พลังแห่ง like คอลัมน์ "หนึ่งคำถาม ล้านคำตอบ" โดย นิ้วกลม
ท่ามกลางหน้าจอคอมพ์ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อาหารดีๆ วิวสวยๆ รูปถ่ายน่ารักของลูกชายลูกสาว ข้อความหนึ่งโดดเด้งออกมาจากหน้านิวส์ฟีดในเฟซบุ๊ก
"แตกสลายทั้งร่างกายและจิตใจ"
เป็นข้อความในสเตตัสของเพื่อนสมัยมัธยม ผมคลิกเข้าไปเพื่อเขียนคอมเมนต์ให้กำลังใจ จึงได้เห็นว่ามีเพื่อนๆ อีกหลายคนเข้าไปให้กำลังใจด้วยวิธีต่างกันไป บ้างก็ส่งพลัง บ้างเป็นห่วงถามไถ่ บ้างก็ปล่อยมุขตลกให้หายเครียด บางคนแปะลิงก์เพลงเพิ่งพลังไว้ให้ฟังเพื่อเยียวยา
ฝากกำลังใจไว้หนึ่งประโยคสั้นๆ แล้วกลับมาอ่านหน้าจอที่เต็มไปด้วยความสุขและรูปภาพที่สวยงามอีกครั้ง
คืนวันเดียวกัน มีรูปสะดุดตาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เป็นรูปนักพากย์การ์ตูนที่ผมและเพื่อนๆ โตมากับเสียงพากย์ของเขา
ใช่ครับ น้าต๋อยเซ็มเบ้นั่นเอง
ในภาพ ผมเห็นน้าต๋อยซึ่งเคยร่าเริง แคล่วคล่อง ใส่ชุดผู้ป่วยนั่งอยู่ในโรงพยาบาล แขนเต็มไปด้วยร่องรอยการเจาะและผ้ากอซที่โปะพันไว้ น้าต๋อยใส่ผ้าปิดปากจึงมองไม่เห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่หรือไม่ตอนถูกถ่ายรูปรูปนี้ แต่จากท่าทางการชูสองนิ้ว และแววตาก็พอจะเดาได้ว่า หัวใจยังเข้มแข็ง
ข้อความในภาพเขียนว่า
"ผลจากการฉายแสงทำให้ผมทานอะไรไม่ได้เลยมา 2 วัน จึงต้องเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ซึ่งถือเป็นข่าวดีกับตัวผมและครอบครัวมากๆ ครับ เมื่อผลตรวจชิ้นเนื้อระบุว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็งตามที่หลายๆ แห่งสันนิษฐานไว้ในตอนแรก ผลปรากฏว่าเป็นการติดเชื้อที่ปอดระยะรุนแรง และเชื้อตัวนี้ได้ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง จึงทำให้ผมมีอาการหอบหืดตามข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ และยังลามเข้าไปที่กระดูกสันหลัง ทำให้มีอาการปวดอย่างมาก เป็นเหตุให้ต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ทางคุณหมอยืนยันว่าเชื้อลักษณะนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี พอได้ฟังอย่างนี้แล้ว ใจผมมันก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกเป็นร้อยเท่าเลยครับ กลายเป็นซุปเปอร์ไซย่าขั้นสิบ ผมสัญญาว่าจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแน่นอนครับ ก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่คอยส่งมาให้ผมอยู่ตลอดนะครับ มีความหมายมากๆ ครับ"
ทันทีที่อ่านจบ ผมกด like เพื่อส่งกำลังใจให้น้าต๋อยอีกหนึ่งแรงเล็กๆ
ไล่อ่านในคอมเมนต์จึงเห็นว่ามีกำลังใจอีกเป็นกองพะเนินที่ส่งให้นักพากย์การ์ตูนในดวงใจคนนี้
