ผมมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟังนะครับ
ถึงแม้มันจะยาวไปหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องราวที่อยากให้ทุกคนได้อ่านกันนะครับ
เรื่องมีอยู่ว่ามี 2 ครอบครัวที่อยู่บ้านใกล้กัน ครอบครัวหนึ่งมีพี่น้อง 3 คน แต่มีพี่ชายคนโตอยู่บ้านคนเดียว
วันหนึ่งพี่ชายคนโตเขาเป็นมะเร็ง คนครอบครัวเพื่อนบ้านก็เป็นห่วง
ก็มาคอยถามไถ่ สารทุกข์สุกดิบ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเห็นอยู่ตัวคนเดียว
พี่สาวคนข้างบ้านบางครั้งก็ทำกับข้าวอะไรไปให้กินบ้างอยู่เหมือนกัน
นานเข้าก็เริ่มสนิทกัน จนเขาไปบวช ก็มีน้องชายมาอยู่บ้านแทน น้องชายเขาก็เข้ามาเล่นที่บ้านอยู่เป็นประจำ
จนพี่ชายคนโตสึก ก็กลับมาที่บ้าน แล้วก็มีเรื่องมาขอร้อง ว่าจะขอยืมเงินไปแต่งงาน เหมือนที่บ้านเขารีบให้แต่ง
แต่ดันติดปัญหาเรื่องเงิน เขาบอกเขารักผู้หญิงคนนี้มาก แต่ยังไม่มีเงินไปขอ ก็เลยมาขอยืมเงินไปแต่งงาน
คนข้างบ้านเขาก็เห็นใจให้ยืมเงินไป และเขาก็บอกขอให้ไปช่วยถ่ายรูปงานแต่งงานให้หน่อย คนข้างบ้านก็เต็มใจไปช่วยถ่ายรูปให้
แล้วก็ให้ยืมชุดไปใส่ในงานแต่งด้วย พอกลับมาจากงานแต่ง คนข้างบ้านก็เอารูปไปทำเป็นอัลบัมงานแต่งให้เป็นของขวัญ
คนข้างบ้านบางครั้งก็พาไปเที่ยวบ้าง เลี้ยงข้าวบ้าง ดูหนังบ้าง
ต่อมาน้องชายต้องไปเป็นทหารเขาบอกว่ายังไม่เคยไปเที่ยวทะเลเลยตั้งแต่เกิดมา คนข้างบ้านก็เลยจัดพาไปเที่ยวเกาะล้านให้ ก่อนที่จะไปเป็นทหาร
ตัวพี่ชายเขาก็บอกว่า ตอนนี้ให้พี่เลี้ยงไปก่อน เดี๋ยวผมจะพาพี่ไปเที่ยวบ้าน เดี๋ยวผมจะจัดเลี้ยงให้เต็มที่เลย
เรื่องของน้องชายคนนี้ดันไปติดเด็กอยู่คนนึง ซึ่งพอถึงวันที่จะต้องเข้ากรม เขากลับดันหนีไป จนพี่ชายเขาก็โทรมาบอกคนข้างบ้านให้ช่วยตามหา
แล้วก็ไปเจออยู่ที่บ้านเด็กของเขา ก็พาตัวกลับกันมา ซึ่งน้องชายเขาก็บอกว่าถ้าจะจับส่งไปที่ทหาร มันจะฆ่าตัวตาย
ในที่สุดทั้งพี่ชายและคนข้างบ้านก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องปล่อยไป
ต่อมาน้องชายก็กลับไปอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด สักพักหนึ่ง น้องชายก็โทรมาหาคนข้างบ้าน มาขอยืมเงิน มีเรื่องเดือดร้อนให้ช่วยเหลือ
คนข้างบ้านก็ให้ยืมเงินไป แล้วต่อมาน้องชายก็เริ่มหายตัวไปสักพัก ติดต่อไม่ได้ ก็เลยถามไถ่จากตัวพี่ชาย ทราบว่าน้องชายไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด
