ก่อนที่จะหมดปี 2014 ขอย้อนอดีตกันนิดนึง ในปี 1994 มีหนังดีหลายเรื่องออกฉาย ซึ่งหนังที่ออกฉายในปีนั้นนับถึงปัจจุบันก็มีอายุครบ 20 ปีแล้ว เราจึงขอนำเสนอ Top 10 Movies of 1994
1. Forrest Gump
เริ่มที่เรื่องแรกหนังเจ้าของรางวัล Oscar ภาพยนต์ยอดเยี่ยม และเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในปีนั้น ว่าด้วยช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกายุค ’60s และ ’70s ผ่านมุมมองอันไร้เดียงสา (Peter Pan Complex) ของชายออทิสติกเจ้าของชื่อเรื่อง ใครที่เคยดูคงไม่มีทางลืมฉาก Run Forrest Run หรือฉากที่ Jenny เจอกับ Forrest หลังกลับจากสงคราม ที่ทำให้คนดูยิ้มทั้งน้ำตา ความเจ๋งอีกประการคือ การใช้ Special Effect เพื่อรับใช้การเล่าเรื่อง ที่เนียนจนคนดูไม่รู้ว่ามี แต่ Oscar รู้ หลักฐานคือการที่หนังชนะรางวัล Best Visual Effect แถมด้วยเพลงประกอบจากยุคนั้นที่โคตรเพราะ
2. The Shawshank Redemption
หนังเข้าชิงรางวัล Oscar ทั้งหมด 7 สาขา รวมถึง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ไม่ได้รางวัลกลับบ้านเลยสักตัว หลายปีผ่านไปมันได้โค่น The Godfather (ซึ่งก็ชนะ Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ลงจากอันดับ 1 ใน Top 250 หนังเยี่ยม (จากคะแนนโหวตของผู้ชม) ของเว็บไซต์หนัง IMDb หนังดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ Stephen King (ปกติลุงแกจะเขียนแนวสยองขวัญ) ชื่อ Rita Hayworth and Shawshank Redemption (Rita Hayworth เป็นนักแสดงฮอลลีวูด ซึ่งพระเอกติดโปสเตอร์ของเธอไว้บนกำแพงห้องขัง และไอ้โปสเตอร์นี่จะมีบทบาทสำคัญกับเรื่องเป็นอย่างมาก) เล่าเรื่องของชายที่ถูกตัดสินจำคุกในมูลเหตุที่เขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ ชีวิตคนคุกทำให้เขาต้องประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายมากมาย แต่แม้จะอยู่ในสถานที่อันอับจนหนทาง มิตรภาพ และความหวัง ก็ยังคงเบ่งบานเสมอ ฉาก Brooks was here คอยย้ำเตือนว่าโชคชะตามักจะเล่นตลกกับเรา
3. Pulp Fiction
ผู้กำกับ Quentin Tarantino อดีตพนักงานร้านเช่าวีดีโอ ผู้ไม่เคยเข้าโรงเรียนภาพยนตร์ เริ่มสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองจากหนังเรื่องแรกคือ Reservoir Dogs (ที่ได้รับอิทธิพลมาจากหนัง John Woo และหนังฮ่องกง City on Fire) ก่อนที่หนังเรื่องที่สอง Pulp Fiction (ได้รับอิทธิพลมาจาก French New Wave ตามกฎที่ Jean-Luc Godard สร้างขึ้นคือ ขอแค่มีพระเอก นางเอก และปืน ก็สามารถทำหนังได้แล้ว) จะดังไปทั่วโลกจากการคว้ารางวัล Palme d'Or ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในเทศกาลหนังเมือง Cannes และชนะรางวัล Oscar บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากการเล่าเรื่องแบบ Non-Linear ที่ไม่เรียงลำดับตามเวลา โดยเรื่องราว 3 ไทม์ไลน์จะถูกเล่าสลับกันไป ก่อนที่จะมาบรรจบกันในท้ายที่สุด ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีใครทำมาก่อน ทักษะในการเขียนบทสนทนาขั้นเทพ และฉากเข็มฉีดยาที่ทำให้แทบหยุดหายใจ ไหนจะการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของ Samuel L. Jackson