เกือบหนึ่งหมื่นไลก์ พันกว่าคอมเมนต์ นับเป็นกำลังใจที่ไม่น้อยเลย
ยิ่งในวันที่ใครสักคนอ่อนแอ สิ่งเหล่านี้ยิ่งมีคุณค่า
ผมมีได้พบเพื่อนสมัยเรียนสถาปัตย์และแฟนสาวของเขาโดยบังเอิญในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราไม่ได้พบกันนานมาก เพราะเพื่อนเดินทางไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกามาช่วงหนึ่ง เราถามไถ่เพื่ออัพเดตชีวิตกันตามปกติ แต่หลังจากคุยไปได้ไม่นาน ผมก็ได้ฟังเรื่องราวที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง
เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์วิกฤตครั้งใหญ่ของชีวิตมาเมื่อไม่นานนี้ ตอนที่ภรรยาตั้งครรภ์
เพียงห้าเดือนกว่าๆ ผลตรวจออกมาว่าครรภ์เป็นพิษ
อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหมอแนะนำให้หยุดการเติบโตของเด็ก มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายกับตัวแม่เองด้วย คือเสี่ยงที่จะเสียชีวิตทั้งสองคน จึงควรทำแท้งเสีย
ด้วยความที่เป็นชาวคาทอลิกทั้งคู่ เพื่อนและภรรยาจึงคิดว่าทางที่หมอแนะนำจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เขาจะต้องพยายามทุกวิถีทางก่อน
เขาเริ่มโพสต์เรื่องราวลงในเฟซบุ๊ก บอกเล่าอาการและสถานการณ์ลงในสเตตัส
จากเรื่องของคนสองคน ค่อยๆ ขยายไปสู่คนหลายคน
เพื่อนบางคนที่คุณพ่อเป็นหมอก็ยื่นมือเข้ามาช่วย บางคนรู้จักผู้ใหญ่ในโรงพยาบาลก็ให้ช่องทางเพื่อขอคำปรึกษา จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ เป็นร้อย เป็นพัน
ราวกับทุกคนยืนล้อมเตียงเพื่อร่วมลุ้นให้เด็กในท้องได้ออกมาดูโลก
เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นหลังจากวิกฤตถูกโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดีย ย้ายโรงพยาบาล ติดต่อคุณหมอ ผ่าตัดพิเศษ ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่มีมาตลอดทางไม่ขาดสายและมีมากขึ้นเรื่อยๆ คือกำลังใจจากผู้ติดตามเรื่องราว ทั้งเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ และญาติมิตร
สุดท้าย เด็กคลอดก่อนกำหนด มีอายุในครรภ์เพียง 6 เดือน และมีน้ำหนักตัวแค่ 600 กรัมเท่านั้น
"ตัวเล็กกว่าฝ่ามือ" เพื่อนพลิกฝ่ามือให้ผมดู
สิ่งที่น่าดีใจคือ ทั้งเด็กและคุณแม่ปลอดภัยและแข็งแรงดี
ทุกวันนี้น้องตัวใหญ่เหมือนเด็กทั่วไปแล้ว แม้จะมีปัญหาเรื่องปอด ซึ่งต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แต่โดยรวมแล้วถือว่าน้องแข็งแรงมาก ไม่มีอะไรผิดปกติ
"มันเหมือนปาฏิหาริย์" เพื่อนบอกความรู้สึกให้ฟัง
