"El niño" เป็นฉายาที่เขาไม่ชอบที่สุด
นั่นเพราะ มันเป็นฉายาที่ถูกเรียกในห้องแต่งตัวของ แอธเลติโก มาดริด ในวันแรกที่เขาได้ก้าวสู่ทีมใหญ่
และไม่มีใครสนใจจะถามว่าเขาชื่ออะไร
ทุกคนเรียกเขาว่า "El niño" หรือก็คือ "ไอ้หนูน้อย" นั่นเอง
ในวัย 16 ปี เฟอร์นานโด ไม่เคยชอบฉายานั้น แต่เขาปฏิเสธมันไม่ได้ เพราะมันกลายเป็นฉายาที่สร้างชื่อให้เขา เขากลายเป็นกัปตันทีมแอธเลติโก มาดริด ด้วยวัย 19 ปี แต่แม้จะมีอาร์มแบนด์ประดับแขน แต่เขาก็ไม่เคยได้เป็นกัปตันจริงๆ เขายอมรับว่า ตำแหน่งกัปตันในตอนนั้นเป็นเพียงแค่ในนาม เขายังคงเป็นเด็กคนหนึ่งที่ต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมายจากรุ่นพี่ภายในทีม จนกระทั่งมาถึงลิเวอร์พูล แม้ฉายานั้นจะยังคงตามติดเป็นเงาตามตัว แต่ชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับ ทำให้ความไม่พอใจในฉายานั้นแทบถูกกลบไปหมดสิ้น
ที่ลิเวอร์พูล เฟอร์นานโด ตอร์เรส ได้กลายมาเป็นศูนย์หน้าระดับท็อปของโลก ด้วยการโชว์ฟอร์มสุดร้อนแรง ในปีนั้นหาใครร้อนแรงเกินหนุ่มแดนกระทิงคนนี้ได้ยากจริงๆ เลข 9 บนหลังที่เขียนชื่อ "Torres 9" มีมูลค่าและทรงพลังอย่างมากสำหรับแฟนบอล เขาผูกขาดเบอร์ 9 ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูลไว้ได้
แต่ก็ไม่นานมากพอ
ตอร์เรสมีเดือนปีที่ดีกับลิเวอร์พูล แต่อาจเป็นเพราะลิเวอร์พูลไม่อาจตอบสนองสิ่งที่ตอร์เรสต้องการได้ นักเตะวัยหนุ่มที่ยังเก่งกาจอาจพบว่า เขามีทางเลือกมากกว่านี้ เขาจึงตัดสินใจย้ายไปเชลซี แบบที่จากกันกับลิเวอร์พูลไม่ค่อยสวยงามนัก นับแต่วันนั้น แฟนลิเวอร์พูลจำนวนมาก ก็ไม่ให้อภัยเขาอีกเลย รวมทั้งตำนานเบอร์ 9 ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของลิเวอร์พูล ก็ดูเหมือนจะถูกแฟนๆพยายามลบออกไปจากความทรงจำอีกด้วย
แม้ตอร์เรสจะคว้าถ้วยได้มากมายกับเชลซี ซึ่งก็คงเป็นสิ่งที่เขาตามหามาตลอด แต่ตอร์เรสก็ไม่สามารถเค้นฟอร์มแกร่งและเป็นสุดยอดศูนย์หน้าเบอร์ 9 ได้เท่ากับที่เคยเป็นที่ลิเวอร์พูล หรือที่ แอธเลติโก มาดริดได้เลย แม้จะไม่ได้ย่ำแย่ติดดินแต่ก็เทียบไม่ได้กับความรุ่งเรืองที่เคยมี ด้วยอายุที่มากขึ้น แต่ฝีมือที่ลดน้อยถอยลงไป ทำให้ตอร์เรส เริ่มยอมรับว่า เขาอาจมาถึงจุดที่ต้องยอมรับเรื่องสังขารของตัวเองจนได้
"เมื่อคุณมีฟอร์มที่ดี และ คุณทำประตูได้ทุกสัปดาห์ คุณก็จะได้ลงเล่น นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า
ทำไมโรนัลโด้ หรือ เมสซี่ ไม่ได้ถูกเปลี่ยนตัว เพราะพวกเขาทำประตูกันในทุกๆเกมที่ลงเล่น
ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับตอนนี้ มันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อนทั้งใน แอธแลติโก
หรือลิเวอร์พูล แต่ตอนนี้มันเป็นไปแล้ว และเกิดขึ้นในเกมทีมชาติด้วย
ผมเป็นคนอยู่กับความเป็นจริงนะ ผมรู้ตัว เมื่อผมไม่ได้ทำประตู ที่ผมควรทำได้
คนอื่นก็ต้องมาเอาตำแหน่งที่ผมเคยยืนอยู่ไป
...นั่นแหละฟุตบอล..."
