลาว เลยชวนคุยและบอกเค้าว่าผมเองจะไปลาวคนเดียว เค้าคงสงสาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในความงงๆของผม พอถามไปถามมาก็พอจะรู้คร่าวๆว่า การไปวังเวียงสามารถขึ้นรถจากอุดรสาย “อุดร-หนองคาย-วังเวียง”รอบ8โมงได้ หรือจะไปรอที่หนองคายรอบ10โมงก็ได้เช่นกัน
ระหว่างดีใจที่ได้ข้อมูล...ผมลืมไปว่า “ผมกำลังใช้บริการการรถไฟ”
ที่ขึ้นชื่อมากเรื่อง...”ความตรงต่อเวลา”
ระหว่างนั่งอยู่ ก็มีพนักงานถามผมเป็นภาษาอังกฤษว่า “สนใจจะรับอาหารมั้ย”
ผมก็เผลอตอบแบบไม่ได้สนใจอะไรไปว่า “No”
เท่านั้นแหล่ะ...หายนะมาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านเลย “ฝรั่ง” ฝรั่งที่ไม่ใช่อังกฤษ อิมพอร์ทจากฝรั่งเศสเลย ทำหน้าเหมือนเจอสถานทูตประเทศฝรั่งเศสอยู่บนขบวนรถไฟไทยรีบชวนผมคุยใหญ่เลย
“หน้าผม...เหมือนคนหน้าตาดูมีความรู้ด้านภาษาขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้คล่องผมอยากจะบอกพี่เค้าเหลือเกินว่า...”เท้าพี่...เหม็นมาก!”
รถไฟกำลังพาผมออกจากเมืองใหญ่...ที่เต็มไปด้วยหมู่ตึก แสงไฟ เสียงแตร ผ่านหน้าต่างรถไฟ
ตี 2 กว่า ทุกคนปิดม่านหลบอยู่ในโลกของตัวเอง
ผมตื่นขึ้นเพราะแสงอาทิตย์แยงตาเข้ามาทางหน้าต่างรถไฟ อันที่จริงผมนอนไม่ค่อยหลับ หลับๆตื่นๆมากกว่า เพราะว่าแปลกที่ มันเป็นภาพที่อธิบายค่อนข้างลำบาก เหมือนกำลังนั่งดูหนังที่ฉายผ่านกระจกรถไฟท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีน้ำเงินอมม่วงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงและส้มในเวลาไม่ถึง5นาที มีต้นไม้เล็กใหญ่ข้างทางวิ่งผ่านหน้าเราไป สำหรับผมมันสวยกว่าวิวที่มองจากตึกใหญ่ที่เห็นทุกวันตอนเช้าเยอะเลย “คงเป็นนิมิตหมายหรือสัญญาณที่ดี...สำหรับการเดินทางวันนี้”
“ตั๋วเต็มคะ”...