แต่คนข้างบ้านก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงติดต่อไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก แต่ก็ยังคอยถามพี่ชายอยู่ตลอดเวลา
ต่อมาพี่ชายเขาก็บอกว่าโทรศัพท์เสีย อยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ ก็เลยมาขอยืมเงินซื้อโทรศัพท์จากคนข้างบ้าน
คนข้างบ้านเห็นว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เพราะตัวพี่ชายก็ยังคงทยอยคืนเงินให้คืนทีละนิดๆ ก็เลยให้ยืมไป
ต่อมาน้องชายที่หายตัวไปก็กลับมาขอให้พี่ชายหางานทำให้ ก็เลยได้มาทำงานแถวๆบ้าน สักพักนึง น้องชายก็มาขอยืมเงินซื้อรถมอเตอร์ไซด์
คนข้างบ้านก็ใจดีให้ยืมไปอีก ทั้งๆที่ของเก่าน้องชายก็ยังไม่ได้คืน ต่อมาน้องชายเขาก็ไปๆมาๆ คนข้างบ้านบางครั้งก็ชวนไปดูหนัง พาไปเที่ยวโน้นนี่บ้าง
ก็ไม่ติดใจอะไร
ตัวคนข้างบ้านเองก็เคยบอกจะขอไปเที่ยวบ้านของพี่ชายที่ต่างจังหวัดบ้าง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธมาตลอดทั้งจากน้องชายและพี่ชาย โดยมีเหตุผลต่างๆนาๆ ว่ายังไม่อยากให้ไปเที่ยวบ้านตอนนี้
แต่ต่อมาสักพักหนึ่งน้องชายได้หายตัวไป ติดต่ออะไรไม่ได้ โทรไปไม่ติด facebook ก็โดนบล็อก line ก็โดนบล็อก
ก็เลยไปถามกับตัวพี่ชายว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ชายก็บอกว่ามันไปทำงานที่อื่น แต่ก็ยังติดต่อได้อยู่
ก็ถามว่าแล้วทำไมต้องมา block การติดต่อต่างๆด้วย พี่ชายก็ไม่รู้ ก็บอกว่าจะไปถามให้
ในช่วงนั้นรถมอเตอร์ไซด์ที่น้องชายยืมเงินซื้อมา ไม่มีที่จอด พี่สาวคนข้างบ้านก็บอกว่าให้เข้ามาจอดที่บ้านก็ได้
เพราะแถวนี้มีขโมยเยอะ พี่ชายเขาก็เลยเอารถเข้ามาจอดที่บ้านอยู่ทุกวัน
ต่อมาน้องชายคนเล็กสุดซึ่งนานๆทีจะมาเยี่ยมพี่ชายบ้าง ก็พอจะรู้จักเคยคุยกับคนข้างบ้านอยู่ ได้ประสบอุบัติเหตุแขนหักมาสักพัก เขาโทรมาหาคนข้างบ้าน ว่าขอเงินไปรักษาแขน คนข้างบ้านก็ถามว่า
แล้วทำไมไม่ไปขอเงินจากพี่ชายล่ะ เขาบอกว่าพี่ชายไม่ให้ เขาบอกให้ไปใช้บัตร 30 บาทแทน แต่ว่าเคยไปรักษาแล้วมันไม่ดี
ก็เลยจะไปรักษาที่อื่น คนข้างบ้านเขาก็รู้สึกสงสารก็เลยให้เงินไปอีก
เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ คนข้างบ้านก็ยังติดต่อน้องชายไม่ได้ ตัวพี่ชายก็เริ่มห่างๆไม่ค่อยมาทักทายให้เห็นอยู่เหมือนเดิม
แล้วระยะหลังตัวพี่ชายเองก็เริ่มหยุดคืนเงินมาสักระยะ ซึ่งคนข้างบ้านแต่เดิมก็ไม่เคยทวงเงินที่ยืมไปสักครั้ง
ตัวพี่ชายเขาก็บอกว่าไม่รู้ว่าทำไมน้องชายเขาทำแบบนี้ เดี๋ยวจะคอยพยายามคุยให้
