คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
บอกได้ว่า คุณแม่ของคุณมีความผิดปกติทางจิตใจค่ะ คือ เป็นโรคสะสมสมบัติบ้า (Hoarding) ค่ะ แต่ว่าหนักกว่านั้นเพราะลุกลามกลายเป็นการสะสมสัตว์แล้ว (Animal Hoarding) การสะสะมสมบัติบ้า เจ้าตัวจะมีความรู้สึกผูกพันกับของที่ตัวเองเก็บสะสมอย่างรุนแรงจนไม่อาจตัดใจได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีความสามารถที่จะดูแลรักษาจัดระเบียบ ได้แต่กอง ๆ ไว้แล้วใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้น
คนเป็นแบบนี้เยอะนะคะ การที่เริ่มลุกลามจนเป็นการสะสมสัตว์ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีผลต่อสุขภาพอนามัย และเป็นการทารุณสัตว์ด้วย เราคิดว่า จะต้องลองปรึกษาจิตแพทย์ดูค่ะ
อยากให้ลองอ่านบทความเกี่ยวกับจิตวิทยาของการเก็บสะสมดู จะมีสองบทความนะคะ แต่โพสต์ทีเดียวไม่ได้ ค่อนข้างยาวเลยเกินจำนวนคำที่พันทิปกำหนด
จิตวิทยาของการเก็บสะสม (บทความ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จิตวิทยาของการเก็บสะสม (บทความ)
เวลาเอ่ยถึงการเก็บสะสม ไม่ว่าจะเป็นการสะสมของที่ระลึก หรือของมีค่า เรามักนึกถึงการเก็บสะสมภาพวาด ตุ๊กตา เครื่องลายคราม เครื่องแก้ว ของเล่น อัญมณี แสตมป์ หรือพระพุทธรูป ฯลฯ สำหรับคนที่ชอบเก็บสะสม เขาก็มักพบว่า เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ปริมาณของที่ตนสะสมก็ยิ่งเพิ่มมาก จนต้องมีตู้เก็บหรือสถานที่เก็บ เพื่อให้เพื่อนฝูงเห็นความมุ่งมั่นและความมีฐานะของตน ซึ่งอาจทำให้คนดูรู้สึกชื่นชม หรือตื่นเต้นในความมี "รสนิยม" ของตนก็ได้
ยกตัวอย่างกรณีพระราชินี Christina แห่งสวีเดน ซึ่งประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า พระนางเคยมีพระชนม์ชีพอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2175-2197 และทรงโปรดปรานการมีปราชญ์แห่งยุคมาอยู่เรียงเคียงข้างมาก Rene Descartes ก็เป็นปราชญ์ชาวฝรั่งเศส คนหนึ่งที่พระนางโปรดปราน แต่ความหนาวเหน็บของฤดูหนาวในสวีเดนได้ทำให้ Descartes ต้องสูญเสียชีวิตหลังจากที่ไปอาศัยอยู่นั่นได้ไม่นาน ซึ่งการมีพระอารมณ์ต้องการเก็บ "สะสม" ปราชญ์เช่นนี้ นักจิตวิทยาคิดว่า คงเกิดจากการที่พระนางทรงขาดความรักจากพระราชบิดา และพระราชมารดาตั้งแต่เยาว์วัย
หรือในกรณีสงครามสมัยโบราณที่มีการสู้รบกัน เมื่อสงครามสงบกษัตริย์ฝ่ายพิชิตจะขนสมบัติของฝ่ายปราชัยไปเก็บสะสม ดังที่ Napoleon ทรงกระทำ เมื่อพระองค์ทรงยึดครองอิตาลีได้ในปี 2339 จึงทรงขนโบราณวัตถุหลายชิ้นไปปารีส เพื่อทำให้ปารีสเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลก ส่วนฟาโรห์ Ptolemy แห่งอียิปต์ เมื่อต้องการจะแสดงความเป็นอารยะของชาติ ได้ทรงโปรดให้สร้างห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นที่เมือง Alexandria เพราะห้องสมุดนี้เก็บสะสมหนังสือ ตำราและเอกสารมากมาย ชนเผ่า Aztec ที่เมือง Tenochitlan ก็ชอบเก็บสะสมกะโหลกศีรษะคน โดยนำกะโหลกของเหยื่อมาวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบในห้อง เพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นั้น ชาวเขมรแดงก็ชอบเรียงรายกะโหลกของศัตรูที่ตนสังหาร เพื่อให้คนที่เห็นรู้สึกขยาดหวาดกลัวนายพรานสมัครเล่นบางคนที่ชอบล่าสัตว์ ก็มักนำศีรษะสัตว์ที่ตนล่าได้มาวางแสดงในห้องรับแขก เพื่อแสดงความสามารถในการยิงปืนของตนเอง เป็นต้น
นักจิตวิทยาได้ให้ความสนใจเรื่องนิสัยการเก็บสะสมของคนมานานพอสมควรแล้ว โดยได้ตั้งคำถามเช่นว่า เหตุใดคนเราจึงชอบเก็บสะสมและการเก็บสะสมมีผลดีหรือผลร้ายอย่างไรบ้าง และในกรณีที่ความต้องการอยากมีสิ่งนั้น สิ่งนี้มากจนเกินความพอดี ความรู้สึกเช่นนี้อาจผลักดันให้คนกระทำโจรกรรมทรัพย์สมบัตินั้นๆ มาครอบครอง หรือในกรณีของคนที่เก็บสะสมสิ่งของน่ากลัว เช่น กะโหลกศีรษะ ฯลฯ ซึ่งถึงแม้จะวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็มีความน่ากลัว และน่าคิดในแง่ลบในขณะเดียวกันด้วย เหล่านี้คือประเด็นที่นักจิตวิทยาสนใจใคร่ศึกษา
ตามปกติถ้าคนที่เก็บสะสมของเป็นคุณระเบียบที่เก็บของทุกชนิดอย่างมีระบบ และวางสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ ปัญหาก็ไม่น่าจะมี แต่นักจิตวิทยาได้พบว่า โลกนี้มีคนบางคนที่ชอบเก็บสะสมของทุกชนิด ไม่ว่าของชิ้นนั้นจะแพงหรือถูก ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่มีคือเก็บสะสมทั้งนั้น โดยนำมาวางกองในห้องนอนหรือห้องส่วนตัวอย่างไม่เป็นระเบียบ และกองเป็นพะเนินจนห้องเก็บแทบไม่มีพื้นที่จะเดินเลย เพราะห้องเต็มไปด้วยเศษกระดาษ หนังสือพิมพ์เก่าๆ จาน ชาม ของเล่นตั้งแต่สมัยเจ้าของห้องยังเป็นเด็ก ไม้เทนนิสเก่า จดหมายเก่า รองเท้าเก่า วิทยุที่เสียแล้ว กระเป๋าถือ ตุ๊กตา ปากกา ดินสอ แปรงสีฟัน ฯลฯ จนบริเวณเดียวในห้องที่พอนั่งได้คือ เตียงของเจ้าของห้องเท่านั้น
การมี "มหาสมบัติ" มากเช่นนี้ ทำให้คนใช้ทำความสะอาดห้องไม่ได้ ห้องจึงมีฝุ่นเขรอะจนใครก็ตามที่เห็นเหตุการณ์ทำนองนี้เขาก็จะอดคิดไม่ได้ว่า โลกมีคนที่ใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ด้วยหรือ เพราะพฤติกรรมเก็บสะสมเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า เจ้าของห้องมีปัญหาทางจิตใจแน่ๆ
ตัวเจ้าของห้องเอง ตามปกติก็รู้ตัวว่า ตนมีนิสัย "บ้าเก็บ" ที่ทำให้ตนหยุดเก็บสะสมไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะพยายามสักปานใด เพราะทุกครั้งที่ตนจะโยนอะไรทิ้งไปจากห้อง ใจของตนก็จะขาดรอนทุกครั้งไป จนทำให้ตัดใจทิ้งอะไรไม่ได้เลย