2 ชั่วโมงต่อมา ผมยืนอยู่หน้าช่องขายตั๋ว บขส.หนองคาย พร้อมกับคำพูดสั้นๆง่ายๆที่มีความหมายยาวเป็นฝาบ้าน
อยู่ดีดีรู้สึกเหมือนถูก”บัวขาว”วิ่งมากระโดดถีบจากข้างหลัง ผมเองก็เพิ่งจะรู้ รถสายอุดร-หนองคาย-วังเวียง วิ่งแค่วันละรอบ...”และมักจะเต็มตั้งแต่ที่อุดรแล้ว” ถามพนักงานว่าแล้วผมพอจะมีทางไหนไปได้บ้าง พนักงานก็อารมณ์เหมือนโดนโปรแกรมมาตอบสั้นๆง่ายๆแต่มีความหมายยาวเป็นฝาบ้านเหมือนเดิมว่า ”ไม่รู้คะ” ด้วยสำเนียงแบบSiriในIphone
นาทีนั้นถึงกับงง แล้วผมจะเอายังไงดี ต้องเปิดอินเตอร์เน็ตหาข้อมูลก่อน แบตมือถือก็เหลือไม่มาก เลยหาอะไรทานที่ร้านตามสั่งแล้วขอเค้าชาร์จแบตไป สรุปผมต้องซื้อตั๋วจากหนองคายเข้าไปเวียงจันทร์ราคา55บาทแล้วหารถไปวังเวียงตามยถากรรมเอาเอง
หน้าตารถที่จะพาเราไปที่เวียงจันทร์ ดูดีทีเดียว
ระหว่างที่ขึ้นรถมา บรรยากาศจะค่อนข้างโกลาหลเพราะมีอยู่หลายชนชาติปนๆกัน พอขึ้นไปเสร็จพนักงานก็จะแจกใบผ่านแดนให้เรากรอกเพื่อเตรียมสำหรับผ่าน ตม. วินาทีนี้ผมเพิ่งจะมารู้ว่าสิ่งที่สำคัญนอกจากเป้กับหัวใจอีกอย่างที่ควรเตรียมไว้คือ...ปากกา
* สำหรับคนที่เข้า ตม.ครั้งแรกอาจจะงงๆ เอาง่ายๆเท่าที่ผมเข้าใจ เวลาที่เข้ามาเค้าจะให้เอกสารเข้าเมืองมา2ชุด ของไทยและลาวอย่างละชุด แต่ละชุดจะมี2ใบคือ”ขาเข้าและขาออก” ข้อมูลที่ต้องกรอกก็กรอกตามPassportได้เลยครับ ไม่ได้ยากเหมือนสอบGat-Pat พอถึง ตม. ไทยจะฉีกใบขาออก ให้เราเก็บขาเข้าเอาไว้ ส่วนลาวจะฉีกขาเข้าและให้เรากรอกใบขาออกไว้ เราก็เก็บไว้ให้ดีดี อย่าให้หาย!!! เพราะถ้าหาย...เราก็ต้องมานั่งกรอกใหม่ (จะตกใจทำไมเนี้ย?)
ก่อนจะออกจากด่านต้องซื้อใบนี้ เพื่อสอดช่องผ่านประตูเหมือนBTSแหล่ะครับ วันธรรมดา5บาท วันหยุด 40 บาท
พอเราทำทุกอย่างเสร็จรถทัวร์ที่เรามาจะจอดรอเราอยู่ที่ด้านใน ผมแลกเงินกีบก่อนซึ่งในความจริงที่ลาวใช้เงินบาทได้นะครับ แต่ไหนๆมาแล้วเอาซะหน่อย
ผมแลกไป 3,000 บาท ได้เป็นเงินกีบมา 741,000 กีบ อัตราแลกเปลี่ยนวันนี้1บาท = 247กีบ รวยละทีนี้ 555+
ผมนั่งอยู่บนรถทั้งที่ในกบาลเต็มไปด้วยความกังวล “จะมีรถมั้ย?” “จะไปยังไง” “ไปถึงกี่โมง” “จะนอนที่ไหน” ในหัวไม่รู้อะไรสักอย่างแต่ระหว่างที่นั่งกังวลอยู่ในรถ พอได้เห็นวิวสองข้างทางที่ค่อยๆเปลี่ยนไป ตัวหนังสือที่ไม่คุ้นตา สภาพบ้านเมืองที่ไม่คุ้นหน้า มันก็เริ่มเพลินและลืมเรื่องหนักหัวไปพักใหญ่
ผมมาจำได้ว่ากำลังวิตกจริตอีกที ก็ตอนที่มีคนเป็นฝูงกำลังวิ่งไล่ตามรถที่เรานั่งอยู่บางคนก็ตะโกนบางคนก็ตบที่ประตูรถ ตอนนี้รถน่าจะกำลังเลี้ยวเข้า”ตลาดเซ้า”ที่เป็นเหมือน บขส.ของที่เวียงจันทร์ ในใจก็ได้แต่คิดว่า “พี่จะแย่งกันทำไมคร้าบ...รถมันกำลังจะจอดไม่ได้กำลังจะออกไปซักหน่อย...รอแป็ปนึงไม่ได้เหรอ”
พอประตูรถเปิดออก...”นี่มันฉนวนกาซ่าชัดๆ!!!”
ชายฉกรรจ์เป็นสิบๆคน วิ่งเข้ามาออตรงประตูล้อมหน้าล้อมหลัง พยายามช่วยถือกระเป๋า พยายามช่วยแบกของ นี่ถ้าเค้าอุ้มผมขึ้นบ่าได้คงทำไปแล้ว
เข้าใจความรู้สึกพวกบอยแบนด์เกาหลี...เวลาเจอแฟนคลับชาวไทยขึ้นมาเลย เพียงแต่เค้าไม่ได้อยากได้ลายเซ็นต์ “เค้าอยากได้เงิน”
* พี่ๆพวกนี้เค้าก็เป็นพวก”หัวคิว”ครับ เป็นพวกหัวคิวรถสามล้อบ้าง รถแท็กซี่บ้าง ที่จะหาคนขึ้นรถไปพาทัวร์หรือไปส่งตามที่ต่างๆ บางคนก็ได้เปอร์เซ็นต์ถ้าพาไปที่โรงแรมที่จ้างได้ แต่ต้องระวังนิดนะครับ บางทีบอกว่าไกลที่จริงใกล้นิดเดียวเดินไปเองยังได้ก็มี หรือบอกจะพาทัวร์แต่เอาไปทิ้งก็มี ทางที่ดีก็ลองดูๆที่น่าไว้ใจนะครับ
มองเห็น “ประตูซัย” จากไกลๆ เหมือนได้ยินเสียงตะโกนว่า “แกจะไปไหน ฉันอยู่นี่ มาหาฉันเร็ว!!!” เอาไว้ก่อนนะขากลับจะแวะมาเล่นด้วย ตอนนี้ขอหารถไปวังเวียงให้ได้ก่อนมืดก่อนนะ T^T
เดินหาไปหามา ได้มาเจ้านึงบอกมีรถ Mini-Bus ไปวังเวียงออกรอบบ่าย2โมงตกลงราคา พอลองคำนวณดูจ่ายเป็นเงินกีบถูกมากคือประมาณ 240 บาท
* วิธีคำนวณเงินก็ง่ายๆครับ ตัด0ออก3ตัวหลังแล้วคูณด้วย4 เช่น 10,000 ก็ตัด0ออกก็เหลือ 10 เอาไปคูณ4 ก็เท่ากับ40บาท แต่ตอนที่เราแลกอัตราจะขึ้นๆลงๆไม่เท่ากันทุกวันแต่ก็จะประมาณนี้ครับ
สามล้อลาวจะพาเราไปส่งขึ้นรถจ่ายไป20,000กีบหรือ80บาท ระดับความเสียวยังห่างจากสามล้อไทยเยอะครับ 555+
ระหว่างรอเวลารถออก ก็มานั่งพักที่ร้าน “Xayoh Grill House” ผมสั่งPepsiไปขวดนึง แต่...พนักงานบริการดีมาก ไม่รู้ว่าผมสั่งPepsiหรือสั่งไวน์Château Margauxขวดละ6ล้าน รู้สึกละอายใจเลยสั่งกาแฟร้อนอีกแก้ว สรุปหมดไป18,000กีบหรือ72บาท คนลาวนี่ใจดีจัง ^^
* ที่ลาว Pepsi จะถูกว่า Coke นะครับ Pepsi จะประมาณ 8,000 กีบ Coke จะประมาณ 10,000 กีบ
เอาล่ะ...ตอนนี้รถมาแล้ว มีหลายคนบอกว่าถ้านั่งรถ Mini-Bus(หรือที่บ้านเราเรียกรถตู้เล็ก)ทางไปวังเวียงหรือหลวงพะบางไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็ก คนแก่ชราและสตรีมีครรภ์ ”มันก็คงจะจริง”
ถ้าคิดว่า...หลายร้อยบรรทัดที่ผ่านมาคิดว่าวุ่นวายแล้ว
บอกเลย...บรรทัดต่อจากนี้ "วุ่นวายกว่านี้อีกเยอะ!