"ตอนนั้นบางคนก็บอกนะว่าจะโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กทำไม เรื่องแบบนี้ไม่ได้มีใครอยากรู้ แต่สำหรับกูมันมีประโยชน์มาก กูรู้สึกว่ายังมีเพื่อน มีกำลังใจ มีคนอยู่ข้างๆ เรา นอกจากนั้นยังมีคนยินดีให้ความช่วยเหลืออีกเยอะมาก กำลังใจนี่โคตรสำคัญ กูกับแฟนฮึดสู้ทุกวันก็เพราะได้กำลังใจจากคนรอบข้างที่ส่งมาในเฟซบุ๊กนี่แหละ"
ไม่เพียงกำลังใจ แต่ยังมีพลังอธิษฐานอีกด้วย
"เด็กคนนี้เป็นผลลัพธ์จากแรงอธิษฐานของคนหลายร้อยคนนะ" เพื่อนยิ้ม "ชาวคาทอลิกเมื่อรู้เรื่องนี้ก็ช่วยกันอธิษฐาน เพื่อนที่อเมริกาก็ช่วย และส่งต่อเรื่องราวต่อไปเรื่อยๆ ทำให้มีคนอธิษฐานให้แม่กับลูกในเกือบทุกทวีปเลย อเมริกาใต้ก็มี แอฟริกาก็มี ยุโรปก็มี ออสเตรเลียก็มี"
มหัศจรรย์แห่งการส่งกำลังใจ
"กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าไม่มีแรงอธิษฐานและกำลังใจจากผู้คนทั้งหมดนี้ กูกับแฟนจะผ่านเรื่องนี้มาได้แบบนี้หรือเปล่า"
เด็กในรูปบนหน้าจอมือถือส่งยิ้มให้ผมเหมือนจะบอกว่า เขาเกิดมาพร้อมกับความรักและความหวังดี
โลกนี้ยังน่าอยู่
บางวันผมก็รู้สึกเหมือนกันว่า เฟซบุ๊กนั้นเหมือนหน้าโฆษณาชีวิตส่วนตัว แต่ละคนจะหยิบเอาเรื่องราว ความคิด รูปถ่าย ทริปเดินทาง อาหาร ฯลฯ ที่น่าโชว์น่าอวดมาแปะใส่ไว้ในนั้นให้เพื่อนๆ ได้ไลก์ได้ฮือฮา
บางวันก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนขับรถผ่านบิลบอร์ดโฆษณาชีวิตส่วนตัวตลอดเส้นทาง แต่ในบางวันเราก็จะได้เห็นคำบ่นสั้นๆ ข้อความที่แสดงความอ่อนแอ เป็นทุกข์ เศร้าใจ ปรากฏแทรกขึ้นมาบ้าง
เฟซบุ๊กบอกใบ้กับเรากลายๆ ว่า ความเศร้านั้นเป็นสิ่งที่ต้องเก็บให้มิดชิด มิควรควักออกมาให้ชาวบ้านได้เห็นโจ่งแจ้งเกินไปนัก เพราะมันไม่สวยงามเท่าความสุขและรอยยิ้ม
แต่อันที่จริง สิ่งที่สวยงามมากไปกว่าความสุขส่วนตัวคือการยืนอยู่ข้างๆ คนที่กำลังต้องการกำลังใจ
ความทุกข์อาจเป็นเรื่องไม่สวยงาม แต่การทุกข์ไปด้วยกัน ข้างๆ กัน การใส่ใจความทุกข์ของกันและกันอย่างแท้จริงกลับเป็นเรื่องที่สวยงามเหลือเกิน
แม้ไม่ใช่สีสันที่สดใส หากเป็นสีเทา มันก็เป็นสีเทาที่สวยงาม
ความใส่ใจจากเราที่ส่งไปยังคนที่กำลังอ่อนแอนั้นมีพลังมากกว่าที่คิด เราจะซาบซึ้งถึงความจริงข้อนี้เมื่อเราตกอยู่ในสถานะของผู้รับพลังแบบเดียวกันนี้ในวันใดวันหนึ่ง
เช้าวันถัดมา ผมเห็นสเตตัสของเพื่อนคนเดิมเจ้าของข้อความ "แตกสลายทั้งร่างกายและจิตใจ" เขียนว่า "ขอบคุณทุกคนสำหรับกำลังใจและเพลงที่ส่งมา มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้นเยอะเลย"
ผมสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มเล็กๆ ตอนเธอพิมพ์ข้อความนี้
ผมนึกถึงรอยยิ้มใต้ผ้าปิดปากของน้าต๋อยเซมเบ้ นึกถึงรอยยิ้มของเด็กน้อย เพื่อนผม และภรรยา
เราต่างอ่อนแอและเปราะบางอยู่ข้างๆ กัน
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ฉบับ 19 ธ.ค. 2557