(หมายเหตุ : หนังอีก 2 เรื่องที่เข้าชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมคือ Four Weddings and a Funeral ซึ่งเราไม่ชอบ และ Quiz Show ที่เราไม่เคยดู และไม่เคยเห็นว่ามีขายหรือมีให้เช่าเลย)
4. Heavenly Creatures
หนังดราม่าเลสเบียนที่เป็นการแจ้งเกิดให้กับ Kate Winslet และนำพาให้เราได้รู้จักกับผู้กำกับนามว่า Peter Jackson (Lord of the rings, The Hobbit) ซึ่งแค่ฉากเปิดเรื่องก็ทำให้เห็นความสามารถของหมอนี่ว่านอกจากจะทำหนังดราม่าได้แล้ว น่าจะมีสกิลพอที่จะทำหนังแฟนตาซียิ่งใหญ่อลังการได้
5. Ed Wood
หนังที่ดีที่สุดของ Tim Burton และการแสดงที่ดีที่สุดของ Johnny Depp ในบทที่สร้างจากชีวิตจริงของ Ed Wood ผู้กำกับหนังที่ชอบแต่งหญิง (แต่แกก็มีเมียด้วย) และว่ากันว่าแกเป็นผู้กำกับหนังที่ห่วยแตกที่สุดในโลก (คือต้องเข้าใจว่าสมัยนั้น พจน์ อานนท์ ยังไม่เกิด) แต่แกก็มี passion ในการทำหนังที่สูงมาก ถึงแม้หนังของอีตา Ed จะห่วยแตก แต่ Tim Burton ก็รัก และสร้างหนังเรื่องนี้ ขึ้นเพื่อสดุดีความห่วย ปัจจุบันหนังหลายเรื่องของ Ed Wood ก็กลายเป็นหนัง Cult ที่มีคนกลุ่มหนึ่งชื่นชม และ Martin Landou ที่แสดงเป็น Bela Lugosi (นักแสดงคนแรกที่รับบทเป็น Dracula) ก็เป็นคนที่แย่ง Oscar นักแสดงสมทบชายไปจาก Samuel L. Jackson
6. Speed
Jan de Bont อดีตตากล้อง ที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับครั้งแรก กับหนัง Action พล็อตเจ๋งที่ว่าด้วย พระเอก (พี่ขี้หนู) ที่ต้องหยุดระเบิดที่วางไว้บนรถบัส ที่จะทำงานทันที ถ้าขับต่ำกว่าความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง ความฮิตของหนังทำให้คนดูพากันไปตัดผมทรงคีนูรีบ
7. The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert
หนังตลกจากออสเตรเลีย ว่าด้วย การเดินทางข้ามประเทศของกระเทยควีน 3 นาง โดยรถบัสชื่อ Priscilla เรื่องนี้เราจะได้เห็น Hugo Weaving สาวแตกจนลืมภาพ Agent Smith ไปเลย และก็เพราะหนังเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้เพลง I Will Survive กลายเป็นเพลงชาติของกระเทยและเก้งกวาง
8. Leon: The Professional
Natalie Portman วัย 12 ปี รับบทเป็น Mathilda ที่ขอร้องมือปืน (Jean Reno) ให้ช่วยล้างแค้นให้กับครอบครัวของเธอที่ถูกตำรวจเลว (Gary Oldman) ฆ่ายกครัว ในผลงานอันยอดเยี่ยมและบทที่แสนชาญฉลาดโดย Luc Besson (ผู้เขียนบท Taken)
9. The Lion King
แม้ในอันดับหนังทำเงินในบรรดาการ์ตูนดิสนีย์ด้วยกับ The Lion King จะถูก Frozen แซงหน้าไปแล้ว แต่ในแง่คุณภาพ Queen Elsa ไม่มีทางชิงบัลลังก์ King Simba ไปได้ หลังจากถูกกล่าวหาว่าก็อปปี้ Kimba the White Lion มา แต่แท้จริงแล้ว The Lion King ดัดแปลงมากจาก Hamlet ของ Shakespeare และชื่อ Simba ก็มาจากคำว่าสิงโตในภาษา Swahili เวลา 20 ปีที่ผ่านมามันได้ถูกพิสูจน์แล้วซึ่งความยอมเยี่ยมและอยู่เหนือกาลเวลา
10. Chungking Express
