ตอนที่ผู้เขียนเห็นหนังตัวอย่างครั้งแรก ยอมรับว่าอยากดูมาก ส่วนตัวเป็นคนชอบดูหนังแฟนตาซี อภินิหาร มังกร เวทมนต์ หรือ เดอะฟอร์ซในสตาร์วอร์ (ผมจัดให้หนังสตาร์วอร์เป็นแฟนตาซี ไม่ใช่ไซไฟ) คือวัตถุดิบที่เมื่อใส่ลงไปในอาหารชนิดใด ผู้เขียนจะรีบกระโจนเข้าไปหา ประหนึ่งแมงเม่าวิ่งเข้ากองไฟ แถมพร้อมปิดตาหนึ่งข้างยามเห็นสิ่งไม่ดีไม่งามในหนังที่หลายคนไม่ชอบใจ
Seventh Son มีวัตถุดิบทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น แถมยังเป็นหนังที่รวมนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง
เจฟ บริจเจจ (True Grit, Iron Man, R.I.P.D)
จูเลียน มัวร์ (The Hunger Games: Mockingjay, Carrie ,Children of Men )
จิมอน ฮอนซู (Gladiator, Blood Diamond, Guardians of the Galaxy)
และ นักแสดงหน้าใหม่ดาวรุ่งอย่าง
เบน บาร์น (The Chronicles of Narnia: Prince Caspian, Dorian Gray)
คิต แฮริงตัน (Game of Thrones, Pompeii)
หนังยังสร้างจากหนังสือในชุด The Wardstone Chronicles เริ่มเขียนในปี 2004 จนถึงปัจจุบัน รวม 13 เล่ม แสดงให้เห็นถึงความนิยมต่อนวนิยายชุดนี้
หนังเล่าเรื่องของ ทอม วาร์ด (เบน บาร์น) บุตรชายคนที่เจ็ดของพ่อที่เป็นบุตรชายคนที่เจ็ดอีกต่อหนึ่ง ซึ่งได้รับเลือกจากอาจารย์เกรกรอลี (เจฟ บริจเจจ) ให้ฝึกเป็น สปูค (Spook) หรือในบทบรรยายไทยเรียกว่า “นักล่าผี” โดยนักล่าผี จะทำหน้าที่ปราบสิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง เช่น ผี แม่มด พ่อมด สัตว์ประหลาดต่างๆ แต่เวลาไม่คอยท่า เพราะ นางมารมัลคิน (จูเลียน มัวร์) ได้หลุดจากที่คุมขัง และกำลังทำสิ่งเธอทำค้างไว้ในอดีต นั้นคือ ทำลายมนุษย์ให้สิ้นซาก
“วัตถุดิบทุกอย่างดูดีหมด เนื้อเรื่องน่าสนใจ นักแสดงน่าดึงดูด จะมีอะไรผิดพลาดได้” ผู้เขียนเข้าไปดูหนังด้วยความรู้สึกตามประโยคข้างต้น พอดูหนังจบ ผู้เขียนก็พบว่า วัตถุดิบชั้นเลิศอาจถูกปรุงให้เป็นอาหารยอดแย่ หากพ่อครัวปรุงไม่ถูกสูตร
ผู้เขียนไม่เคยอ่านนวนิยายมาก่อน และเท่าที่หาข้อมูลมา หนังเรื่องนี้เอาเนื้อหาจากนวนิยายเล่มแรกจาก 13 เล่มเท่านั้น แต่หนังกลับมีเรื่องราวและประเด็นมากมายอัดลงไปในหนัง จนทำให้หนังกล่าวถึงแต่ละประเด็นอย่างผิวเผิน บอกกล่าวเพียงผ่านๆ บางประเด็นก็ไม่รู้ว่าส่งผลกระทบอย่างไรต่อเนื้องเรื่อง จนทำให้ผู้เขียนไม่รู้สึกอินไปกับตัวละครหรือลุ้นไปกับเนื้อเรื่อง ซ้ำร้ายกว่านั้น นักแสดงบางคนยังถูกแย่งเวลาไปให้กับประเด็นมากมายเหล่านั้นจนได้ออกมาไม่กี่ฉาก เช่น จิมอน ฮอนซู และ คิต แฮริงตัน ที่ออกฉากรวมกันไม่น่าถึง 15 นาที
นักแสดงทุกคนในเรื่องทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดีเท่าที่หนังจะอำนวย โดยเฉพาะเจฟฟ บริจเจจ ในบทอาจารย์ที่ยียวนกวนประสาทดีแท้ แต่น่าเสียดาย ความสามารถนักแสดงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยหนังเรื่องนี้ได้ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือสเปเชียลเอฟเฟกต์ แต่มันก็ส่งผลกระทบต่อผู้เขียนเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ในตอนจบ นางเอกบอกกับพระเอกว่า “เราจะได้พบกันอีก” ผู้เขียนคิดในใจว่า “คงยากแล้วละ”
เดินออกจากโรง
ที่มา
https://www.facebook.com/eyeonsilversheet
http://bufferwolfa.com/blog/2015/01/seventh_son_never_meet_again/