[CR] แบกเป้ลำพัง ไปลาววังเวียง (3,000บาท กิน เที่ยว เปรี้ยว เกรียน แบบไม่พึ่งตำรา)
“ภูกระดึง” (เกือบ)ถึงที่ตาย!!! >>https://ppantip.com/topic/39622790
นั่งรถไฟไปดู..."ผี"...ที่เชียงดาว>>https://ppantip.com/topic/37548826
ดราม่า!...หลวงพระบาง>>http://ppantip.com/topic/34466332
เจอผี...ที่เวียงจันทร์>>http://ppantip.com/topic/33113878
คนที่...5>>http://ppantip.com/topic/34528419
ปีนัง...ปัง! ปัง! โป๊ะ!>>http://ppantip.com/topic/35690354
* หมายเหตุ ออกตัวก่อนว่านี่เป็นกระทู้แรกของผม ผิดพลาดอะไรขอโทษไว้ก่อนนะครับ
- สำหรับภาพถ่ายอาจจะไม่สวยอะไรเพราะผมพกไปแค่มือถือถ่ายได้สวยสุดแค่นี้ ขอโทษอีกทีครับ
ถ้าพร้อมแล้ว...ก็แบกเป้ ตามผมมาได้เลยคร้าบ ^^
ท่ามกลางหมู่ตึกคอนกรีตระฟ้า ที่พุ่งทะยานดั่งจะเอื้อมมือขึ้นไขว่คว้าหมู่เมฆก้อนใหญ่ ผมเดินแบกหินหนาหนักที่เรียกว่าความรับผิดชอบ พร้อมๆกับขอบตาที่เอ่อท่วม อยู่ปลายสุดของเหว...
เอ่อ...เดี๋ยวนะ! “ผมไม่ใช่นักเขียน” ไม่ต้องพยายามประดิษฐ์ประดอยคำพูดยากๆขนาดนั้นหรอก อีกอย่างมันก็ไม่ได้ดราม่าน้ำตาท่วมจอกันขนาดนั้น
เรื่องจริงคือ...หลังจากที่ผมนั่งว่างๆมองดูปฏิทินวันหยุดที่เหลือไม่มาก บวกกับเคยนั่งดูหนังเรื่อง”สบายดี หลวงพะบาง”มาได้เกือบ10รอบ อยู่ๆก็รู้สึกหนวดเครางอกดั้งโด่งเบ้าหน้าคล้ายอนันดาขึ้นมาในเช้าวันนึง น่าจะได้เวลาที่ผมควรจะออกไปแตะขอบฟ้าตามหารักแท้ดูสักที
เปิดกระเป๋า “มีเงินสดอยู่ 3,000 หน่อยๆ มันจะพาผมไปได้แค่ไหน” อยากจะรู้เหมือนกัน
ถึง”ลาว”จะดูใกล้ แต่ในการที่เราจะไปในที่ที่เรามีข้อมูลแค่อย่างเดียวคือชื่อบนหนังDVD มันก็น่ากังวลอยู่ไม่น้อย…
ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่ค่อนข้างนาน...
ประมาณ...5 นาที!!!