คนข้างบ้านก็รู้สึกโมโห ก็ได้ด่าพี่ชายเขาไป
ต่อมาสักพักก็ไม่ได้เรื่องอะไรขึ้น คนข้างบ้านก็เริ่มรู้สึกแปลกใจก็เลยไปคุยกับพี่ชายอีกครั้ง
แต่ก่อนรู้สึกสนิทกันแบบเป็นพี่น้อง แต่ทำไมอยู่ๆถึงกลายเป็นแบบนี้ พอได้คุยแล้ว
พี่ชายเริ่มไม่พอใจ เขาก็เลยบอกว่าไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ให้ตัดขาดความเป็นพี่น้องกับมัน
แล้วก็คิดแต่เรื่องเงินอย่างเดียวได้หรือไม่ คนข้างบ้านก็ตอบตกลง แล้วก็คอยทวงเงินอยู่ตลอดเวลา
เวลาก็ผ่านไปอีกสักพัก ก็เงียบไม่มีการติดต่อ ตอนนี้ทั้งน้องชาย และพี่ชาย ไม่มีการติดต่ออีกเลย
คนข้างบ้านก็ไปคุยกับพี่ชายเขาอีกครั้ง ว่าเรื่องเงินที่ติดค้างอยู่เป็นอย่างไรบ้าง
แต่เขาก็ได้คำตอบกลับมาจากพี่ชายว่า ผมเสียใจจริงๆที่พี่มาทวงเงินแบบนี้ คนเป็นพี่น้องกันแค่นี้รอกันไม่ได้
ผมผิดหวังในตัวพี่จริงๆ พอได้ยินแบบนั้นคนข้างบ้านก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ก็บอกว่างั้นคืนเงินมาให้หมดแล้วก็จะตัดขาด จะไม่ไปยุ่งอะไรอีกต่อไปแล้ว
เวลาก็ผ่านไปอีก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งน้องชาย พี่ชาย ก็ยังคงเงียบหายไปอีก 2 เดือน
แต่ตัวพี่ชายก็ยังเอามอไซด์มาจอดในบ้านคนข้างบ้าน เข้าออกอยู่เป็นประจำ แต่ไม่เคยมีมาคุยอะไรเลย
จนคนข้างบ้านได้เล่าเรื่องต่างๆให้คนในบ้านฟัง พ่อของคนข้างบ้านเขาทนไม่ไหวก็เลยไปคุยกับตัวพี่ชาย แล้วได้ตกลงกันว่าต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสิ้นเดือนนี้
ต่อมาพ่อก็พาทนายความซึ่งเป็นพี่เขยของคนข้างบ้าน ไปทำหนังสือสัญญาให้ชดใช้หนี้ทั้งหมด รวมทั้งของน้องชายด้วย ให้พี่ชายเป็นคนชดใช้
แต่พี่ชายก็บอกว่าเขาไม่มีเงินก้อนจะขอเป็นผ่อนชำระ ซึ่งพ่อก็ใจดีปล่อยให้ผ่อนชำระไป
ตอนแรกคิดว่าเรื่องจะจบอยู่เพียงแค่นี้ ต่อมาไม่ถึงชั่วโมง ตัวพี่ชายก็มาโพสข้อความใน facebook เหน็บแนม ว่า
เพื่อนที่ดีไม่ได้วัดกันด้วยกาย เขาวัดกันด้วยใจ ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน ไม่รอเวลา เห็นแก่เงิน
เมื่อคนข้างบ้านได้เห็นข้อความนี้ก็รู้สึกโมโหมาก ก็เลยโพสต่อว่าไป แต่สุดท้ายก็โดนย้อนกลับมาว่า อย่าร้อนตัว ผมไม่ได้โพสว่าคุณ
มีสมองไปอ่านดูดีๆ แล้วก็บอกว่าไม่อยากจะคุยกับคุณ คุณไม่เป็นผู้ใหญ่ ผมจะคุยกับคนที่เป็นผู้ใหญ่เท่านั้น
แล้วน้องชายก็เข้ามาช่วยโพสสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่แต่ก่อนหายตัวไป ไม่ยอมปรากฎตัวให้เห็นมาก่อน