[CR] Seventh Son : เราคงไม่ได้พบกันอีก
ตอนที่ผู้เขียนเห็นหนังตัวอย่างครั้งแรก ยอมรับว่าอยากดูมาก ส่วนตัวเป็นคนชอบดูหนังแฟนตาซี อภินิหาร มังกร เวทมนต์ หรือ เดอะฟอร์ซในสตาร์วอร์ (ผมจัดให้หนังสตาร์วอร์เป็นแฟนตาซี ไม่ใช่ไซไฟ) คือวัตถุดิบที่เมื่อใส่ลงไปในอาหารชนิดใด ผู้เขียนจะรีบกระโจนเข้าไปหา ประหนึ่งแมงเม่าวิ่งเข้ากองไฟ แถมพร้อมปิดตาหนึ่งข้างยามเห็นสิ่งไม่ดีไม่งามในหนังที่หลายคนไม่ชอบใจ
Seventh Son มีวัตถุดิบทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น แถมยังเป็นหนังที่รวมนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง
เจฟ บริจเจจ (True Grit, Iron Man, R.I.P.D)
จูเลียน มัวร์ (The Hunger Games: Mockingjay, Carrie ,Children of Men )
จิมอน ฮอนซู (Gladiator, Blood Diamond, Guardians of the Galaxy)
และ นักแสดงหน้าใหม่ดาวรุ่งอย่าง
เบน บาร์น (The Chronicles of Narnia: Prince Caspian, Dorian Gray)
คิต แฮริงตัน (Game of Thrones, Pompeii)
หนังยังสร้างจากหนังสือในชุด The Wardstone Chronicles เริ่มเขียนในปี 2004 จนถึงปัจจุบัน รวม 13 เล่ม แสดงให้เห็นถึงความนิยมต่อนวนิยายชุดนี้
หนังเล่าเรื่องของ ทอม วาร์ด (เบน บาร์น) บุตรชายคนที่เจ็ดของพ่อที่เป็นบุตรชายคนที่เจ็ดอีกต่อหนึ่ง ซึ่งได้รับเลือกจากอาจารย์เกรกรอลี (เจฟ บริจเจจ) ให้ฝึกเป็น สปูค (Spook) หรือในบทบรรยายไทยเรียกว่า “นักล่าผี” โดยนักล่าผี จะทำหน้าที่ปราบสิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง เช่น ผี แม่มด พ่อมด สัตว์ประหลาดต่างๆ แต่เวลาไม่คอยท่า เพราะ นางมารมัลคิน (จูเลียน มัวร์) ได้หลุดจากที่คุมขัง และกำลังทำสิ่งเธอทำค้างไว้ในอดีต นั้นคือ ทำลายมนุษย์ให้สิ้นซาก
“วัตถุดิบทุกอย่างดูดีหมด เนื้อเรื่องน่าสนใจ นักแสดงน่าดึงดูด จะมีอะไรผิดพลาดได้” ผู้เขียนเข้าไปดูหนังด้วยความรู้สึกตามประโยคข้างต้น พอดูหนังจบ ผู้เขียนก็พบว่า วัตถุดิบชั้นเลิศอาจถูกปรุงให้เป็นอาหารยอดแย่ หากพ่อครัวปรุงไม่ถูกสูตร
ผู้เขียนไม่เคยอ่านนวนิยายมาก่อน และเท่าที่หาข้อมูลมา หนังเรื่องนี้เอาเนื้อหาจากนวนิยายเล่มแรกจาก 13 เล่มเท่านั้น แต่หนังกลับมีเรื่องราวและประเด็นมากมายอัดลงไปในหนัง จนทำให้หนังกล่าวถึงแต่ละประเด็นอย่างผิวเผิน บอกกล่าวเพียงผ่านๆ บางประเด็นก็ไม่รู้ว่าส่งผลกระทบอย่างไรต่อเนื้องเรื่อง จนทำให้ผู้เขียนไม่รู้สึกอินไปกับตัวละครหรือลุ้นไปกับเนื้อเรื่อง ซ้ำร้ายกว่านั้น นักแสดงบางคนยังถูกแย่งเวลาไปให้กับประเด็นมากมายเหล่านั้นจนได้ออกมาไม่กี่ฉาก เช่น จิมอน ฮอนซู และ คิต แฮริงตัน ที่ออกฉากรวมกันไม่น่าถึง 15 นาที
นักแสดงทุกคนในเรื่องทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดีเท่าที่หนังจะอำนวย โดยเฉพาะเจฟฟ บริจเจจ ในบทอาจารย์ที่ยียวนกวนประสาทดีแท้ แต่น่าเสียดาย ความสามารถนักแสดงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยหนังเรื่องนี้ได้ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือสเปเชียลเอฟเฟกต์ แต่มันก็ส่งผลกระทบต่อผู้เขียนเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ในตอนจบ นางเอกบอกกับพระเอกว่า “เราจะได้พบกันอีก” ผู้เขียนคิดในใจว่า “คงยากแล้วละ”
เดินออกจากโรง
ที่มา
https://www.facebook.com/eyeonsilversheet
http://bufferwolfa.com/blog/2015/01/seventh_son_never_meet_again/