“ไปว่ะ...มันจะยากแค่ไหนกัน”
นั่นคือเรื่องราวใน 9 ชั่วโมงก่อน...ก่อนที่ผมจะมานั่งเขียนประโยคนี้ในไดอารี่บนเก้าอี้ยาวที่ชานชาลาหัวลำโพง วันนี้ 24ธันวาคม 2557 ที่คนแน่นเต็มสถานี
เคยมีคนพูดเอาไว้ว่า “คิดจะ Backpacker ไม่ต้องเตรียมอะไร แค่...เป้หนึ่งใบกับใจถึงๆก็พอ”
หึหึ...ถึงไม่ถึง...เดี๋ยวก็รู้
เนื่องจากผมออกมาโดยไม่มีวางแผนอะไรล่วงหน้า เท่าๆที่ถามๆก็มีแต่คนบอกว่า”วังเวียง” ผมรู้คร่าวๆว่ามันต้องไปเริ่มที่นองคาย โดยเอาเวียงจันทร์เป็นที่ตั้งและการเดินทางโดยรถไฟก็ค่อนข้างง่ายเพราะมัน ”ฟรี” ก็แบกเป้เดินหาตั๋วแบบโง่ๆ ถามหาตั๋วฟรี วันนี้ ซึ่งหลายที่เริ่มหยุดงานแล้ว ตั๋วฟรีเต็มหมด ไอ้ผมจะเกาะหน้าต่างรถไฟไป พ่อผมก็ไม่ได้ชื่อ จา พนม ซะด้วยสิ แต่พนักงานก็ใจดีแจ้งว่ายังพอมีเหลือตั๋วตู้นอนแอร์เตียงล่างเอามั้ย?
นาทีนั้นยังไงก็ต้องเอา...ดีกว่าแบกกระเป๋าเดินกลับบ้าน ...
จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเคยใช้บริการรถไฟ ตอนที่ถูกถามว่าเอาเตียงไหน ผมตอบแบบไม่ลังเลเลยว่า”เตียงบน” เพราะรู้สึกมันดู”เหนือ” รู้สึกเป็นพวกชนชั้นบน พอขึ้นไปถึงบนโบกี้ก็ได้แต่งงว่าเตียงบนมันอยู่ตรงไหน
หรือ...ผมต้องนอนบนตะแกรงนั้น...”เฮ้ย!...ผมไม่ใช่นักยิมนาสติกนะ!!!”
แต่พอเห็นพนักงานเดินมาแงะตู้ออกก็พอได้โล่งใจ ...
ผมระทึกตลอดการเดินทางในเตียงบนวันนั้นเพราะขณะที่รถไฟวิ่งโยกไปโยกมา กลัวเหลือเกินว่าผมจะหล่นลงไปทำความรู้จักกับพื้นรถไฟแข็งๆข้างล่างจริงๆ แต่ไม่ต้องกังวลไป
เพราะการรถไฟมีระบบความปลอดภัยคือ...สายกั้นขนาดไม่ถึงคืบจำนวน2เส้นคอยกั้นเราเอาไว้ แหม...สบายใจเหลือเกิน
ตั้งแต่นั้นมาก็เลยตั้งใจว่า “จะไม่นอนเตียงบนอีก...เด็ดขาด” วันนี้จึงถือว่าโชคดีมากๆ
เอาล่ะ...กลับมาที่รถไฟตอนนี้ดีกว่า รถจะออกในเวลา2ทุ่มและถึงหนองคายประมาณ8โมงเช้า
ผมตั้งใจว่าจะไป”วังเวียง”เห็นใครต่อใครก็บอกว่าสวยนักสวยหนา เปรียบเสมือน”กุ้ยหลิน เมืองลาว” ผมก็ไม่เคยเห็นหรอกว่ากุ้ยหลินจริงๆสวยแค่ไหน แต่ถ้าใครต่อใครพากันการันตีขนาดนี้ มันก็คงจะสวยจริงๆนั้นแหล่ะ
