ย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ก่อนที่ผมจะมาอยู่ในรถไฟโบกี้นี้ ก่อนที่ความคิดของคุณจะเริ่มนึกสงสัย ว่าเหตุใดชายวัยสามสิบปลายๆเช่นผม จึงมานั่งจ้องมองชายผู้นั่งตรงข้ามเป็นชั่วโมงๆ ผมกำลังเดินทางไปที่ไหนสักแห่งพร้อมกับเขาหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดทั้งผมและเขาจึงมีรอยยิ้มอันแปลกพิกลบนใบหน้า -- มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผมต้องนั่งกุมฝ่ามือ ถูแหวนนิ้วนางด้านซ้ายของตนเองตลอดเวลา ประหนึ่งเป็นคนเสียสติที่กำลังหลงละเมอ
เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อน -- ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันอาจจะเริ่มมานานนับเดือน นับปีแล้วก็ได้
1
ตอนนั้นเป็นเช้ามืด ก่อนที่รถไฟจะมาถึงชานชาลา มีคนไม่กี่คนจากโบกี้ข้างหน้าที่ขยับตัวลุกขึ้น แล้วเตรียมตัวเดินลงไปจากขบวนรถไฟ แต่ละคนสวมเสื้อคลุมที่ปกตั้งชันขึ้นมาปิดใบหน้าไปเกือบครึ่ง สวมแว่นตาดำ ผิวซีดขาว และล้วนมีท่าทีที่เรียบเฉย ปราศจากอารมณ์ใดๆ และไม่มีท่าทีรีบร้อน ทั้งๆที่อากาศยังคงหนาวจัดจากหมอกที่ลงหนา
ผมจำได้ว่า ตอนนั้นผมเฝ้ามองชายร่างสูงในเสื้อคลุมสีดำหนา -- ชายคนนั้นนั่งอยู่ในโบกี้ข้างหน้า ขาที่ยาวพาดไขว้กัน รองเท้าหนังส่องแสงเป็นมันวับ และถุงมือหนังสีดำประสานกันใต้คาง ดวงตาสีฟ้าจัดคู่นั้นจ้องมองตรงมาราวกับรับรู้ว่าผมกำลังเฝ้ามองเขาอยู่
“ไม่มีประโยชน์หรอก พี.จอห์น” ใครคนหนึ่งกระซิบบอกผมจากข้างหลัง “ดอกเตอร์ไม่มีวันให้พวกเราได้ลงจากรถไฟ ตราบใดที่ยังไม่ถึงที่หมาย”
“ฉันต้องลองดู” ผมกระซิบบอกเขา มองดูชายคนนั้นขยับศีรษะเอนไปมาช้าๆ
“นายมันโง่หรือบ้า อยากรนหาที่ตายหรือไง” เพื่อนร่วมโบกี้อีกคนกระซิบเตือน “ไม่ว่าจะไปคุยกับดอกเตอร์ หรือจะลงจากรถไฟ มันคือนรกทั้งนั้น!”
“ฉันจะลองดู” ผมพูดอีกครั้ง คราวนี้เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า -- ผมสูดลมหายใจเข้าลึกจนเต็มปอด สองเท้าเดินออกมาจากโบกี้ที่อัดแน่นไปด้วยกลุ่มคน แล้วก้าวตรงมาทางชายในชุดดำ --
-- ชายผู้ถูกเรียกว่า ดอกเตอร์คิงส์ --
เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามผม ว่าผมต้องการอะไร
ดอกเตอร์คิงส์ขยับศีรษะเอนไปมาอีกครั้ง โดยที่ไม่ละสายตาไปจากผม -- รอยยิ้มอันแปลกพิกลปรากฎขึ้นบนใบหน้าเขา -- ดูเหมือนเขาจะขำอะไรบางอย่างในตัวผม ….