นักจิตวิทยายังตั้งข้อสังเกตอีกว่า คนประเภทนี้เวลาอยู่ในสังคมมักปรากฏเป็นคนที่มีบุคลิกดี รู้จักวางตัวชอบอุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่น อย่างสม่ำเสมอ แต่ทันทีที่กลับถึงบ้าน เขาจะเปลี่ยนบุคลิกเป็นชอบมีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบให้ใครเข้ามา "ก้าวก่าย" หรือ "แตะต้อง" ขุมทรัพย์แมคเคนน่าในห้องตนเลย เพราะคิดว่าคนที่เข้ามาล่วงล้ำอาณาจักรตน จะทำให้ของที่ตนรักมากสาบสูญหรือแตกหักหรือไม่ก็นำพฤติกรรมของตนไปเมาท์ต่อ ซึ่งจะทำให้ตนเสียหาย
การห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามาในโลกส่วนตัวของตน ทำให้ปัญหาจิตใจที่ตนมีไม่ได้รับการแก้ไข และนานๆ ไปปัญหาก็ยิ่งทวีความรุนแรง เพราะกองสมบัติที่มีมากมหาศาลจะมากขึ้นๆ จนอาจถล่มทับเจ้าของห้องถึงตายได้ ดังในปี พ.ศ. 2490 ที่สองพี่น้องตระกูล Collyer ถูก "ขยะ" หนัก 136 ตัน ในบ้านทับตาย เมื่อคนทั้งสองเข้าไปรื้อหาของในบ้านตน
นักจิตวิทยาถือว่าพฤติกรรม "บ้าเก็บสะสม" (hoarding) เป็นความผิดปกติชนิดหนึ่งของจิตใจ (obsessive-compulsive disorder OCD) ที่เกิดในคนประมาณ 1% ซึ่งอาการ OCD นี้มีหลายรูปแบบ เช่น เวลาจะออกจากบ้านก็เช็กประตูว่าลงกลอนหรือไม่ เช็กแล้วเช็กอีก ชอบล้างมือบ่อยหรืออยู่ห้องน้ำนานเป็นชั่วโมง เป็นต้น และเมื่อคนที่มีปัญหาประเภทนี้ไม่ชอบปรับทุกข์ ดังนั้น โลกภายนอกจึงไม่รู้จนกระทั่งคนคนนั้นมีอายุมาก การศึกษาประวัติคนที่มีนิสัยเช่นนี้ทำให้เรารู้ว่า 80% ของคนที่ชอบเก็บสะสมไม่เลือกนี้มีญาติผู้ใหญ่ที่มีนิสัยแบบเดียวกัน และคนเหล่านี้ถ้าได้รับการรักษาทางจิตบำบัดด้วยวาจาเพียง 17% จะหายขาด
อนึ่ง การที่คนบางคนไม่แสดงนิสัยบ้าเก็บ "สะสม" เวลาอยู่ในสังคม เพราะกฎเกณฑ์ของสังคมบังคับไม่ให้ตนเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เวลาอยู่ในบ้านตนเอง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนเป็นเจ้าของที่ไม่มีใครบังคับ นิสัยบ้าเก็บก็จะปรากฏทันที และจะยึดติดวัตถุที่เก็บมาก คือจะถือว่าของทุกชิ้นสำคัญหมด ดีหมด และยิ่งใหญ่หมด ซึ่งทุกอย่างต้องอยู่ในที่ของมันตลอดไป และห้ามใครเคลื่อนย้ายนอกจากตนเองเท่านั้น
ในการทำจิตบำบัดคนประเภทนี้ นักจิตวิทยาได้พบว่าไม่ควรแตะจับอะไร ในห้องขยะนั้นก่อนได้รับอนุญาต และถ้าจะเอาอะไรทิ้งต้องให้เจ้าของห้องอนุมัติก่อน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาที่อาจจะนานถึง 30 นาที กว่าจะตัดสินใจได้ว่า กระดาษจดหมายที่ได้รับเมื่อ 20 ปีก่อนนั้น ควรจะทิ้งได้แล้ว เป็นต้น ประสบการณ์การใช้เวลานานเช่นนี้กับของหลายชิ้นในห้องนั้น อาจทำให้นักจิตวิทยาที่ต้องการรักษาคนไข้ ในที่สุดอาจต้องรักษาอาการบ้าของตนด้วยก็ได้ แต่ในกรณีที่อาการบ้าเก็บ "สะสม" ไม่รุนแรง การทำจิตบำบัดที่นาน 12-18 เดือนอย่างสม่ำเสมอ อาจทำให้คนไข้หายได้ แต่นั่นก็หมายความว่า คนไข้ต้องให้ความร่วมมือ และกระตือรือร้นด้วย เพราะถ้าคนไข้คิดว่าจิตใจตนปกติ การรักษาก็จะไม่มีประสิทธิภาพ