นิ้วกลม "พลังแห่ง like"... เพราะเราต่างอ่อนแอและเปราะบางอยู่ข้างๆ กัน
ท่ามกลางหน้าจอคอมพ์ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อาหารดีๆ วิวสวยๆ รูปถ่ายน่ารักของลูกชายลูกสาว ข้อความหนึ่งโดดเด้งออกมาจากหน้านิวส์ฟีดในเฟซบุ๊ก
"แตกสลายทั้งร่างกายและจิตใจ"
เป็นข้อความในสเตตัสของเพื่อนสมัยมัธยม ผมคลิกเข้าไปเพื่อเขียนคอมเมนต์ให้กำลังใจ จึงได้เห็นว่ามีเพื่อนๆ อีกหลายคนเข้าไปให้กำลังใจด้วยวิธีต่างกันไป บ้างก็ส่งพลัง บ้างเป็นห่วงถามไถ่ บ้างก็ปล่อยมุขตลกให้หายเครียด บางคนแปะลิงก์เพลงเพิ่งพลังไว้ให้ฟังเพื่อเยียวยา
ฝากกำลังใจไว้หนึ่งประโยคสั้นๆ แล้วกลับมาอ่านหน้าจอที่เต็มไปด้วยความสุขและรูปภาพที่สวยงามอีกครั้ง
คืนวันเดียวกัน มีรูปสะดุดตาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เป็นรูปนักพากย์การ์ตูนที่ผมและเพื่อนๆ โตมากับเสียงพากย์ของเขา
ใช่ครับ น้าต๋อยเซ็มเบ้นั่นเอง
ในภาพ ผมเห็นน้าต๋อยซึ่งเคยร่าเริง แคล่วคล่อง ใส่ชุดผู้ป่วยนั่งอยู่ในโรงพยาบาล แขนเต็มไปด้วยร่องรอยการเจาะและผ้ากอซที่โปะพันไว้ น้าต๋อยใส่ผ้าปิดปากจึงมองไม่เห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่หรือไม่ตอนถูกถ่ายรูปรูปนี้ แต่จากท่าทางการชูสองนิ้ว และแววตาก็พอจะเดาได้ว่า หัวใจยังเข้มแข็ง
ข้อความในภาพเขียนว่า
"ผลจากการฉายแสงทำให้ผมทานอะไรไม่ได้เลยมา 2 วัน จึงต้องเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ซึ่งถือเป็นข่าวดีกับตัวผมและครอบครัวมากๆ ครับ เมื่อผลตรวจชิ้นเนื้อระบุว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็งตามที่หลายๆ แห่งสันนิษฐานไว้ในตอนแรก ผลปรากฏว่าเป็นการติดเชื้อที่ปอดระยะรุนแรง และเชื้อตัวนี้ได้ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง จึงทำให้ผมมีอาการหอบหืดตามข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ และยังลามเข้าไปที่กระดูกสันหลัง ทำให้มีอาการปวดอย่างมาก เป็นเหตุให้ต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ทางคุณหมอยืนยันว่าเชื้อลักษณะนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี พอได้ฟังอย่างนี้แล้ว ใจผมมันก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกเป็นร้อยเท่าเลยครับ กลายเป็นซุปเปอร์ไซย่าขั้นสิบ ผมสัญญาว่าจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแน่นอนครับ ก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่คอยส่งมาให้ผมอยู่ตลอดนะครับ มีความหมายมากๆ ครับ"
ทันทีที่อ่านจบ ผมกด like เพื่อส่งกำลังใจให้น้าต๋อยอีกหนึ่งแรงเล็กๆ
ไล่อ่านในคอมเมนต์จึงเห็นว่ามีกำลังใจอีกเป็นกองพะเนินที่ส่งให้นักพากย์การ์ตูนในดวงใจคนนี้