มันเป็นคำสัมภาษณ์ในช่วงที่ ตอร์เรสถูกดรอปไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงที่เชลซีเลย แต่เป็น ซามูเอล เอโต้ ศูนย์หน้าที่อายุมากกว่าเขาเสียอีกได้ลงเล่นแทน รวมทั้งศูนย์หน้าเด็กๆคนอื่นๆที่ได้ลงเล่นแทน ตอร์เรสโอกาสเหลือน้อยเต็มที่ที่ แสตมป์ฟอร์ดบริดจ์ แล้วการตัดสินใจครั้งสำคัญก็มาถึง เมื่อที่สุดแล้ว ตอร์เรสตัดสินใจไปอิตาลี ครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้ง สโมสรแรกที่อิตาลีของเขาคือ เอซี มิลาน ที่กำลังรวบรวมบรรดานักเตะดาวโรยไว้มากมาย และตอร์เรสก็เป็นหนึ่งในนั้น
ปัญหาของตอร์เรสคือ เขาเป็น นักเตะซุปเปอร์สตาร์ แม้ฟอร์มจะไม่ได้อยู่ในระดับท็อป แต่เขาก็ยังคงเป็นสตาร์ที่มีค่าเหนื่อยมหาศาล การย้ายทีมจึงมีข้อจำกัดเรื่องค่าเหนื่อยตามหลัง ทีมไหนจะสามารถแบกรับค่าเหนื่อยของศูนย์หน้าคนนี้ได้ ซึ่งหากพูดกันจริงๆแล้ว เขาจะไม่ได้โชว์ฟอร์มได้ตามค่าเหนื่อยเลยก็ตาม
ตอร์เรสมีปัญหากับการย้ายจากเชลซีไปมิลานด้วยปัญหาเรื่องการแบกรับค่าเหนื่อยที่เชลซีต้องรับภาระแทน ขณะที่เขาย้ายไปมิลานแบบยืมตัว หลังจากเริ่มฤดูกาลไปได้ไม่นาน ปัญหาเดิมๆก็ตามมาอีกครั้ง ตอร์เรสแทบไม่ได้รับโอกาสได้ลงเล่น และเมื่อเขาลงเล่นก็ไม่ได้มีฟอร์มที่น่าประทับใจเลย กลับกันที่ศูนย์หน้าคนอื่นที่ราคาค่าตัวถูกกว่ามาก เด็กกว่ามาก กลับโชว์ฟอร์มได้ดี สร้างข้อเปรียบเทียบอย่างชัดเจน ทำให้สถานการณ์ตอร์เรสกลับมาเข้าตาจนอีกครั้ง ผ่านครึ่งฤดูกาล ที่สุด สื่อจกอิตาลีและอังกฤษก็พร้อมใจกันเล่นข่าวอีกครั้งว่า "ตอร์เรสไร้ค่าที่มิลาน" สโมสรพร้อมจำหน่ายเขาออกได้ทุกเมื่อ
ใครก็ไม่คาดคิดว่า ตอร์เรสจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้
หลังการการเจรจาอันยื้ดเยื้อ เชลซีปฏิเสธที่จะรับตอร์เรสกลับ มิลานไม่มีที่ให้เขาเล่นบนสนาม สุดท้าย การเจรจาเปลาะแรกจบลงที่ เชลซีสิ้นสุดสัญญากับตอร์เรส เขากลายเป็นนักเตะของเอซี มิลาน แต่หมึกปริ๊นท์สัญญากับเอซี มิลานยังไม่ทันแห้ง เขาก็ถูกปล่อยยืมไปยัง สโมสรที่เคยสร้างชื่อให้เขาอย่าง แอธเลติโก มาดริด ต่อทันที ด้วยสัญญายืมตัวเป็นระยะเวลา 18 เดือน