จิตแพทย์บางคนใช้ยา Prozac ในการรักษา ซึ่งก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่พอหยุดยา 90% จะหวนกลับมามีนิสัยเหมือนเดิม
สำหรับการหาสาเหตุการมีนิสัยเช่นนี้ ณ วันนี้นักจิตวิทยามีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า การถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง และยีน (gene) ในร่างกายคือสาเหตุหลักที่ทำให้คนมีนิสัยบ้าเก็บสะสม
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีกลายนี้ ในที่ประชุม Society for Neuroscience ที่เมือง New Orleans, S. Anderson แห่งมหาวิทยาลัย Iowa ได้รายงานว่า เวลาสมองส่วนที่เรียกว่า mesial prefrontal cortex ทำงานบกพร่อง คนจะมีอาการ OCD คือไม่รู้ว่าอะไรควรเก็บ หรือไม่ควรเก็บ และเมื่อตัดสินใจไม่ได้ จึงเก็บหมด ดังนั้น ในการรักษาคนบ้าเก็บสะสม หมอควรรักษาสมองส่วน prefrontal cortex ให้ทำงานปกติครับ
Cr: http://www.siamstamp.com/forum/index.php?topic=4067.0
คนเป็นแบบนี้เยอะนะคะ การที่เริ่มลุกลามจนเป็นการสะสมสัตว์ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีผลต่อสุขภาพอนามัย และเป็นการทารุณสัตว์ด้วย เราคิดว่า จะต้องลองปรึกษาจิตแพทย์ดูค่ะ
อยากให้ลองอ่านบทความเกี่ยวกับจิตวิทยาของการเก็บสะสมดู จะมีสองบทความนะคะ แต่โพสต์ทีเดียวไม่ได้ ค่อนข้างยาวเลยเกินจำนวนคำที่พันทิปกำหนด
จิตวิทยาของการเก็บสะสม (บทความ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จิตวิทยาของการเก็บสะสม (บทความ)
เวลาเอ่ยถึงการเก็บสะสม ไม่ว่าจะเป็นการสะสมของที่ระลึก หรือของมีค่า เรามักนึกถึงการเก็บสะสมภาพวาด ตุ๊กตา เครื่องลายคราม เครื่องแก้ว ของเล่น อัญมณี แสตมป์ หรือพระพุทธรูป ฯลฯ สำหรับคนที่ชอบเก็บสะสม เขาก็มักพบว่า เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ปริมาณของที่ตนสะสมก็ยิ่งเพิ่มมาก จนต้องมีตู้เก็บหรือสถานที่เก็บ เพื่อให้เพื่อนฝูงเห็นความมุ่งมั่นและความมีฐานะของตน ซึ่งอาจทำให้คนดูรู้สึกชื่นชม หรือตื่นเต้นในความมี "รสนิยม" ของตนก็ได้
ยกตัวอย่างกรณีพระราชินี Christina แห่งสวีเดน ซึ่งประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า พระนางเคยมีพระชนม์ชีพอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2175-2197 และทรงโปรดปรานการมีปราชญ์แห่งยุคมาอยู่เรียงเคียงข้างมาก Rene Descartes ก็เป็นปราชญ์ชาวฝรั่งเศส คนหนึ่งที่พระนางโปรดปราน แต่ความหนาวเหน็บของฤดูหนาวในสวีเดนได้ทำให้ Descartes ต้องสูญเสียชีวิตหลังจากที่ไปอาศัยอยู่นั่นได้ไม่นาน ซึ่งการมีพระอารมณ์ต้องการเก็บ "สะสม" ปราชญ์เช่นนี้ นักจิตวิทยาคิดว่า คงเกิดจากการที่พระนางทรงขาดความรักจากพระราชบิดา และพระราชมารดาตั้งแต่เยาว์วัย