หลังจากนั้นตัวน้องชายที่ไม่เคยโผล่มาให้เห็นหน้า ก็กลับมาที่บ้านพี่ชายบ้างบางครั้ง
ตัวน้องชายเองตั้งแต่ที่คนข้างบ้านได้ให้การช่วยเหลือมาตั้งแต่ต้น ก็ไม่เคยได้รับคำขอบคุณ คำขอโทษ หรือได้รับการยกมือไหว้มาจากน้องชายเลยสักครั้ง
แล้วตัวน้องชายเองก็หนีทหารอีก
เรื่องนี้ทำให้ทั้งย่าและพี่สาวคนข้างบ้าน เสียใจอยู่หลายวัน
และเขาผิดหวังและคิดผิดที่แต่ก่อนเคยทำดีไว้ แต่กลับได้รับผลตอบแทนแบบนี้กลับมา
คนข้างบ้านเองก็ผิดที่ไปคะยั้นคะยอทวงเงิน กับด่าเขามากเกินไป
แต่ถ้าน้องชายเขาไม่หลบหนีไปก็คงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นความรู้สึกของคนที่ให้อย่างเต็มใจ ไม่หวังผลตอบแทน แต่กลับมาโดนด่าว่าที่ทำดีไปทั้งหมดเพื่อหวังผลตอบแทน มันรู้สึกเจ็บมาก และที่เจ็บสุดคือผมก็ไม่ได้หวังคำขอบคุณจากน้องชายมัน แต่น้องชายมันดันด่าทอกลับใส่อีก
แล้วพี่น้อง 2 คนนี้ก็ยังคงบอกอยู่เสมอว่า พวกเขาไม่ผิดเลยที่ทำแบบนี้ ที่ผิดคือคนข้างบ้าน ที่ไปทวงเงิน รอไม่ได้ ญาติพี่น้องที่ผมรู้จัก เขาไม่ทำแบบนี้หรอก เขาไว้ใจ เชื่อใจซึ่งกันและกัน ถึงแม้เขาจะหายไปไม่ติดต่อ แต่ความเป็นพี่น้องต้องรู้กันอยู่แล้ว ไม่ใช่มาด่า เอาแต่ทวงเงินแบบนี้
จนปัจจุบันหลังจากที่ได้ทำหนังสือสัญญากับพ่อคนข้างบ้าน พี่ชายเขาก็ได้เริ่มทยอยจ่ายหนี้สินที่ติดไว้ แล้วน้องชายที่หนีหายไป ก็กลับมาบ้านพี่ชายเป็นบางครั้งคราว แต่ตอนคืนเงินเขากลับไม่คืนกับคนข้างบ้าน ไปคืนกับพ่อของเขาแทน ซึ่งให้เหตุผลว่าไม่อยากจะคุยกับคนที่ไม่เป็นผู้ใหญ่แบบนี้
ส่วนตัวน้องชายไม่ได้พูดกับใครเลย แม้แต่กับพ่อคนข้างบ้าน ตอนทำสัญญาก็ไม่มาคุย เพียงแต่ได้โพสใน facebook ว่า ถ้าทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ เดี๋ยวจะได้เห็นดีกัน ซึ่งตัวคนข้างบ้านก็เข้าใจที่เขาโพสแบบนี้ทันที เพราะเรื่องที่ตัวมันหนีทหาร มันคงกลัวว่าคนข้างบ้านจะไปแจ้งจับมัน
ถึงแม้ว่ายังไงๆก็คงได้เงินคืนหมด แต่คนข้างบ้านเขาก็ยังรู้สึกเสียใจ และโมโห ที่โดนเขากล่าวหาโดนตีหน้าว่าเป็นคนเห็นแก่เงิน
บ้านอยู่ติดกัน ต้องเดินผ่านทุกวัน เวลาเดินผ่านหน้าบ้านแล้วเห็นหน้าพวกมันแล้วก็รู้สึกโมโหอยู่ตลอดเวลา คงอีกสักพักถึงจะปรับตัวได้
นี่เป็นเรื่องราวทั้งหมดครับ อยากจะลองขอความคิดเห็นหน่อยนะครับ ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้คนข้างบ้านทำเกินไปหรือไม่ แล้ว 2 พี่น้องนั้นที่ทำไปแบบนั้นเขาผิดหรือไม่ครับ