หนังที่ทำให้ฝรั่งมองหนังเอเชียด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม ในยุคนั้นถ้าคิดถึงหนังฮ่องกงก็ต้องนึกถึงหนังในสไตล์ John Woo แต่ หว่องกาไว (หวังเจียเหว่ย) ได้นำเสนอผลงานที่คนมักนิยามหนังของเขาว่า “เดียวดายอย่างโรแมนติก” และการทำหนังในแบบ Impressionism ที่วิธีการทำงานของเฮียหว่อง คือ การถ่ายทำโดยไม่มีบท คิดอะไรออกก็บอกให้นักแสดงเล่นไปตามนั้น แล้วมาตัดรวมกันทีหลังให้เป็นเรื่องราว Chungking Express ชื่อไทยว่า ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง (ขนาดชื่อไทยยัง John Woo เลย) ได้รับอิทธิพลมาจาก French New Wave เช่นกัน เรื่องราวแบ่งออกเป็น 2 องค์ ส่วนแรกเป็นเรื่องของผู้หญิงผมทอง และนายตำรวจ 223 (ทาเคชิ คาเนชิโร่) ที่หวังจะคืนดีกับแฟนสาวชื่อ เมย์ “เราเลิกกันในวัน April Fool ดังนั้น ผมจะถือซะว่ามันเป็นเรื่องโกหกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ทุกวันผมจะซื้อสับปะรดกระป๋องที่หมดอายุวันที่ 1 พฤษภาคม เมย์ชอบกินสับปะรด และวันที่ 1 พฤษภาคมเป็นวันเกิดของผม หากเมย์ไม่เปลี่ยนความคิดของเธอตอนที่ผมซื้อสับปะรดครบสามสิบกระป๋องแล้ว ความรักของเราคงหมดอายุ” และตอนที่สอง ที่เล่าเรื่องของ นายตำรวจ 663 (เหลียงเฉาเหว่ย) กับแฟนสาวแอร์โฮสเตส และสาวเสิร์ฟชื่อ เฟย์ (เฟย์ หว่อง) และนี่คือประโยคที่นายตำรวจ 663 รำพันตอนถูกบอกเลิก “ตั้งแต่เธอจากไป ของทุกอย่างในห้องก็เศร้าขึ้นมาทันที (พูดกับสบู่) นายผอมลงไปเยอะเลยนะ นายเคยอ้วนกว่านี้นี่นา (พูดกับผ้าขี้ริ้ว) นายเปียกไปหมดแล้ว หยุดร้องไห้ซะที นายดูโทรมมากเลยนะวันนี้” และหลังจากดูหนังเรื่องนี้แล้ว ถ้าได้ยินเพลง California Dreaming ครั้งใด ก็อดนึกถึงภาพ เฟย์ หว่อง ที่เต้นไปตามจังหวะเพลงไม่ได้
ย้อนอดีต 10 อันดับหนังดี เมื่อ 20 ปีที่แล้ว (ปี 1994)
1. Forrest Gump
เริ่มที่เรื่องแรกหนังเจ้าของรางวัล Oscar ภาพยนต์ยอดเยี่ยม และเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในปีนั้น ว่าด้วยช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกายุค ’60s และ ’70s ผ่านมุมมองอันไร้เดียงสา (Peter Pan Complex) ของชายออทิสติกเจ้าของชื่อเรื่อง ใครที่เคยดูคงไม่มีทางลืมฉาก Run Forrest Run หรือฉากที่ Jenny เจอกับ Forrest หลังกลับจากสงคราม ที่ทำให้คนดูยิ้มทั้งน้ำตา ความเจ๋งอีกประการคือ การใช้ Special Effect เพื่อรับใช้การเล่าเรื่อง ที่เนียนจนคนดูไม่รู้ว่ามี แต่ Oscar รู้ หลักฐานคือการที่หนังชนะรางวัล Best Visual Effect แถมด้วยเพลงประกอบจากยุคนั้นที่โคตรเพราะ
2. The Shawshank Redemption
หนังเข้าชิงรางวัล Oscar ทั้งหมด 7 สาขา รวมถึง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ไม่ได้รางวัลกลับบ้านเลยสักตัว หลายปีผ่านไปมันได้โค่น The Godfather (ซึ่งก็ชนะ Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ลงจากอันดับ 1 ใน Top 250 หนังเยี่ยม (จากคะแนนโหวตของผู้ชม) ของเว็บไซต์หนัง IMDb หนังดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ Stephen King (ปกติลุงแกจะเขียนแนวสยองขวัญ) ชื่อ Rita Hayworth and Shawshank Redemption (Rita Hayworth เป็นนักแสดงฮอลลีวูด ซึ่งพระเอกติดโปสเตอร์ของเธอไว้บนกำแพงห้องขัง และไอ้โปสเตอร์นี่จะมีบทบาทสำคัญกับเรื่องเป็นอย่างมาก) เล่าเรื่องของชายที่ถูกตัดสินจำคุกในมูลเหตุที่เขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ ชีวิตคนคุกทำให้เขาต้องประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายมากมาย แต่แม้จะอยู่ในสถานที่อันอับจนหนทาง มิตรภาพ และความหวัง ก็ยังคงเบ่งบานเสมอ ฉาก Brooks was here คอยย้ำเตือนว่าโชคชะตามักจะเล่นตลกกับเรา