ระหว่างรอจัดเตียง ผมโชคดีที่เจอคนลาวที่กำลังจะกลับลาว เลยชวนคุยและบอกเค้าว่าผมเองจะไปลาวคนเดียว เค้าคงสงสาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในความงงๆของผม พอถามไปถามมาก็พอจะรู้คร่าวๆว่า การไปวังเวียงสามารถขึ้นรถจากอุดรสาย “อุดร-หนองคาย-วังเวียง”รอบ8โมงได้ หรือจะไปรอที่หนองคายรอบ10โมงก็ได้เช่นกัน
ระหว่างดีใจที่ได้ข้อมูล...ผมลืมไปว่า “ผมกำลังใช้บริการการรถไฟ”
ที่ขึ้นชื่อมากเรื่อง...”ความตรงต่อเวลา”
ระหว่างนั่งอยู่ ก็มีพนักงานถามผมเป็นภาษาอังกฤษว่า “สนใจจะรับอาหารมั้ย”
ผมก็เผลอตอบแบบไม่ได้สนใจอะไรไปว่า “No”
เท่านั้นแหล่ะ...หายนะมาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านเลย “ฝรั่ง” ฝรั่งที่ไม่ใช่อังกฤษ อิมพอร์ทจากฝรั่งเศสเลย ทำหน้าเหมือนเจอสถานทูตประเทศฝรั่งเศสอยู่บนขบวนรถไฟไทยรีบชวนผมคุยใหญ่เลย
“หน้าผม...เหมือนคนหน้าตาดูมีความรู้ด้านภาษาขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้คล่องผมอยากจะบอกพี่เค้าเหลือเกินว่า...”เท้าพี่...เหม็นมาก!”
รถไฟกำลังพาผมออกจากเมืองใหญ่...ที่เต็มไปด้วยหมู่ตึก แสงไฟ เสียงแตร ผ่านหน้าต่างรถไฟ
ตี 2 กว่า ทุกคนปิดม่านหลบอยู่ในโลกของตัวเอง
ผมตื่นขึ้นเพราะแสงอาทิตย์แยงตาเข้ามาทางหน้าต่างรถไฟ อันที่จริงผมนอนไม่ค่อยหลับ หลับๆตื่นๆมากกว่า เพราะว่าแปลกที่ มันเป็นภาพที่อธิบายค่อนข้างลำบาก เหมือนกำลังนั่งดูหนังที่ฉายผ่านกระจกรถไฟท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีน้ำเงินอมม่วงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงและส้มในเวลาไม่ถึง5นาที มีต้นไม้เล็กใหญ่ข้างทางวิ่งผ่านหน้าเราไป สำหรับผมมันสวยกว่าวิวที่มองจากตึกใหญ่ที่เห็นทุกวันตอนเช้าเยอะเลย “คงเป็นนิมิตหมายหรือสัญญาณที่ดี...สำหรับการเดินทางวันนี้”
“ตั๋วเต็มคะ”...
2 ชั่วโมงต่อมา ผมยืนอยู่หน้าช่องขายตั๋ว บขส.หนองคาย พร้อมกับคำพูดสั้นๆง่ายๆที่มีความหมายยาวเป็นฝาบ้าน
อยู่ดีดีรู้สึกเหมือนถูก”บัวขาว”วิ่งมากระโดดถีบจากข้างหลัง ผมเองก็เพิ่งจะรู้ รถสายอุดร-หนองคาย-วังเวียง วิ่งแค่วันละรอบ...”และมักจะเต็มตั้งแต่ที่อุดรแล้ว” ถามพนักงานว่าแล้วผมพอจะมีทางไหนไปได้บ้าง พนักงานก็อารมณ์เหมือนโดนโปรแกรมมาตอบสั้นๆง่ายๆแต่มีความหมายยาวเป็นฝาบ้านเหมือนเดิมว่า ”ไม่รู้คะ” ด้วยสำเนียงแบบSiriในIphone