มีเรื่องเล่ามาปรึกษาครับ ว่าใครเป็นคนผิด
ถึงแม้มันจะยาวไปหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องราวที่อยากให้ทุกคนได้อ่านกันนะครับ
เรื่องมีอยู่ว่ามี 2 ครอบครัวที่อยู่บ้านใกล้กัน ครอบครัวหนึ่งมีพี่น้อง 3 คน แต่มีพี่ชายคนโตอยู่บ้านคนเดียว
วันหนึ่งพี่ชายคนโตเขาเป็นมะเร็ง คนครอบครัวเพื่อนบ้านก็เป็นห่วง
ก็มาคอยถามไถ่ สารทุกข์สุกดิบ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเห็นอยู่ตัวคนเดียว
พี่สาวคนข้างบ้านบางครั้งก็ทำกับข้าวอะไรไปให้กินบ้างอยู่เหมือนกัน
นานเข้าก็เริ่มสนิทกัน จนเขาไปบวช ก็มีน้องชายมาอยู่บ้านแทน น้องชายเขาก็เข้ามาเล่นที่บ้านอยู่เป็นประจำ
จนพี่ชายคนโตสึก ก็กลับมาที่บ้าน แล้วก็มีเรื่องมาขอร้อง ว่าจะขอยืมเงินไปแต่งงาน เหมือนที่บ้านเขารีบให้แต่ง
แต่ดันติดปัญหาเรื่องเงิน เขาบอกเขารักผู้หญิงคนนี้มาก แต่ยังไม่มีเงินไปขอ ก็เลยมาขอยืมเงินไปแต่งงาน
คนข้างบ้านเขาก็เห็นใจให้ยืมเงินไป และเขาก็บอกขอให้ไปช่วยถ่ายรูปงานแต่งงานให้หน่อย คนข้างบ้านก็เต็มใจไปช่วยถ่ายรูปให้
แล้วก็ให้ยืมชุดไปใส่ในงานแต่งด้วย พอกลับมาจากงานแต่ง คนข้างบ้านก็เอารูปไปทำเป็นอัลบัมงานแต่งให้เป็นของขวัญ
คนข้างบ้านบางครั้งก็พาไปเที่ยวบ้าง เลี้ยงข้าวบ้าง ดูหนังบ้าง
ต่อมาน้องชายต้องไปเป็นทหารเขาบอกว่ายังไม่เคยไปเที่ยวทะเลเลยตั้งแต่เกิดมา คนข้างบ้านก็เลยจัดพาไปเที่ยวเกาะล้านให้ ก่อนที่จะไปเป็นทหาร
ตัวพี่ชายเขาก็บอกว่า ตอนนี้ให้พี่เลี้ยงไปก่อน เดี๋ยวผมจะพาพี่ไปเที่ยวบ้าน เดี๋ยวผมจะจัดเลี้ยงให้เต็มที่เลย
เรื่องของน้องชายคนนี้ดันไปติดเด็กอยู่คนนึง ซึ่งพอถึงวันที่จะต้องเข้ากรม เขากลับดันหนีไป จนพี่ชายเขาก็โทรมาบอกคนข้างบ้านให้ช่วยตามหา
แล้วก็ไปเจออยู่ที่บ้านเด็กของเขา ก็พาตัวกลับกันมา ซึ่งน้องชายเขาก็บอกว่าถ้าจะจับส่งไปที่ทหาร มันจะฆ่าตัวตาย
ในที่สุดทั้งพี่ชายและคนข้างบ้านก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องปล่อยไป
ต่อมาน้องชายก็กลับไปอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด สักพักหนึ่ง น้องชายก็โทรมาหาคนข้างบ้าน มาขอยืมเงิน มีเรื่องเดือดร้อนให้ช่วยเหลือ
คนข้างบ้านก็ให้ยืมเงินไป แล้วต่อมาน้องชายก็เริ่มหายตัวไปสักพัก ติดต่อไม่ได้ ก็เลยถามไถ่จากตัวพี่ชาย ทราบว่าน้องชายไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด
แต่คนข้างบ้านก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงติดต่อไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก แต่ก็ยังคอยถามพี่ชายอยู่ตลอดเวลา
ต่อมาพี่ชายเขาก็บอกว่าโทรศัพท์เสีย อยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ ก็เลยมาขอยืมเงินซื้อโทรศัพท์จากคนข้างบ้าน
คนข้างบ้านเห็นว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เพราะตัวพี่ชายก็ยังคงทยอยคืนเงินให้คืนทีละนิดๆ ก็เลยให้ยืมไป
ต่อมาน้องชายที่หายตัวไปก็กลับมาขอให้พี่ชายหางานทำให้ ก็เลยได้มาทำงานแถวๆบ้าน สักพักนึง น้องชายก็มาขอยืมเงินซื้อรถมอเตอร์ไซด์
คนข้างบ้านก็ใจดีให้ยืมไปอีก ทั้งๆที่ของเก่าน้องชายก็ยังไม่ได้คืน ต่อมาน้องชายเขาก็ไปๆมาๆ คนข้างบ้านบางครั้งก็ชวนไปดูหนัง พาไปเที่ยวโน้นนี่บ้าง
ก็ไม่ติดใจอะไร
ตัวคนข้างบ้านเองก็เคยบอกจะขอไปเที่ยวบ้านของพี่ชายที่ต่างจังหวัดบ้าง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธมาตลอดทั้งจากน้องชายและพี่ชาย โดยมีเหตุผลต่างๆนาๆ ว่ายังไม่อยากให้ไปเที่ยวบ้านตอนนี้
แต่ต่อมาสักพักหนึ่งน้องชายได้หายตัวไป ติดต่ออะไรไม่ได้ โทรไปไม่ติด facebook ก็โดนบล็อก line ก็โดนบล็อก
ก็เลยไปถามกับตัวพี่ชายว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ชายก็บอกว่ามันไปทำงานที่อื่น แต่ก็ยังติดต่อได้อยู่
ก็ถามว่าแล้วทำไมต้องมา block การติดต่อต่างๆด้วย พี่ชายก็ไม่รู้ ก็บอกว่าจะไปถามให้
ในช่วงนั้นรถมอเตอร์ไซด์ที่น้องชายยืมเงินซื้อมา ไม่มีที่จอด พี่สาวคนข้างบ้านก็บอกว่าให้เข้ามาจอดที่บ้านก็ได้
เพราะแถวนี้มีขโมยเยอะ พี่ชายเขาก็เลยเอารถเข้ามาจอดที่บ้านอยู่ทุกวัน
ต่อมาน้องชายคนเล็กสุดซึ่งนานๆทีจะมาเยี่ยมพี่ชายบ้าง ก็พอจะรู้จักเคยคุยกับคนข้างบ้านอยู่ ได้ประสบอุบัติเหตุแขนหักมาสักพัก เขาโทรมาหาคนข้างบ้าน ว่าขอเงินไปรักษาแขน คนข้างบ้านก็ถามว่า
แล้วทำไมไม่ไปขอเงินจากพี่ชายล่ะ เขาบอกว่าพี่ชายไม่ให้ เขาบอกให้ไปใช้บัตร 30 บาทแทน แต่ว่าเคยไปรักษาแล้วมันไม่ดี
ก็เลยจะไปรักษาที่อื่น คนข้างบ้านเขาก็รู้สึกสงสารก็เลยให้เงินไปอีก
เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ คนข้างบ้านก็ยังติดต่อน้องชายไม่ได้ ตัวพี่ชายก็เริ่มห่างๆไม่ค่อยมาทักทายให้เห็นอยู่เหมือนเดิม
แล้วระยะหลังตัวพี่ชายเองก็เริ่มหยุดคืนเงินมาสักระยะ ซึ่งคนข้างบ้านแต่เดิมก็ไม่เคยทวงเงินที่ยืมไปสักครั้ง
ตัวพี่ชายเขาก็บอกว่าไม่รู้ว่าทำไมน้องชายเขาทำแบบนี้ เดี๋ยวจะคอยพยายามคุยให้