หรือในกรณีสงครามสมัยโบราณที่มีการสู้รบกัน เมื่อสงครามสงบกษัตริย์ฝ่ายพิชิตจะขนสมบัติของฝ่ายปราชัยไปเก็บสะสม ดังที่ Napoleon ทรงกระทำ เมื่อพระองค์ทรงยึดครองอิตาลีได้ในปี 2339 จึงทรงขนโบราณวัตถุหลายชิ้นไปปารีส เพื่อทำให้ปารีสเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลก ส่วนฟาโรห์ Ptolemy แห่งอียิปต์ เมื่อต้องการจะแสดงความเป็นอารยะของชาติ ได้ทรงโปรดให้สร้างห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นที่เมือง Alexandria เพราะห้องสมุดนี้เก็บสะสมหนังสือ ตำราและเอกสารมากมาย ชนเผ่า Aztec ที่เมือง Tenochitlan ก็ชอบเก็บสะสมกะโหลกศีรษะคน โดยนำกะโหลกของเหยื่อมาวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบในห้อง เพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นั้น ชาวเขมรแดงก็ชอบเรียงรายกะโหลกของศัตรูที่ตนสังหาร เพื่อให้คนที่เห็นรู้สึกขยาดหวาดกลัวนายพรานสมัครเล่นบางคนที่ชอบล่าสัตว์ ก็มักนำศีรษะสัตว์ที่ตนล่าได้มาวางแสดงในห้องรับแขก เพื่อแสดงความสามารถในการยิงปืนของตนเอง เป็นต้น
นักจิตวิทยาได้ให้ความสนใจเรื่องนิสัยการเก็บสะสมของคนมานานพอสมควรแล้ว โดยได้ตั้งคำถามเช่นว่า เหตุใดคนเราจึงชอบเก็บสะสมและการเก็บสะสมมีผลดีหรือผลร้ายอย่างไรบ้าง และในกรณีที่ความต้องการอยากมีสิ่งนั้น สิ่งนี้มากจนเกินความพอดี ความรู้สึกเช่นนี้อาจผลักดันให้คนกระทำโจรกรรมทรัพย์สมบัตินั้นๆ มาครอบครอง หรือในกรณีของคนที่เก็บสะสมสิ่งของน่ากลัว เช่น กะโหลกศีรษะ ฯลฯ ซึ่งถึงแม้จะวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็มีความน่ากลัว และน่าคิดในแง่ลบในขณะเดียวกันด้วย เหล่านี้คือประเด็นที่นักจิตวิทยาสนใจใคร่ศึกษา
ตามปกติถ้าคนที่เก็บสะสมของเป็นคุณระเบียบที่เก็บของทุกชนิดอย่างมีระบบ และวางสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ ปัญหาก็ไม่น่าจะมี แต่นักจิตวิทยาได้พบว่า โลกนี้มีคนบางคนที่ชอบเก็บสะสมของทุกชนิด ไม่ว่าของชิ้นนั้นจะแพงหรือถูก ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่มีคือเก็บสะสมทั้งนั้น โดยนำมาวางกองในห้องนอนหรือห้องส่วนตัวอย่างไม่เป็นระเบียบ และกองเป็นพะเนินจนห้องเก็บแทบไม่มีพื้นที่จะเดินเลย เพราะห้องเต็มไปด้วยเศษกระดาษ หนังสือพิมพ์เก่าๆ จาน ชาม ของเล่นตั้งแต่สมัยเจ้าของห้องยังเป็นเด็ก ไม้เทนนิสเก่า จดหมายเก่า รองเท้าเก่า วิทยุที่เสียแล้ว กระเป๋าถือ ตุ๊กตา ปากกา ดินสอ แปรงสีฟัน ฯลฯ จนบริเวณเดียวในห้องที่พอนั่งได้คือ เตียงของเจ้าของห้องเท่านั้น