นาทีนั้นถึงกับงง แล้วผมจะเอายังไงดี ต้องเปิดอินเตอร์เน็ตหาข้อมูลก่อน แบตมือถือก็เหลือไม่มาก เลยหาอะไรทานที่ร้านตามสั่งแล้วขอเค้าชาร์จแบตไป สรุปผมต้องซื้อตั๋วจากหนองคายเข้าไปเวียงจันทร์ราคา55บาทแล้วหารถไปวังเวียงตามยถากรรมเอาเอง
หน้าตารถที่จะพาเราไปที่เวียงจันทร์ ดูดีทีเดียว
ระหว่างที่ขึ้นรถมา บรรยากาศจะค่อนข้างโกลาหลเพราะมีอยู่หลายชนชาติปนๆกัน พอขึ้นไปเสร็จพนักงานก็จะแจกใบผ่านแดนให้เรากรอกเพื่อเตรียมสำหรับผ่าน ตม. วินาทีนี้ผมเพิ่งจะมารู้ว่าสิ่งที่สำคัญนอกจากเป้กับหัวใจอีกอย่างที่ควรเตรียมไว้คือ...ปากกา
* สำหรับคนที่เข้า ตม.ครั้งแรกอาจจะงงๆ เอาง่ายๆเท่าที่ผมเข้าใจ เวลาที่เข้ามาเค้าจะให้เอกสารเข้าเมืองมา2ชุด ของไทยและลาวอย่างละชุด แต่ละชุดจะมี2ใบคือ”ขาเข้าและขาออก” ข้อมูลที่ต้องกรอกก็กรอกตามPassportได้เลยครับ ไม่ได้ยากเหมือนสอบGat-Pat พอถึง ตม. ไทยจะฉีกใบขาออก ให้เราเก็บขาเข้าเอาไว้ ส่วนลาวจะฉีกขาเข้าและให้เรากรอกใบขาออกไว้ เราก็เก็บไว้ให้ดีดี อย่าให้หาย!!! เพราะถ้าหาย...เราก็ต้องมานั่งกรอกใหม่ (จะตกใจทำไมเนี้ย?)
ก่อนจะออกจากด่านต้องซื้อใบนี้ เพื่อสอดช่องผ่านประตูเหมือนBTSแหล่ะครับ วันธรรมดา5บาท วันหยุด 40 บาท
พอเราทำทุกอย่างเสร็จรถทัวร์ที่เรามาจะจอดรอเราอยู่ที่ด้านใน ผมแลกเงินกีบก่อนซึ่งในความจริงที่ลาวใช้เงินบาทได้นะครับ แต่ไหนๆมาแล้วเอาซะหน่อย
ผมแลกไป 3,000 บาท ได้เป็นเงินกีบมา 741,000 กีบ อัตราแลกเปลี่ยนวันนี้1บาท = 247กีบ รวยละทีนี้ 555+
ผมนั่งอยู่บนรถทั้งที่ในกบาลเต็มไปด้วยความกังวล “จะมีรถมั้ย?” “จะไปยังไง” “ไปถึงกี่โมง” “จะนอนที่ไหน” ในหัวไม่รู้อะไรสักอย่างแต่ระหว่างที่นั่งกังวลอยู่ในรถ พอได้เห็นวิวสองข้างทางที่ค่อยๆเปลี่ยนไป ตัวหนังสือที่ไม่คุ้นตา สภาพบ้านเมืองที่ไม่คุ้นหน้า มันก็เริ่มเพลินและลืมเรื่องหนักหัวไปพักใหญ่
ผมมาจำได้ว่ากำลังวิตกจริตอีกที ก็ตอนที่มีคนเป็นฝูงกำลังวิ่งไล่ตามรถที่เรานั่งอยู่บางคนก็ตะโกนบางคนก็ตบที่ประตูรถ ตอนนี้รถน่าจะกำลังเลี้ยวเข้า”ตลาดเซ้า”ที่เป็นเหมือน บขส.ของที่เวียงจันทร์ ในใจก็ได้แต่คิดว่า “พี่จะแย่งกันทำไมคร้าบ...รถมันกำลังจะจอดไม่ได้กำลังจะออกไปซักหน่อย...รอแป็ปนึงไม่ได้เหรอ”
พอประตูรถเปิดออก...”นี่มันฉนวนกาซ่าชัดๆ!!!”