คนข้างบ้านก็รู้สึกโมโห ก็ได้ด่าพี่ชายเขาไป
ต่อมาสักพักก็ไม่ได้เรื่องอะไรขึ้น คนข้างบ้านก็เริ่มรู้สึกแปลกใจก็เลยไปคุยกับพี่ชายอีกครั้ง
แต่ก่อนรู้สึกสนิทกันแบบเป็นพี่น้อง แต่ทำไมอยู่ๆถึงกลายเป็นแบบนี้ พอได้คุยแล้ว
พี่ชายเริ่มไม่พอใจ เขาก็เลยบอกว่าไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ให้ตัดขาดความเป็นพี่น้องกับมัน
แล้วก็คิดแต่เรื่องเงินอย่างเดียวได้หรือไม่ คนข้างบ้านก็ตอบตกลง แล้วก็คอยทวงเงินอยู่ตลอดเวลา
เวลาก็ผ่านไปอีกสักพัก ก็เงียบไม่มีการติดต่อ ตอนนี้ทั้งน้องชาย และพี่ชาย ไม่มีการติดต่ออีกเลย
คนข้างบ้านก็ไปคุยกับพี่ชายเขาอีกครั้ง ว่าเรื่องเงินที่ติดค้างอยู่เป็นอย่างไรบ้าง
แต่เขาก็ได้คำตอบกลับมาจากพี่ชายว่า ผมเสียใจจริงๆที่พี่มาทวงเงินแบบนี้ คนเป็นพี่น้องกันแค่นี้รอกันไม่ได้
ผมผิดหวังในตัวพี่จริงๆ พอได้ยินแบบนั้นคนข้างบ้านก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ก็บอกว่างั้นคืนเงินมาให้หมดแล้วก็จะตัดขาด จะไม่ไปยุ่งอะไรอีกต่อไปแล้ว
เวลาก็ผ่านไปอีก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งน้องชาย พี่ชาย ก็ยังคงเงียบหายไปอีก 2 เดือน
แต่ตัวพี่ชายก็ยังเอามอไซด์มาจอดในบ้านคนข้างบ้าน เข้าออกอยู่เป็นประจำ แต่ไม่เคยมีมาคุยอะไรเลย
จนคนข้างบ้านได้เล่าเรื่องต่างๆให้คนในบ้านฟัง พ่อของคนข้างบ้านเขาทนไม่ไหวก็เลยไปคุยกับตัวพี่ชาย แล้วได้ตกลงกันว่าต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสิ้นเดือนนี้
ต่อมาพ่อก็พาทนายความซึ่งเป็นพี่เขยของคนข้างบ้าน ไปทำหนังสือสัญญาให้ชดใช้หนี้ทั้งหมด รวมทั้งของน้องชายด้วย ให้พี่ชายเป็นคนชดใช้
แต่พี่ชายก็บอกว่าเขาไม่มีเงินก้อนจะขอเป็นผ่อนชำระ ซึ่งพ่อก็ใจดีปล่อยให้ผ่อนชำระไป
ตอนแรกคิดว่าเรื่องจะจบอยู่เพียงแค่นี้ ต่อมาไม่ถึงชั่วโมง ตัวพี่ชายก็มาโพสข้อความใน facebook เหน็บแนม ว่า
เพื่อนที่ดีไม่ได้วัดกันด้วยกาย เขาวัดกันด้วยใจ ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน ไม่รอเวลา เห็นแก่เงิน
เมื่อคนข้างบ้านได้เห็นข้อความนี้ก็รู้สึกโมโหมาก ก็เลยโพสต่อว่าไป แต่สุดท้ายก็โดนย้อนกลับมาว่า อย่าร้อนตัว ผมไม่ได้โพสว่าคุณ
มีสมองไปอ่านดูดีๆ แล้วก็บอกว่าไม่อยากจะคุยกับคุณ คุณไม่เป็นผู้ใหญ่ ผมจะคุยกับคนที่เป็นผู้ใหญ่เท่านั้น
แล้วน้องชายก็เข้ามาช่วยโพสสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่แต่ก่อนหายตัวไป ไม่ยอมปรากฎตัวให้เห็นมาก่อน