“ดอกเตอร์คิงส์ ผมมาเพื่อ--”
“ฉันรู้ว่านายมาทำไม” เขาแทรกด้วยเสียงทุ้มใหญ่ “แต่คำตอบคือ ไม่ พี.จอห์น”
“ให้ผมลงเถอะ” ผมกระซิบบอก
เขายังคงยิ้มอยู่ที่มุมปาก ในขณะที่พูดออกมาว่า “เสียใจ”
“ให้ผมลงเถอะ” ผมบอกอีกครั้ง “ได้โปรด”
“โอ เป็นไปได้หรือนี่ พี.จอห์น กำลังพูดคำว่า ได้โปรด” เขาร้องออกมาเบาๆ มือข้างหนึ่งที่สวมถุงมือหนังสีดำยกขึ้นมาทาบอก แสร้งทำเป็นตกใจด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “พี.จอห์น ที่ไม่เคยรับคำสั่งใครคนนี้น่ะหรือ”
ผมสบตามองเขา
ความว่างเปล่าในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นทำให้ผมรู้สึกถึงความว่างเปล่าและเย็นชา เย็นยิ่งเสียกว่าเกล็ดหิมะหรือลมหนาว
“ได้โปรด ดอกเตอร์คิงส์” ผมบอกกับเขา “ขอผมลงจากรถไฟขบวนนี้--”
“--แล้วปล่อยให้นายหนีหายไปข้างนอกนั่นน่ะหรือ -- ไม่ ไม่ พี.จอห์น -- นายคงไม่คิดว่าฉันจะปล่อยให้เกิดเรื่องงี่เง่าแบบนั้นขึ้นหรอกนะ ตราบใดที่ฉันยังมีอำนาจควบคุมรถไฟขบวนนี้อยู่”
“ผมจะไม่หนี” ผมโพล่งออกมา แรงกระตุ้นในตัวแทบจะทำให้ผมสูญเสียการควบคุม “ผมจะกลับมาทันก่อนตะวันตกดิน ก่อนที่รถไฟขบวนนี้จะออกเดินทางอีกครั้ง ผมให้สัญญา”
ดอกเตอร์คิงส์ส่ายหน้าไปมา
“จะไม่มีคำมั่นสัญญาอะไรระหว่างเรา นี่ไม่ใช่การขออนุญาติไปเข้าห้องน้ำ หรืออะไรก็ตามแต่ที่นายคิดว่ามันจะง่ายดาย มันมีกฎ มีข้อห้าม -- นายเองก็รู้ว่าทำไมฉันให้นายลงจากรถไฟไม่ได้ อนุญาติให้ฉันได้ทำความเข้าใจให้นายใหม่อีกครั้งเถิดนะ พี.จอห์น --
จะไม่มีใครได้ลงจากรถไฟขบวนนี้ ยกเว้นลูกน้องของฉัน -- จะไม่มีใครได้ลงจากรถไฟขบวนนี้ เว้นเสียแต่ฉันจะเห็นชอบ -- จะไม่มี ทาส คนไหนได้ลงจากรถไฟขบวนนี้ ตราบใดที่ชีวิตของพวกนายเป็นของฉัน และนั่นก็หมายถึงนายด้วย -- พี.จอห์น --”
ผมคุกเข่าและจับรองเท้าหนังที่มันวับคู่นั้นไว้ และยังคงขอร้องต่อไป “ได้โปรดเถอะ” ผมพูดออกมาราวกับว่ามันอาจเป็นตั๋ววิเศษที่สามารถพาผมลงไปจากรถไฟนี้ได้
แต่ดอกเตอร์คิงส์กลับดีดนิ้วส่งสัญญาณเรียกลูกน้องจากข้างนอก
เสียงฝีเท้าอันหนาหนักของคนร่างยักษ์สองสามคนดังใกล้เข้ามาทันที
“คุณจะให้พวกเขาจับผมไปขังหรือ” ผมกระซิบถาม “ทั้งๆที่ผมกำลังขอร้องวิงวอนคุณอยู่แนบเท้า ขอในสิ่งที่เล็กกระจ้อยร้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณมีในมือ -- ดอกเตอร์คิงส์ สิ่งที่ผมขอนั้นเป็นเพียงเวลาอันน้อยนิด ….จากเวลาทั้งหมดในชีวิตของผมที่เป็นของคุณ”
ดอกเตอร์คิงส์ไม่แม้แต่จะเหลือบมองลงมา
“กลับไปที่โบกี้ของนาย พี.จอห์น นายไม่มีทางเลือกหรอก”
ทางเลือกหรือ --
น่าแปลกที่คำนี้ดังก้องกังวาลอยู่ในหัวผมไปมา เหมือนเสียงตะโกนที่ก้องอยู่ในถ้ำ -- นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตัดสินใจที่จะ ‘มีทางเลือก’ -- ผมบอกกับตัวเอง --
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตัดสินใจที่จะ ‘มีทางเลือก’
“เฮ้! หยุดนะ พี.จอห์น !!”