การมี "มหาสมบัติ" มากเช่นนี้ ทำให้คนใช้ทำความสะอาดห้องไม่ได้ ห้องจึงมีฝุ่นเขรอะจนใครก็ตามที่เห็นเหตุการณ์ทำนองนี้เขาก็จะอดคิดไม่ได้ว่า โลกมีคนที่ใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ด้วยหรือ เพราะพฤติกรรมเก็บสะสมเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า เจ้าของห้องมีปัญหาทางจิตใจแน่ๆ
ตัวเจ้าของห้องเอง ตามปกติก็รู้ตัวว่า ตนมีนิสัย "บ้าเก็บ" ที่ทำให้ตนหยุดเก็บสะสมไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะพยายามสักปานใด เพราะทุกครั้งที่ตนจะโยนอะไรทิ้งไปจากห้อง ใจของตนก็จะขาดรอนทุกครั้งไป จนทำให้ตัดใจทิ้งอะไรไม่ได้เลย
นักจิตวิทยายังตั้งข้อสังเกตอีกว่า คนประเภทนี้เวลาอยู่ในสังคมมักปรากฏเป็นคนที่มีบุคลิกดี รู้จักวางตัวชอบอุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่น อย่างสม่ำเสมอ แต่ทันทีที่กลับถึงบ้าน เขาจะเปลี่ยนบุคลิกเป็นชอบมีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบให้ใครเข้ามา "ก้าวก่าย" หรือ "แตะต้อง" ขุมทรัพย์แมคเคนน่าในห้องตนเลย เพราะคิดว่าคนที่เข้ามาล่วงล้ำอาณาจักรตน จะทำให้ของที่ตนรักมากสาบสูญหรือแตกหักหรือไม่ก็นำพฤติกรรมของตนไปเมาท์ต่อ ซึ่งจะทำให้ตนเสียหาย
การห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามาในโลกส่วนตัวของตน ทำให้ปัญหาจิตใจที่ตนมีไม่ได้รับการแก้ไข และนานๆ ไปปัญหาก็ยิ่งทวีความรุนแรง เพราะกองสมบัติที่มีมากมหาศาลจะมากขึ้นๆ จนอาจถล่มทับเจ้าของห้องถึงตายได้ ดังในปี พ.ศ. 2490 ที่สองพี่น้องตระกูล Collyer ถูก "ขยะ" หนัก 136 ตัน ในบ้านทับตาย เมื่อคนทั้งสองเข้าไปรื้อหาของในบ้านตน
นักจิตวิทยาถือว่าพฤติกรรม "บ้าเก็บสะสม" (hoarding) เป็นความผิดปกติชนิดหนึ่งของจิตใจ (obsessive-compulsive disorder OCD) ที่เกิดในคนประมาณ 1% ซึ่งอาการ OCD นี้มีหลายรูปแบบ เช่น เวลาจะออกจากบ้านก็เช็กประตูว่าลงกลอนหรือไม่ เช็กแล้วเช็กอีก ชอบล้างมือบ่อยหรืออยู่ห้องน้ำนานเป็นชั่วโมง เป็นต้น และเมื่อคนที่มีปัญหาประเภทนี้ไม่ชอบปรับทุกข์ ดังนั้น โลกภายนอกจึงไม่รู้จนกระทั่งคนคนนั้นมีอายุมาก การศึกษาประวัติคนที่มีนิสัยเช่นนี้ทำให้เรารู้ว่า 80% ของคนที่ชอบเก็บสะสมไม่เลือกนี้มีญาติผู้ใหญ่ที่มีนิสัยแบบเดียวกัน และคนเหล่านี้ถ้าได้รับการรักษาทางจิตบำบัดด้วยวาจาเพียง 17% จะหายขาด
อนึ่ง การที่คนบางคนไม่แสดงนิสัยบ้าเก็บ "สะสม" เวลาอยู่ในสังคม เพราะกฎเกณฑ์ของสังคมบังคับไม่ให้ตนเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เวลาอยู่ในบ้านตนเอง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนเป็นเจ้าของที่ไม่มีใครบังคับ นิสัยบ้าเก็บก็จะปรากฏทันที และจะยึดติดวัตถุที่เก็บมาก คือจะถือว่าของทุกชิ้นสำคัญหมด ดีหมด และยิ่งใหญ่หมด ซึ่งทุกอย่างต้องอยู่ในที่ของมันตลอดไป และห้ามใครเคลื่อนย้ายนอกจากตนเองเท่านั้น