หลังจากนั้นตัวน้องชายที่ไม่เคยโผล่มาให้เห็นหน้า ก็กลับมาที่บ้านพี่ชายบ้างบางครั้ง
ตัวน้องชายเองตั้งแต่ที่คนข้างบ้านได้ให้การช่วยเหลือมาตั้งแต่ต้น ก็ไม่เคยได้รับคำขอบคุณ คำขอโทษ หรือได้รับการยกมือไหว้มาจากน้องชายเลยสักครั้ง
แล้วตัวน้องชายเองก็หนีทหารอีก
เรื่องนี้ทำให้ทั้งย่าและพี่สาวคนข้างบ้าน เสียใจอยู่หลายวัน
และเขาผิดหวังและคิดผิดที่แต่ก่อนเคยทำดีไว้ แต่กลับได้รับผลตอบแทนแบบนี้กลับมา
คนข้างบ้านเองก็ผิดที่ไปคะยั้นคะยอทวงเงิน กับด่าเขามากเกินไป
แต่ถ้าน้องชายเขาไม่หลบหนีไปก็คงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นความรู้สึกของคนที่ให้อย่างเต็มใจ ไม่หวังผลตอบแทน แต่กลับมาโดนด่าว่าที่ทำดีไปทั้งหมดเพื่อหวังผลตอบแทน มันรู้สึกเจ็บมาก และที่เจ็บสุดคือผมก็ไม่ได้หวังคำขอบคุณจากน้องชายมัน แต่น้องชายมันดันด่าทอกลับใส่อีก
แล้วพี่น้อง 2 คนนี้ก็ยังคงบอกอยู่เสมอว่า พวกเขาไม่ผิดเลยที่ทำแบบนี้ ที่ผิดคือคนข้างบ้าน ที่ไปทวงเงิน รอไม่ได้ ญาติพี่น้องที่ผมรู้จัก เขาไม่ทำแบบนี้หรอก เขาไว้ใจ เชื่อใจซึ่งกันและกัน ถึงแม้เขาจะหายไปไม่ติดต่อ แต่ความเป็นพี่น้องต้องรู้กันอยู่แล้ว ไม่ใช่มาด่า เอาแต่ทวงเงินแบบนี้
จนปัจจุบันหลังจากที่ได้ทำหนังสือสัญญากับพ่อคนข้างบ้าน พี่ชายเขาก็ได้เริ่มทยอยจ่ายหนี้สินที่ติดไว้ แล้วน้องชายที่หนีหายไป ก็กลับมาบ้านพี่ชายเป็นบางครั้งคราว แต่ตอนคืนเงินเขากลับไม่คืนกับคนข้างบ้าน ไปคืนกับพ่อของเขาแทน ซึ่งให้เหตุผลว่าไม่อยากจะคุยกับคนที่ไม่เป็นผู้ใหญ่แบบนี้
ส่วนตัวน้องชายไม่ได้พูดกับใครเลย แม้แต่กับพ่อคนข้างบ้าน ตอนทำสัญญาก็ไม่มาคุย เพียงแต่ได้โพสใน facebook ว่า ถ้าทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ เดี๋ยวจะได้เห็นดีกัน ซึ่งตัวคนข้างบ้านก็เข้าใจที่เขาโพสแบบนี้ทันที เพราะเรื่องที่ตัวมันหนีทหาร มันคงกลัวว่าคนข้างบ้านจะไปแจ้งจับมัน
ถึงแม้ว่ายังไงๆก็คงได้เงินคืนหมด แต่คนข้างบ้านเขาก็ยังรู้สึกเสียใจ และโมโห ที่โดนเขากล่าวหาโดนตีหน้าว่าเป็นคนเห็นแก่เงิน
บ้านอยู่ติดกัน ต้องเดินผ่านทุกวัน เวลาเดินผ่านหน้าบ้านแล้วเห็นหน้าพวกมันแล้วก็รู้สึกโมโหอยู่ตลอดเวลา คงอีกสักพักถึงจะปรับตัวได้
นี่เป็นเรื่องราวทั้งหมดครับ อยากจะลองขอความคิดเห็นหน่อยนะครับ ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้คนข้างบ้านทำเกินไปหรือไม่ แล้ว 2 พี่น้องนั้นที่ทำไปแบบนั้นเขาผิดหรือไม่ครับ