ผมซัดรองเท้าหนังอันมันวับของดอกเตอร์คิงส์ข้างหนึ่งใส่ลูกน้องที่เพิ่งก้าวเข้ามาเต็มแรง มีเสียง ปึก! ดังลั่น ก่อนที่ร่างเขาจะเซล้มลง -- แม้ว่าผมจะไม่คิดว่าการเขวี้ยงรองเท้าจะเป็นทางออกที่ดีได้ แต่เมื่อมันได้ผล ผมจึงทำในสิ่งที่ต้องรีบทำ นั่นคือวิ่งถลาผ่านลูกน้องอีกคนที่ขวางประตูทางออกด้วยแรงทั้งหมดที่มีในตัว ผมพุ่งผ่านลงมาจากขบวนรถไฟ แรงกระแทกทำให้เท้าขวาของผมกะเผลกเล็กน้อย แต่นั่นไม่สำคัญเมื่อเทียบกับความจริงที่ว่า ผมได้ลงมาจากรถไฟแล้ว ผมมองเห็นกลุ่มลูกน้องของดอกเตอร์คิงส์ที่เริ่มลุกขึ้นยืน มองเห็นดอกเตอร์คิงส์ที่โกรธเดือดดาล
“ตามจับมัน!” เขาร้องคำราม ขณะที่สวมรองเท้า “จับเจ้านั่นกลับมา!”
ผมวิ่งสุดแรงเกิด ทั้งๆที่รู้ว่าแข้งขาไม่ได้ออกแรงมานานแสนนานแล้ว มันอ่อนแรงและผอมแห้ง ข้อต่อดูเหมือนจะทรุดได้ทุกจังหวะที่ก้าว มันดูเปราะบางอย่างที่คนถูกอัดแน่นในโบกี้เป็นปีๆจะเป็นกัน ผมรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่บาดผิวหน้า และทิ่มทะลุผ่านเนื้อผ้าโกโรโกโสเข้ามาถึงกระดูกดำ มันทำให้ผมวูบและเซไปชั่วขณะ แต่ผมก็กัดฟันวิ่งเขยกต่อไป เสียงไล่ตามยังคงดังใกล้เข้ามา ผมจำต้องแทรกตัวผ่านกลุ่มผู้คนในชานชาลา และผลักพวกเขาออกให้พ้นทาง
“หลีกทางให้ผม” ผมพยายามบอกพวกเขา “หลีกทางให้ผม”
แรงเบียดเสียดของพวกเขาอาจจะดูไม่มากสำหรับคนธรรมดาทั่วไป มันอาจเป็นแค่แรงกระแทกเบาบาง ไหล่กระทบไหล่ แต่ทว่ามันช่างรุนแรงเสียเหลือเกินสำหรับผม -- ผมล้มครั้งแล้วครั้งเล่าจากแรงปะทะของฝูงชน -- ต้องฝืนสังขารลุกขึ้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ในใจก็หวาดกลัวเหลือเกินว่าจะถูกจับตัวกลับไปยังรถไฟขบวนนั้น
“ฉันจะไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น” ผมบอกกับตัวเองขณะที่ล้มลงกระแทกพื้น “ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ฉันยังไปไม่ถึงจุดหมาย”
ในตอนนั้นเอง ที่มือใครคนหนึ่งได้คว้าข้อมือของผม แล้วออกแรงลากไปตามทางอย่างยากลำบาก แวบหนึ่งผมคิดว่าเป็นลูกน้องของดอกเตอร์คิงส์ แต่เมื่อผมเหลือบมองดูเจ้าของมือนั้น ผมกลับมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูอ่อนแรงไม่แพ้กัน เธอสวมเสื้อผ้าฝ้ายเหมือนผม ทั้งเก่า ทั้งสกปรก
-- เธอเป็นทาสเหมือนกับผม --
เธอช่วยพาผมไปซ่อนตัวในลังไม้เก่าๆ เราต่างเหนื่อยหอบเหมือนคนที่วิ่งหนีตาย เราเพ่งมองบนพื้น จ้องมองรองเท้าหนังของกลุ่มคนไล่ตามที่วิ่งผ่านพ้นพวกเราไป -- ไม่มีใครสังเกตเห็นเราที่หลบอยู่ในลังไม้