เกือบหนึ่งหมื่นไลก์ พันกว่าคอมเมนต์ นับเป็นกำลังใจที่ไม่น้อยเลย
ยิ่งในวันที่ใครสักคนอ่อนแอ สิ่งเหล่านี้ยิ่งมีคุณค่า
ผมมีได้พบเพื่อนสมัยเรียนสถาปัตย์และแฟนสาวของเขาโดยบังเอิญในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราไม่ได้พบกันนานมาก เพราะเพื่อนเดินทางไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกามาช่วงหนึ่ง เราถามไถ่เพื่ออัพเดตชีวิตกันตามปกติ แต่หลังจากคุยไปได้ไม่นาน ผมก็ได้ฟังเรื่องราวที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง
เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์วิกฤตครั้งใหญ่ของชีวิตมาเมื่อไม่นานนี้ ตอนที่ภรรยาตั้งครรภ์
เพียงห้าเดือนกว่าๆ ผลตรวจออกมาว่าครรภ์เป็นพิษ
อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหมอแนะนำให้หยุดการเติบโตของเด็ก มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายกับตัวแม่เองด้วย คือเสี่ยงที่จะเสียชีวิตทั้งสองคน จึงควรทำแท้งเสีย
ด้วยความที่เป็นชาวคาทอลิกทั้งคู่ เพื่อนและภรรยาจึงคิดว่าทางที่หมอแนะนำจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เขาจะต้องพยายามทุกวิถีทางก่อน
เขาเริ่มโพสต์เรื่องราวลงในเฟซบุ๊ก บอกเล่าอาการและสถานการณ์ลงในสเตตัส
จากเรื่องของคนสองคน ค่อยๆ ขยายไปสู่คนหลายคน
เพื่อนบางคนที่คุณพ่อเป็นหมอก็ยื่นมือเข้ามาช่วย บางคนรู้จักผู้ใหญ่ในโรงพยาบาลก็ให้ช่องทางเพื่อขอคำปรึกษา จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ เป็นร้อย เป็นพัน
ราวกับทุกคนยืนล้อมเตียงเพื่อร่วมลุ้นให้เด็กในท้องได้ออกมาดูโลก
เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นหลังจากวิกฤตถูกโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดีย ย้ายโรงพยาบาล ติดต่อคุณหมอ ผ่าตัดพิเศษ ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่มีมาตลอดทางไม่ขาดสายและมีมากขึ้นเรื่อยๆ คือกำลังใจจากผู้ติดตามเรื่องราว ทั้งเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ และญาติมิตร
สุดท้าย เด็กคลอดก่อนกำหนด มีอายุในครรภ์เพียง 6 เดือน และมีน้ำหนักตัวแค่ 600 กรัมเท่านั้น
"ตัวเล็กกว่าฝ่ามือ" เพื่อนพลิกฝ่ามือให้ผมดู
สิ่งที่น่าดีใจคือ ทั้งเด็กและคุณแม่ปลอดภัยและแข็งแรงดี
ทุกวันนี้น้องตัวใหญ่เหมือนเด็กทั่วไปแล้ว แม้จะมีปัญหาเรื่องปอด ซึ่งต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แต่โดยรวมแล้วถือว่าน้องแข็งแรงมาก ไม่มีอะไรผิดปกติ
"มันเหมือนปาฏิหาริย์" เพื่อนบอกความรู้สึกให้ฟัง