จบสิ้นกันที การผจญภัย 8 ปีนอกสเปน
อันที่จริงแล้ว ตอร์เรส เป็นนักเตะที่มีช่วงชีวิตการค้าแข้งที่รุ่งเรืองมากที่สุดคนหนึ่ง
เขาหน้าตาดี ผู้คนคลั่งไคล้มากมาย ทั้งที่เป็นแฟนบอลและไม่ใช่แฟนบอล
เขามีฝีมือในช่วงพีคที่ยากหาคนเทียบในช่วงอายุเดียวกัน มีสไตล์เฉพาะตัว
โดดเด่นทั้งในทีมชาติและสโมสร คว้าโทรฟีมานับไม่ถ้วน ยิ่งใหญ่ยุโรป ระดับชาติ และ ระดับโลก
หากเทียบจากสิ่งที่มีประดับตู้แล้ว เขาไม่ได้พลาดอะไรไปเลย สำหรับชีวิตนักฟุตบอลคนหนึ่ง
หากได้ติดตามอ่านทัศนคติแนวคิดของตอร์เรส เขาจะต่างจากนักเตะสเปนคนอื่นอยู่พอสมควร
เขาไม่ตลกหรือมีมุกแพรวพราวแบบเพื่อนๆ
แต่ก็ไม่เงียบขรึม เป็นผู้ใหญ่ เหมือนรุ่นพี่คนอื่นๆ
เขาไม่ใช่คนขี้อาย แต่ก็ไม่ได้กล้าแสดงออก พูดน้อย แต่ก็ไม่ใช่คนเคร่งเครียด'
อันที่จริงเขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน แต่มักแสดงออกมาไม่ค่อยเป็น
เหนืออื่นใดเขาเป็นผู้ชายที่โรแมนติคและละเอียดลึกซึ้งกับความสัมพันธ์ต่างๆเป็นพิเศษ
ทั้งกับครอบครัว และกับเพื่อนฝูง
มาต้าเคยบอกว่า ตอร์เรส เคยปลอบใจเขาในช่วงที่มาต้ามีช่วงเวลาที่ย่ำแย่กกับการไม่ได้ลงสนามเลย
ตอร์เรสไม่เคยปลอบใจ หรือ ให้กำลังใจใครกับสื่อฯ แต่เขามักบอกเพื่อนๆแบบเป็นส่วนตัว และจะพยายามทำอยู่แบบนั้น
จนกว่าเขาจะมั่นใจว่า เพื่อนพร้อมสู้ต่อได้แล้วจริงๆ
แต่สำหรับตัวตอร์เรสเอง กลับกลายเป็นว่า
หลายครั้งที่เขาโดดเด่นอยู่กลางผู้คนมากมาย แต่เขาก็ยังดูเหมือนยืนอยู่คนเดียว
มันคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจลบออกไปได้ บุคลิกส่วนตัวอันแสนโดดเดี่ยวของเขา
ท่ามกลางชื่อเสียงเกียรติยศที่มีอยู่มากมาย
สิ่งหนึ่งที่ยังคงเด่นชัดเหลือเกินสำหรับ เฟอร์นานโด ตอร์เรส คือ
.. เขาเป็นเจ้าของแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวมากที่สุดคนหนึ่ง ..