ในการทำจิตบำบัดคนประเภทนี้ นักจิตวิทยาได้พบว่าไม่ควรแตะจับอะไร ในห้องขยะนั้นก่อนได้รับอนุญาต และถ้าจะเอาอะไรทิ้งต้องให้เจ้าของห้องอนุมัติก่อน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาที่อาจจะนานถึง 30 นาที กว่าจะตัดสินใจได้ว่า กระดาษจดหมายที่ได้รับเมื่อ 20 ปีก่อนนั้น ควรจะทิ้งได้แล้ว เป็นต้น ประสบการณ์การใช้เวลานานเช่นนี้กับของหลายชิ้นในห้องนั้น อาจทำให้นักจิตวิทยาที่ต้องการรักษาคนไข้ ในที่สุดอาจต้องรักษาอาการบ้าของตนด้วยก็ได้ แต่ในกรณีที่อาการบ้าเก็บ "สะสม" ไม่รุนแรง การทำจิตบำบัดที่นาน 12-18 เดือนอย่างสม่ำเสมอ อาจทำให้คนไข้หายได้ แต่นั่นก็หมายความว่า คนไข้ต้องให้ความร่วมมือ และกระตือรือร้นด้วย เพราะถ้าคนไข้คิดว่าจิตใจตนปกติ การรักษาก็จะไม่มีประสิทธิภาพ
จิตแพทย์บางคนใช้ยา Prozac ในการรักษา ซึ่งก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่พอหยุดยา 90% จะหวนกลับมามีนิสัยเหมือนเดิม
สำหรับการหาสาเหตุการมีนิสัยเช่นนี้ ณ วันนี้นักจิตวิทยามีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า การถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง และยีน (gene) ในร่างกายคือสาเหตุหลักที่ทำให้คนมีนิสัยบ้าเก็บสะสม
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีกลายนี้ ในที่ประชุม Society for Neuroscience ที่เมือง New Orleans, S. Anderson แห่งมหาวิทยาลัย Iowa ได้รายงานว่า เวลาสมองส่วนที่เรียกว่า mesial prefrontal cortex ทำงานบกพร่อง คนจะมีอาการ OCD คือไม่รู้ว่าอะไรควรเก็บ หรือไม่ควรเก็บ และเมื่อตัดสินใจไม่ได้ จึงเก็บหมด ดังนั้น ในการรักษาคนบ้าเก็บสะสม หมอควรรักษาสมองส่วน prefrontal cortex ให้ทำงานปกติครับ
Cr: http://www.siamstamp.com/forum/index.php?topic=4067.0
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
ความรักสัตว์ของแม่ เป็นการทรมานสัตว์ของดิฉัน
สะสมเก็บของทุกอย่างจนกองพะเนิน ทั้งที่เป็นขยะและไม่เป็นขยะ สุมรวมกันจนแทบไม่มีทางเดินในบ้านค่ะ
แต่ปัญหาของดิฉันวันนี้ ไม่ใช่เรื่องของการสะสมสิ่งไม่มีชีวิต แต่การสะสมของคุณแม่ลุกลามไปถึงสิ่งมีชีวิตค่ะ
คือเดิมทีคุณแม่มีพื้นฐานเป็นคนรักสัตว์มาก มักเก็บสุนัขมาเลี้ยงไว้มากมาย
กินอยู่และขับถ่ายรวมกันกับที่อยู่คุณแม่ ดิฉันทนรับสภาพไม่ได้จึงแยกตัวออกมา
(เคยมีการจ้างคนมาเคลียร์บ้านให้โล่งแล้ว แต่ก็อยู่ในสภาพนั้นได้ไม่นาน)
พักหลัง คุณแม่ เริ่มสะสมสัตว์ชนิดต่างๆ เลี้ยงไว้ในกรงแบบแกนๆ คือให้ข้าวให้น้ำ แต่ปีหนึ่งจะล้างกรงสักหนึ่งครั้ง