เรารอจนกระทั่งมั่นใจว่ารอดพ้นจากการไล่ตาม จึงขยับตัวออกมา
ผมมองเธอ และเธอก็มองผม
“คุณมีคนที่จะไปหาเหมือนกันหรือ” ผมถามเธอ
ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าตอบ
“คุณควรรีบ” เธอบอกผม “เวลากำลังจะหมดลง”
“เราจะกลับมาทันขบวนรถไฟ” ผมบอกเธอ “เราไม่พลาดหรอก”
แต่เธอกลับส่ายหน้า “ฉันจะไม่กลับมา”
ผมตะลึงงันไปชั่วขณะ
“คุณรู้ใช่ไหม ว่านั่นหมายความว่าอะไร” ผมถามช้าๆ
เธอพยักหน้าอีกครั้ง
เรามองหน้ากันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แล้วผมจึงพยักหน้าตอบเธอ “ขอให้คุณโชคดี”
“ขอให้คุณโชคดีเช่นกัน” เธอบอกผม
แล้วแทบจะในทันที ที่ทั้งผมและเธอ ต่างกลับหลังหัน แล้วออกวิ่งไปตามทางของตนเอง
THE TRAIN รถไฟนรก
เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อน -- ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันอาจจะเริ่มมานานนับเดือน นับปีแล้วก็ได้
1
ตอนนั้นเป็นเช้ามืด ก่อนที่รถไฟจะมาถึงชานชาลา มีคนไม่กี่คนจากโบกี้ข้างหน้าที่ขยับตัวลุกขึ้น แล้วเตรียมตัวเดินลงไปจากขบวนรถไฟ แต่ละคนสวมเสื้อคลุมที่ปกตั้งชันขึ้นมาปิดใบหน้าไปเกือบครึ่ง สวมแว่นตาดำ ผิวซีดขาว และล้วนมีท่าทีที่เรียบเฉย ปราศจากอารมณ์ใดๆ และไม่มีท่าทีรีบร้อน ทั้งๆที่อากาศยังคงหนาวจัดจากหมอกที่ลงหนา
ผมจำได้ว่า ตอนนั้นผมเฝ้ามองชายร่างสูงในเสื้อคลุมสีดำหนา -- ชายคนนั้นนั่งอยู่ในโบกี้ข้างหน้า ขาที่ยาวพาดไขว้กัน รองเท้าหนังส่องแสงเป็นมันวับ และถุงมือหนังสีดำประสานกันใต้คาง ดวงตาสีฟ้าจัดคู่นั้นจ้องมองตรงมาราวกับรับรู้ว่าผมกำลังเฝ้ามองเขาอยู่
“ไม่มีประโยชน์หรอก พี.จอห์น” ใครคนหนึ่งกระซิบบอกผมจากข้างหลัง “ดอกเตอร์ไม่มีวันให้พวกเราได้ลงจากรถไฟ ตราบใดที่ยังไม่ถึงที่หมาย”
“ฉันต้องลองดู” ผมกระซิบบอกเขา มองดูชายคนนั้นขยับศีรษะเอนไปมาช้าๆ
“นายมันโง่หรือบ้า อยากรนหาที่ตายหรือไง” เพื่อนร่วมโบกี้อีกคนกระซิบเตือน “ไม่ว่าจะไปคุยกับดอกเตอร์ หรือจะลงจากรถไฟ มันคือนรกทั้งนั้น!”
“ฉันจะลองดู” ผมพูดอีกครั้ง คราวนี้เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า -- ผมสูดลมหายใจเข้าลึกจนเต็มปอด สองเท้าเดินออกมาจากโบกี้ที่อัดแน่นไปด้วยกลุ่มคน แล้วก้าวตรงมาทางชายในชุดดำ --
-- ชายผู้ถูกเรียกว่า ดอกเตอร์คิงส์ --
เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามผม ว่าผมต้องการอะไร
ดอกเตอร์คิงส์ขยับศีรษะเอนไปมาอีกครั้ง โดยที่ไม่ละสายตาไปจากผม -- รอยยิ้มอันแปลกพิกลปรากฎขึ้นบนใบหน้าเขา -- ดูเหมือนเขาจะขำอะไรบางอย่างในตัวผม ….