"ตอนนั้นบางคนก็บอกนะว่าจะโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กทำไม เรื่องแบบนี้ไม่ได้มีใครอยากรู้ แต่สำหรับกูมันมีประโยชน์มาก กูรู้สึกว่ายังมีเพื่อน มีกำลังใจ มีคนอยู่ข้างๆ เรา นอกจากนั้นยังมีคนยินดีให้ความช่วยเหลืออีกเยอะมาก กำลังใจนี่โคตรสำคัญ กูกับแฟนฮึดสู้ทุกวันก็เพราะได้กำลังใจจากคนรอบข้างที่ส่งมาในเฟซบุ๊กนี่แหละ"
ไม่เพียงกำลังใจ แต่ยังมีพลังอธิษฐานอีกด้วย
"เด็กคนนี้เป็นผลลัพธ์จากแรงอธิษฐานของคนหลายร้อยคนนะ" เพื่อนยิ้ม "ชาวคาทอลิกเมื่อรู้เรื่องนี้ก็ช่วยกันอธิษฐาน เพื่อนที่อเมริกาก็ช่วย และส่งต่อเรื่องราวต่อไปเรื่อยๆ ทำให้มีคนอธิษฐานให้แม่กับลูกในเกือบทุกทวีปเลย อเมริกาใต้ก็มี แอฟริกาก็มี ยุโรปก็มี ออสเตรเลียก็มี"
มหัศจรรย์แห่งการส่งกำลังใจ
"กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าไม่มีแรงอธิษฐานและกำลังใจจากผู้คนทั้งหมดนี้ กูกับแฟนจะผ่านเรื่องนี้มาได้แบบนี้หรือเปล่า"
เด็กในรูปบนหน้าจอมือถือส่งยิ้มให้ผมเหมือนจะบอกว่า เขาเกิดมาพร้อมกับความรักและความหวังดี
โลกนี้ยังน่าอยู่
บางวันผมก็รู้สึกเหมือนกันว่า เฟซบุ๊กนั้นเหมือนหน้าโฆษณาชีวิตส่วนตัว แต่ละคนจะหยิบเอาเรื่องราว ความคิด รูปถ่าย ทริปเดินทาง อาหาร ฯลฯ ที่น่าโชว์น่าอวดมาแปะใส่ไว้ในนั้นให้เพื่อนๆ ได้ไลก์ได้ฮือฮา
บางวันก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนขับรถผ่านบิลบอร์ดโฆษณาชีวิตส่วนตัวตลอดเส้นทาง แต่ในบางวันเราก็จะได้เห็นคำบ่นสั้นๆ ข้อความที่แสดงความอ่อนแอ เป็นทุกข์ เศร้าใจ ปรากฏแทรกขึ้นมาบ้าง
เฟซบุ๊กบอกใบ้กับเรากลายๆ ว่า ความเศร้านั้นเป็นสิ่งที่ต้องเก็บให้มิดชิด มิควรควักออกมาให้ชาวบ้านได้เห็นโจ่งแจ้งเกินไปนัก เพราะมันไม่สวยงามเท่าความสุขและรอยยิ้ม
แต่อันที่จริง สิ่งที่สวยงามมากไปกว่าความสุขส่วนตัวคือการยืนอยู่ข้างๆ คนที่กำลังต้องการกำลังใจ
ความทุกข์อาจเป็นเรื่องไม่สวยงาม แต่การทุกข์ไปด้วยกัน ข้างๆ กัน การใส่ใจความทุกข์ของกันและกันอย่างแท้จริงกลับเป็นเรื่องที่สวยงามเหลือเกิน
แม้ไม่ใช่สีสันที่สดใส หากเป็นสีเทา มันก็เป็นสีเทาที่สวยงาม
ความใส่ใจจากเราที่ส่งไปยังคนที่กำลังอ่อนแอนั้นมีพลังมากกว่าที่คิด เราจะซาบซึ้งถึงความจริงข้อนี้เมื่อเราตกอยู่ในสถานะของผู้รับพลังแบบเดียวกันนี้ในวันใดวันหนึ่ง
เช้าวันถัดมา ผมเห็นสเตตัสของเพื่อนคนเดิมเจ้าของข้อความ "แตกสลายทั้งร่างกายและจิตใจ" เขียนว่า "ขอบคุณทุกคนสำหรับกำลังใจและเพลงที่ส่งมา มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้นเยอะเลย"
ผมสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มเล็กๆ ตอนเธอพิมพ์ข้อความนี้
ผมนึกถึงรอยยิ้มใต้ผ้าปิดปากของน้าต๋อยเซมเบ้ นึกถึงรอยยิ้มของเด็กน้อย เพื่อนผม และภรรยา
เราต่างอ่อนแอและเปราะบางอยู่ข้างๆ กัน
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ฉบับ 19 ธ.ค. 2557