เพราะท่านบ่นว่าแก่แล้ว ทำไม่ไหว
มีนก กิ้งก่า และแมว
ก่อนหน้าที่จะจับแมวขัง คุณแม่ก็ให้ข้าวให้น้ำปล่อยมันวิ่งเล่น
ครอกแรกที่คลอดลูกก็ยังปล่อยอยู่ จนโดนหมาไทยที่เก็บมาเลี้ยงกัดตายไปบ้าง
ครอกที่สองที่ออกมา คุณแม่ก็จับขังทั้งแม่แมวลูกแมวในกรง ปล่อยจนลูกแมวห้าตัวเริ่มโตจนคับกรง
ดิฉันสงสาร ก็พามาหาบ้าน หาได้สองบ้าน สามตัวที่เหลืออยู่ในกรงอีกเกือบปีจนขาหลังเริ่มอ่อนแรงเดินลำบาก
ด้วยความสงสาร จึงรับมาอยู่ด้วย รวมกับเดิมที่มีอยู่ที่บ้าน เป็น5ตัว พร้อมกับหวังว่าจะไม่มีแมวตัวไหนถูกเลี้ยงอัดในกรงอีก
ผ่านไปได้ไม่นาน พอกรงว่าง คุณแม่ก็ไปจับเอาตัวที่เหลือจากครอกแรก(ซึ่งเป็นแมวโต)
มาใส่กรงใหม่ โดยให้เหตุผลว่ากลัวหมากัด มันกัดตายไปหลายตัวแล้ว
ดิฉันเคยบอกให้คุณแม่ล่ามหมา เป็นครั้งคราว แล้วปล่อยแมวมายืดเส้นยืดสายบ้างแต่ท่านก็ไม่ทำ
อ้างว่า หมาเห่าเกรงใจข้างบ้าน ไม่มีเวลาดู ไล่จับไม่ไหว ฯลฯ
น้องแมวมีความเป็นอยู่จมกองอึในกรงอยู่ร่วมปีแล้วค่ะ
สองสามครั้งล่าสุดที่ดิฉันไปที่บ้าน น้องแมวตัวนี้นอนนิ่งๆ เรียกแล้วไม่มีปฎิกิริยาเลย ไม่ลุก ไม่เดิน ไม่ขยับตัว ซึมมาก
ซ้ำร้าย มีลูกแมวจากไหนไม่รู้มาเพิ่มอีกอยู่กรงข้างๆ คุณแม่บอกว่า อุ้มมาจากข้างถนน กลัวมันโดนรถชน
ดิฉันเห็นความเป็นอยู่แมวสองตัวนี้แล้ว บอกตามตรงว่าหดหู่มาก ดิฉันไม่รู้จะช่วยอย่างไร
ตัวแมวโต ไม่รู้ว่าปล่อยออกมาแล้วจะยังเดินได้มั้ย ถ้าแกล้งปล่อยออกมาแล้วเดินไม่ได้ หมาก็กัดตายอยู่ดี
ดิฉันเคยสั่งกรงมาสำหรับให้คุณแม่ขังหมาเป็นครั้งคราวนะคะ
แต่สุดท้ายท่านไม่ขังค่ะ กลางวันท่านอ้างว่าหมาเห่า เกรงใจข้างบ้าน
ส่วนกลางคืนท่านบอกว่า ท่านนอนไม่หลับถ้าท่านไม่ได้นอนกับหมา
ดิฉันเคยถึงขั้นบอกคุณแม่เลยว่า ถ้าจะเลี้ยงแมวแบบนี้ ก็เลวร้ายไม่ต่างกับปล่อยให้หมากัดตาย
สู้ให้หมากัดตายให้ไปเกิดที่อื่น อาจจะสุขสบายกว่า
และกลับมานั่งคิดๆดู ดิฉันว่า ถึงถ้าดิฉันรับมาเลี้ยงเพิ่ม ก็จะมีแมวเคราะห์ร้ายถูกจับมาขังกรงเรื่อยๆ
เพราะว่าปัญหาอยู่ที่คน......ไม่ใช่แมว
เล่ามาซะยืดยาว สรุปก็คือ
ดิฉันอยากปรึกษาเพื่อนๆค่ะว่า ควรจะทำอย่างไรกับน้องแมวที่น่าสงสารสองตัวนี้
เพราะที่บ้านดิฉัน ไม่สามารถรองรับแมวได้เกินห้าตัวแล้ว
(เพราะไม่เช่นนั้นจะดูแลไม่ทั่วถึง........ดิฉันไม่อยากเป็นเหมือนคุณแม่ค่ะ)
ถ้าเอาเค้ามารักษา หาบ้าน.....แล้วไม่มีคนรับไปเลี้ยง ดิฉันควรทำอย่างไรกับเค้าดีคะ
ถ้าเอากลับไปไว้ที่เดิม ก็ไม่ต่างกับส่งกลับไปตกนรกเหมือนที่ผ่านมา
หรือในกรณีแบบนี้ ไม่ทราบว่าดิฉันแจ้งหน่วยงานพิทักษ์สัตว์ ให้เข้ามาตรวจสอบความเป็นอยู่สัตว์ในบ้านดีหรือไม่
พูดกันด้วยเหตุผลภายในครอบครัวแล้วไม่รู้เรื่องจริงๆค่ะ
ขอแท็คห้องสุขภาพจิตด้วยนะคะ เผื่อมีจิตแพทย์ท่านใดพอมีคำแนะนำบ้าง