3. Pulp Fiction
ผู้กำกับ Quentin Tarantino อดีตพนักงานร้านเช่าวีดีโอ ผู้ไม่เคยเข้าโรงเรียนภาพยนตร์ เริ่มสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองจากหนังเรื่องแรกคือ Reservoir Dogs (ที่ได้รับอิทธิพลมาจากหนัง John Woo และหนังฮ่องกง City on Fire) ก่อนที่หนังเรื่องที่สอง Pulp Fiction (ได้รับอิทธิพลมาจาก French New Wave ตามกฎที่ Jean-Luc Godard สร้างขึ้นคือ ขอแค่มีพระเอก นางเอก และปืน ก็สามารถทำหนังได้แล้ว) จะดังไปทั่วโลกจากการคว้ารางวัล Palme d'Or ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในเทศกาลหนังเมือง Cannes และชนะรางวัล Oscar บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากการเล่าเรื่องแบบ Non-Linear ที่ไม่เรียงลำดับตามเวลา โดยเรื่องราว 3 ไทม์ไลน์จะถูกเล่าสลับกันไป ก่อนที่จะมาบรรจบกันในท้ายที่สุด ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีใครทำมาก่อน ทักษะในการเขียนบทสนทนาขั้นเทพ และฉากเข็มฉีดยาที่ทำให้แทบหยุดหายใจ ไหนจะการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของ Samuel L. Jackson
(หมายเหตุ : หนังอีก 2 เรื่องที่เข้าชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมคือ Four Weddings and a Funeral ซึ่งเราไม่ชอบ และ Quiz Show ที่เราไม่เคยดู และไม่เคยเห็นว่ามีขายหรือมีให้เช่าเลย)
4. Heavenly Creatures
หนังดราม่าเลสเบียนที่เป็นการแจ้งเกิดให้กับ Kate Winslet และนำพาให้เราได้รู้จักกับผู้กำกับนามว่า Peter Jackson (Lord of the rings, The Hobbit) ซึ่งแค่ฉากเปิดเรื่องก็ทำให้เห็นความสามารถของหมอนี่ว่านอกจากจะทำหนังดราม่าได้แล้ว น่าจะมีสกิลพอที่จะทำหนังแฟนตาซียิ่งใหญ่อลังการได้
5. Ed Wood
หนังที่ดีที่สุดของ Tim Burton และการแสดงที่ดีที่สุดของ Johnny Depp ในบทที่สร้างจากชีวิตจริงของ Ed Wood ผู้กำกับหนังที่ชอบแต่งหญิง (แต่แกก็มีเมียด้วย) และว่ากันว่าแกเป็นผู้กำกับหนังที่ห่วยแตกที่สุดในโลก (คือต้องเข้าใจว่าสมัยนั้น พจน์ อานนท์ ยังไม่เกิด) แต่แกก็มี passion ในการทำหนังที่สูงมาก ถึงแม้หนังของอีตา Ed จะห่วยแตก แต่ Tim Burton ก็รัก และสร้างหนังเรื่องนี้ ขึ้นเพื่อสดุดีความห่วย ปัจจุบันหนังหลายเรื่องของ Ed Wood ก็กลายเป็นหนัง Cult ที่มีคนกลุ่มหนึ่งชื่นชม และ Martin Landou ที่แสดงเป็น Bela Lugosi (นักแสดงคนแรกที่รับบทเป็น Dracula) ก็เป็นคนที่แย่ง Oscar นักแสดงสมทบชายไปจาก Samuel L. Jackson
6. Speed
Jan de Bont อดีตตากล้อง ที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับครั้งแรก กับหนัง Action พล็อตเจ๋งที่ว่าด้วย พระเอก (พี่ขี้หนู) ที่ต้องหยุดระเบิดที่วางไว้บนรถบัส ที่จะทำงานทันที ถ้าขับต่ำกว่าความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง ความฮิตของหนังทำให้คนดูพากันไปตัดผมทรงคีนูรีบ