เท่าที่เราเคยรู้จักจริงๆ
กลับบ้านเรา ไม่เหงาแล้วนะ ตอร์
.. Welcome Home ..
... Welcome Back "El niño" : Fernando Torres กลับบ้าน ...
"El niño" เป็นฉายาที่เขาไม่ชอบที่สุด
นั่นเพราะ มันเป็นฉายาที่ถูกเรียกในห้องแต่งตัวของ แอธเลติโก มาดริด ในวันแรกที่เขาได้ก้าวสู่ทีมใหญ่
และไม่มีใครสนใจจะถามว่าเขาชื่ออะไร
ทุกคนเรียกเขาว่า "El niño" หรือก็คือ "ไอ้หนูน้อย" นั่นเอง
ในวัย 16 ปี เฟอร์นานโด ไม่เคยชอบฉายานั้น แต่เขาปฏิเสธมันไม่ได้ เพราะมันกลายเป็นฉายาที่สร้างชื่อให้เขา เขากลายเป็นกัปตันทีมแอธเลติโก มาดริด ด้วยวัย 19 ปี แต่แม้จะมีอาร์มแบนด์ประดับแขน แต่เขาก็ไม่เคยได้เป็นกัปตันจริงๆ เขายอมรับว่า ตำแหน่งกัปตันในตอนนั้นเป็นเพียงแค่ในนาม เขายังคงเป็นเด็กคนหนึ่งที่ต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมายจากรุ่นพี่ภายในทีม จนกระทั่งมาถึงลิเวอร์พูล แม้ฉายานั้นจะยังคงตามติดเป็นเงาตามตัว แต่ชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับ ทำให้ความไม่พอใจในฉายานั้นแทบถูกกลบไปหมดสิ้น
ที่ลิเวอร์พูล เฟอร์นานโด ตอร์เรส ได้กลายมาเป็นศูนย์หน้าระดับท็อปของโลก ด้วยการโชว์ฟอร์มสุดร้อนแรง ในปีนั้นหาใครร้อนแรงเกินหนุ่มแดนกระทิงคนนี้ได้ยากจริงๆ เลข 9 บนหลังที่เขียนชื่อ "Torres 9" มีมูลค่าและทรงพลังอย่างมากสำหรับแฟนบอล เขาผูกขาดเบอร์ 9 ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูลไว้ได้
แต่ก็ไม่นานมากพอ
ตอร์เรสมีเดือนปีที่ดีกับลิเวอร์พูล แต่อาจเป็นเพราะลิเวอร์พูลไม่อาจตอบสนองสิ่งที่ตอร์เรสต้องการได้ นักเตะวัยหนุ่มที่ยังเก่งกาจอาจพบว่า เขามีทางเลือกมากกว่านี้ เขาจึงตัดสินใจย้ายไปเชลซี แบบที่จากกันกับลิเวอร์พูลไม่ค่อยสวยงามนัก นับแต่วันนั้น แฟนลิเวอร์พูลจำนวนมาก ก็ไม่ให้อภัยเขาอีกเลย รวมทั้งตำนานเบอร์ 9 ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของลิเวอร์พูล ก็ดูเหมือนจะถูกแฟนๆพยายามลบออกไปจากความทรงจำอีกด้วย
แม้ตอร์เรสจะคว้าถ้วยได้มากมายกับเชลซี ซึ่งก็คงเป็นสิ่งที่เขาตามหามาตลอด แต่ตอร์เรสก็ไม่สามารถเค้นฟอร์มแกร่งและเป็นสุดยอดศูนย์หน้าเบอร์ 9 ได้เท่ากับที่เคยเป็นที่ลิเวอร์พูล หรือที่ แอธเลติโก มาดริดได้เลย แม้จะไม่ได้ย่ำแย่ติดดินแต่ก็เทียบไม่ได้กับความรุ่งเรืองที่เคยมี ด้วยอายุที่มากขึ้น แต่ฝีมือที่ลดน้อยถอยลงไป ทำให้ตอร์เรส เริ่มยอมรับว่า เขาอาจมาถึงจุดที่ต้องยอมรับเรื่องสังขารของตัวเองจนได้
ทำไมโรนัลโด้ หรือ เมสซี่ ไม่ได้ถูกเปลี่ยนตัว เพราะพวกเขาทำประตูกันในทุกๆเกมที่ลงเล่น
ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับตอนนี้ มันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อนทั้งใน แอธแลติโก
หรือลิเวอร์พูล แต่ตอนนี้มันเป็นไปแล้ว และเกิดขึ้นในเกมทีมชาติด้วย
ผมเป็นคนอยู่กับความเป็นจริงนะ ผมรู้ตัว เมื่อผมไม่ได้ทำประตู ที่ผมควรทำได้
คนอื่นก็ต้องมาเอาตำแหน่งที่ผมเคยยืนอยู่ไป
...นั่นแหละฟุตบอล..."