ชายฉกรรจ์เป็นสิบๆคน วิ่งเข้ามาออตรงประตูล้อมหน้าล้อมหลัง พยายามช่วยถือกระเป๋า พยายามช่วยแบกของ นี่ถ้าเค้าอุ้มผมขึ้นบ่าได้คงทำไปแล้ว
เข้าใจความรู้สึกพวกบอยแบนด์เกาหลี...เวลาเจอแฟนคลับชาวไทยขึ้นมาเลย เพียงแต่เค้าไม่ได้อยากได้ลายเซ็นต์ “เค้าอยากได้เงิน”
* พี่ๆพวกนี้เค้าก็เป็นพวก”หัวคิว”ครับ เป็นพวกหัวคิวรถสามล้อบ้าง รถแท็กซี่บ้าง ที่จะหาคนขึ้นรถไปพาทัวร์หรือไปส่งตามที่ต่างๆ บางคนก็ได้เปอร์เซ็นต์ถ้าพาไปที่โรงแรมที่จ้างได้ แต่ต้องระวังนิดนะครับ บางทีบอกว่าไกลที่จริงใกล้นิดเดียวเดินไปเองยังได้ก็มี หรือบอกจะพาทัวร์แต่เอาไปทิ้งก็มี ทางที่ดีก็ลองดูๆที่น่าไว้ใจนะครับ
มองเห็น “ประตูซัย” จากไกลๆ เหมือนได้ยินเสียงตะโกนว่า “แกจะไปไหน ฉันอยู่นี่ มาหาฉันเร็ว!!!” เอาไว้ก่อนนะขากลับจะแวะมาเล่นด้วย ตอนนี้ขอหารถไปวังเวียงให้ได้ก่อนมืดก่อนนะ T^T
เดินหาไปหามา ได้มาเจ้านึงบอกมีรถ Mini-Bus ไปวังเวียงออกรอบบ่าย2โมงตกลงราคา พอลองคำนวณดูจ่ายเป็นเงินกีบถูกมากคือประมาณ 240 บาท
* วิธีคำนวณเงินก็ง่ายๆครับ ตัด0ออก3ตัวหลังแล้วคูณด้วย4 เช่น 10,000 ก็ตัด0ออกก็เหลือ 10 เอาไปคูณ4 ก็เท่ากับ40บาท แต่ตอนที่เราแลกอัตราจะขึ้นๆลงๆไม่เท่ากันทุกวันแต่ก็จะประมาณนี้ครับ
สามล้อลาวจะพาเราไปส่งขึ้นรถจ่ายไป20,000กีบหรือ80บาท ระดับความเสียวยังห่างจากสามล้อไทยเยอะครับ 555+
ระหว่างรอเวลารถออก ก็มานั่งพักที่ร้าน “Xayoh Grill House” ผมสั่งPepsiไปขวดนึง แต่...พนักงานบริการดีมาก ไม่รู้ว่าผมสั่งPepsiหรือสั่งไวน์Château Margauxขวดละ6ล้าน รู้สึกละอายใจเลยสั่งกาแฟร้อนอีกแก้ว สรุปหมดไป18,000กีบหรือ72บาท คนลาวนี่ใจดีจัง ^^
* ที่ลาว Pepsi จะถูกว่า Coke นะครับ Pepsi จะประมาณ 8,000 กีบ Coke จะประมาณ 10,000 กีบ
เอาล่ะ...ตอนนี้รถมาแล้ว มีหลายคนบอกว่าถ้านั่งรถ Mini-Bus(หรือที่บ้านเราเรียกรถตู้เล็ก)ทางไปวังเวียงหรือหลวงพะบางไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็ก คนแก่ชราและสตรีมีครรภ์ ”มันก็คงจะจริง”
ถ้าคิดว่า...หลายร้อยบรรทัดที่ผ่านมาคิดว่าวุ่นวายแล้ว
บอกเลย...บรรทัดต่อจากนี้ "วุ่นวายกว่านี้อีกเยอะ!