7. The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert
หนังตลกจากออสเตรเลีย ว่าด้วย การเดินทางข้ามประเทศของกระเทยควีน 3 นาง โดยรถบัสชื่อ Priscilla เรื่องนี้เราจะได้เห็น Hugo Weaving สาวแตกจนลืมภาพ Agent Smith ไปเลย และก็เพราะหนังเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้เพลง I Will Survive กลายเป็นเพลงชาติของกระเทยและเก้งกวาง
8. Leon: The Professional
Natalie Portman วัย 12 ปี รับบทเป็น Mathilda ที่ขอร้องมือปืน (Jean Reno) ให้ช่วยล้างแค้นให้กับครอบครัวของเธอที่ถูกตำรวจเลว (Gary Oldman) ฆ่ายกครัว ในผลงานอันยอดเยี่ยมและบทที่แสนชาญฉลาดโดย Luc Besson (ผู้เขียนบท Taken)
9. The Lion King
แม้ในอันดับหนังทำเงินในบรรดาการ์ตูนดิสนีย์ด้วยกับ The Lion King จะถูก Frozen แซงหน้าไปแล้ว แต่ในแง่คุณภาพ Queen Elsa ไม่มีทางชิงบัลลังก์ King Simba ไปได้ หลังจากถูกกล่าวหาว่าก็อปปี้ Kimba the White Lion มา แต่แท้จริงแล้ว The Lion King ดัดแปลงมากจาก Hamlet ของ Shakespeare และชื่อ Simba ก็มาจากคำว่าสิงโตในภาษา Swahili เวลา 20 ปีที่ผ่านมามันได้ถูกพิสูจน์แล้วซึ่งความยอมเยี่ยมและอยู่เหนือกาลเวลา
10. Chungking Express
หนังที่ทำให้ฝรั่งมองหนังเอเชียด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม ในยุคนั้นถ้าคิดถึงหนังฮ่องกงก็ต้องนึกถึงหนังในสไตล์ John Woo แต่ หว่องกาไว (หวังเจียเหว่ย) ได้นำเสนอผลงานที่คนมักนิยามหนังของเขาว่า “เดียวดายอย่างโรแมนติก” และการทำหนังในแบบ Impressionism ที่วิธีการทำงานของเฮียหว่อง คือ การถ่ายทำโดยไม่มีบท คิดอะไรออกก็บอกให้นักแสดงเล่นไปตามนั้น แล้วมาตัดรวมกันทีหลังให้เป็นเรื่องราว Chungking Express ชื่อไทยว่า ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง (ขนาดชื่อไทยยัง John Woo เลย) ได้รับอิทธิพลมาจาก French New Wave เช่นกัน เรื่องราวแบ่งออกเป็น 2 องค์ ส่วนแรกเป็นเรื่องของผู้หญิงผมทอง และนายตำรวจ 223 (ทาเคชิ คาเนชิโร่) ที่หวังจะคืนดีกับแฟนสาวชื่อ เมย์ “เราเลิกกันในวัน April Fool ดังนั้น ผมจะถือซะว่ามันเป็นเรื่องโกหกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ทุกวันผมจะซื้อสับปะรดกระป๋องที่หมดอายุวันที่ 1 พฤษภาคม เมย์ชอบกินสับปะรด และวันที่ 1 พฤษภาคมเป็นวันเกิดของผม หากเมย์ไม่เปลี่ยนความคิดของเธอตอนที่ผมซื้อสับปะรดครบสามสิบกระป๋องแล้ว ความรักของเราคงหมดอายุ” และตอนที่สอง ที่เล่าเรื่องของ นายตำรวจ 663 (เหลียงเฉาเหว่ย) กับแฟนสาวแอร์โฮสเตส และสาวเสิร์ฟชื่อ เฟย์ (เฟย์ หว่อง) และนี่คือประโยคที่นายตำรวจ 663 รำพันตอนถูกบอกเลิก “ตั้งแต่เธอจากไป ของทุกอย่างในห้องก็เศร้าขึ้นมาทันที (พูดกับสบู่) นายผอมลงไปเยอะเลยนะ นายเคยอ้วนกว่านี้นี่นา (พูดกับผ้าขี้ริ้ว) นายเปียกไปหมดแล้ว หยุดร้องไห้ซะที นายดูโทรมมากเลยนะวันนี้” และหลังจากดูหนังเรื่องนี้แล้ว ถ้าได้ยินเพลง California Dreaming ครั้งใด ก็อดนึกถึงภาพ เฟย์ หว่อง ที่เต้นไปตามจังหวะเพลงไม่ได้