มันเป็นคำสัมภาษณ์ในช่วงที่ ตอร์เรสถูกดรอปไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงที่เชลซีเลย แต่เป็น ซามูเอล เอโต้ ศูนย์หน้าที่อายุมากกว่าเขาเสียอีกได้ลงเล่นแทน รวมทั้งศูนย์หน้าเด็กๆคนอื่นๆที่ได้ลงเล่นแทน ตอร์เรสโอกาสเหลือน้อยเต็มที่ที่ แสตมป์ฟอร์ดบริดจ์ แล้วการตัดสินใจครั้งสำคัญก็มาถึง เมื่อที่สุดแล้ว ตอร์เรสตัดสินใจไปอิตาลี ครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้ง สโมสรแรกที่อิตาลีของเขาคือ เอซี มิลาน ที่กำลังรวบรวมบรรดานักเตะดาวโรยไว้มากมาย และตอร์เรสก็เป็นหนึ่งในนั้น
ปัญหาของตอร์เรสคือ เขาเป็น นักเตะซุปเปอร์สตาร์ แม้ฟอร์มจะไม่ได้อยู่ในระดับท็อป แต่เขาก็ยังคงเป็นสตาร์ที่มีค่าเหนื่อยมหาศาล การย้ายทีมจึงมีข้อจำกัดเรื่องค่าเหนื่อยตามหลัง ทีมไหนจะสามารถแบกรับค่าเหนื่อยของศูนย์หน้าคนนี้ได้ ซึ่งหากพูดกันจริงๆแล้ว เขาจะไม่ได้โชว์ฟอร์มได้ตามค่าเหนื่อยเลยก็ตาม
ตอร์เรสมีปัญหากับการย้ายจากเชลซีไปมิลานด้วยปัญหาเรื่องการแบกรับค่าเหนื่อยที่เชลซีต้องรับภาระแทน ขณะที่เขาย้ายไปมิลานแบบยืมตัว หลังจากเริ่มฤดูกาลไปได้ไม่นาน ปัญหาเดิมๆก็ตามมาอีกครั้ง ตอร์เรสแทบไม่ได้รับโอกาสได้ลงเล่น และเมื่อเขาลงเล่นก็ไม่ได้มีฟอร์มที่น่าประทับใจเลย กลับกันที่ศูนย์หน้าคนอื่นที่ราคาค่าตัวถูกกว่ามาก เด็กกว่ามาก กลับโชว์ฟอร์มได้ดี สร้างข้อเปรียบเทียบอย่างชัดเจน ทำให้สถานการณ์ตอร์เรสกลับมาเข้าตาจนอีกครั้ง ผ่านครึ่งฤดูกาล ที่สุด สื่อจกอิตาลีและอังกฤษก็พร้อมใจกันเล่นข่าวอีกครั้งว่า "ตอร์เรสไร้ค่าที่มิลาน" สโมสรพร้อมจำหน่ายเขาออกได้ทุกเมื่อ
ใครก็ไม่คาดคิดว่า ตอร์เรสจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้
หลังการการเจรจาอันยื้ดเยื้อ เชลซีปฏิเสธที่จะรับตอร์เรสกลับ มิลานไม่มีที่ให้เขาเล่นบนสนาม สุดท้าย การเจรจาเปลาะแรกจบลงที่ เชลซีสิ้นสุดสัญญากับตอร์เรส เขากลายเป็นนักเตะของเอซี มิลาน แต่หมึกปริ๊นท์สัญญากับเอซี มิลานยังไม่ทันแห้ง เขาก็ถูกปล่อยยืมไปยัง สโมสรที่เคยสร้างชื่อให้เขาอย่าง แอธเลติโก มาดริด ต่อทันที ด้วยสัญญายืมตัวเป็นระยะเวลา 18 เดือน
อันที่จริงแล้ว ตอร์เรส เป็นนักเตะที่มีช่วงชีวิตการค้าแข้งที่รุ่งเรืองมากที่สุดคนหนึ่ง
เขาหน้าตาดี ผู้คนคลั่งไคล้มากมาย ทั้งที่เป็นแฟนบอลและไม่ใช่แฟนบอล
เขามีฝีมือในช่วงพีคที่ยากหาคนเทียบในช่วงอายุเดียวกัน มีสไตล์เฉพาะตัว
โดดเด่นทั้งในทีมชาติและสโมสร คว้าโทรฟีมานับไม่ถ้วน ยิ่งใหญ่ยุโรป ระดับชาติ และ ระดับโลก
หากเทียบจากสิ่งที่มีประดับตู้แล้ว เขาไม่ได้พลาดอะไรไปเลย สำหรับชีวิตนักฟุตบอลคนหนึ่ง
หากได้ติดตามอ่านทัศนคติแนวคิดของตอร์เรส เขาจะต่างจากนักเตะสเปนคนอื่นอยู่พอสมควร
เขาไม่ตลกหรือมีมุกแพรวพราวแบบเพื่อนๆ
แต่ก็ไม่เงียบขรึม เป็นผู้ใหญ่ เหมือนรุ่นพี่คนอื่นๆ
เขาไม่ใช่คนขี้อาย แต่ก็ไม่ได้กล้าแสดงออก พูดน้อย แต่ก็ไม่ใช่คนเคร่งเครียด'
อันที่จริงเขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน แต่มักแสดงออกมาไม่ค่อยเป็น
เหนืออื่นใดเขาเป็นผู้ชายที่โรแมนติคและละเอียดลึกซึ้งกับความสัมพันธ์ต่างๆเป็นพิเศษ
ทั้งกับครอบครัว และกับเพื่อนฝูง
มาต้าเคยบอกว่า ตอร์เรส เคยปลอบใจเขาในช่วงที่มาต้ามีช่วงเวลาที่ย่ำแย่กกับการไม่ได้ลงสนามเลย
ตอร์เรสไม่เคยปลอบใจ หรือ ให้กำลังใจใครกับสื่อฯ แต่เขามักบอกเพื่อนๆแบบเป็นส่วนตัว และจะพยายามทำอยู่แบบนั้น
จนกว่าเขาจะมั่นใจว่า เพื่อนพร้อมสู้ต่อได้แล้วจริงๆ
แต่สำหรับตัวตอร์เรสเอง กลับกลายเป็นว่า
หลายครั้งที่เขาโดดเด่นอยู่กลางผู้คนมากมาย แต่เขาก็ยังดูเหมือนยืนอยู่คนเดียว
มันคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจลบออกไปได้ บุคลิกส่วนตัวอันแสนโดดเดี่ยวของเขา
สิ่งหนึ่งที่ยังคงเด่นชัดเหลือเกินสำหรับ เฟอร์นานโด ตอร์เรส คือ
.. เขาเป็นเจ้าของแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวมากที่สุดคนหนึ่ง ..
เท่าที่เราเคยรู้จักจริงๆ
กลับบ้านเรา ไม่เหงาแล้วนะ ตอร์
.. Welcome Home ..