“ดอกเตอร์คิงส์ ผมมาเพื่อ--”
“ฉันรู้ว่านายมาทำไม” เขาแทรกด้วยเสียงทุ้มใหญ่ “แต่คำตอบคือ ไม่ พี.จอห์น”
“ให้ผมลงเถอะ” ผมกระซิบบอก
เขายังคงยิ้มอยู่ที่มุมปาก ในขณะที่พูดออกมาว่า “เสียใจ”
“ให้ผมลงเถอะ” ผมบอกอีกครั้ง “ได้โปรด”
“โอ เป็นไปได้หรือนี่ พี.จอห์น กำลังพูดคำว่า ได้โปรด” เขาร้องออกมาเบาๆ มือข้างหนึ่งที่สวมถุงมือหนังสีดำยกขึ้นมาทาบอก แสร้งทำเป็นตกใจด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “พี.จอห์น ที่ไม่เคยรับคำสั่งใครคนนี้น่ะหรือ”
ผมสบตามองเขา
ความว่างเปล่าในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นทำให้ผมรู้สึกถึงความว่างเปล่าและเย็นชา เย็นยิ่งเสียกว่าเกล็ดหิมะหรือลมหนาว
“ได้โปรด ดอกเตอร์คิงส์” ผมบอกกับเขา “ขอผมลงจากรถไฟขบวนนี้--”
“--แล้วปล่อยให้นายหนีหายไปข้างนอกนั่นน่ะหรือ -- ไม่ ไม่ พี.จอห์น -- นายคงไม่คิดว่าฉันจะปล่อยให้เกิดเรื่องงี่เง่าแบบนั้นขึ้นหรอกนะ ตราบใดที่ฉันยังมีอำนาจควบคุมรถไฟขบวนนี้อยู่”
“ผมจะไม่หนี” ผมโพล่งออกมา แรงกระตุ้นในตัวแทบจะทำให้ผมสูญเสียการควบคุม “ผมจะกลับมาทันก่อนตะวันตกดิน ก่อนที่รถไฟขบวนนี้จะออกเดินทางอีกครั้ง ผมให้สัญญา”
ดอกเตอร์คิงส์ส่ายหน้าไปมา
“จะไม่มีคำมั่นสัญญาอะไรระหว่างเรา นี่ไม่ใช่การขออนุญาติไปเข้าห้องน้ำ หรืออะไรก็ตามแต่ที่นายคิดว่ามันจะง่ายดาย มันมีกฎ มีข้อห้าม -- นายเองก็รู้ว่าทำไมฉันให้นายลงจากรถไฟไม่ได้ อนุญาติให้ฉันได้ทำความเข้าใจให้นายใหม่อีกครั้งเถิดนะ พี.จอห์น --
จะไม่มีใครได้ลงจากรถไฟขบวนนี้ ยกเว้นลูกน้องของฉัน -- จะไม่มีใครได้ลงจากรถไฟขบวนนี้ เว้นเสียแต่ฉันจะเห็นชอบ -- จะไม่มี ทาส คนไหนได้ลงจากรถไฟขบวนนี้ ตราบใดที่ชีวิตของพวกนายเป็นของฉัน และนั่นก็หมายถึงนายด้วย -- พี.จอห์น --”
ผมคุกเข่าและจับรองเท้าหนังที่มันวับคู่นั้นไว้ และยังคงขอร้องต่อไป “ได้โปรดเถอะ” ผมพูดออกมาราวกับว่ามันอาจเป็นตั๋ววิเศษที่สามารถพาผมลงไปจากรถไฟนี้ได้
แต่ดอกเตอร์คิงส์กลับดีดนิ้วส่งสัญญาณเรียกลูกน้องจากข้างนอก
เสียงฝีเท้าอันหนาหนักของคนร่างยักษ์สองสามคนดังใกล้เข้ามาทันที
“คุณจะให้พวกเขาจับผมไปขังหรือ” ผมกระซิบถาม “ทั้งๆที่ผมกำลังขอร้องวิงวอนคุณอยู่แนบเท้า ขอในสิ่งที่เล็กกระจ้อยร้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณมีในมือ -- ดอกเตอร์คิงส์ สิ่งที่ผมขอนั้นเป็นเพียงเวลาอันน้อยนิด ….จากเวลาทั้งหมดในชีวิตของผมที่เป็นของคุณ”
ดอกเตอร์คิงส์ไม่แม้แต่จะเหลือบมองลงมา
“กลับไปที่โบกี้ของนาย พี.จอห์น นายไม่มีทางเลือกหรอก”
ทางเลือกหรือ --
น่าแปลกที่คำนี้ดังก้องกังวาลอยู่ในหัวผมไปมา เหมือนเสียงตะโกนที่ก้องอยู่ในถ้ำ -- นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตัดสินใจที่จะ ‘มีทางเลือก’ -- ผมบอกกับตัวเอง --
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตัดสินใจที่จะ ‘มีทางเลือก’
“เฮ้! หยุดนะ พี.จอห์น !!”
ผมซัดรองเท้าหนังอันมันวับของดอกเตอร์คิงส์ข้างหนึ่งใส่ลูกน้องที่เพิ่งก้าวเข้ามาเต็มแรง มีเสียง ปึก! ดังลั่น ก่อนที่ร่างเขาจะเซล้มลง -- แม้ว่าผมจะไม่คิดว่าการเขวี้ยงรองเท้าจะเป็นทางออกที่ดีได้ แต่เมื่อมันได้ผล ผมจึงทำในสิ่งที่ต้องรีบทำ นั่นคือวิ่งถลาผ่านลูกน้องอีกคนที่ขวางประตูทางออกด้วยแรงทั้งหมดที่มีในตัว ผมพุ่งผ่านลงมาจากขบวนรถไฟ แรงกระแทกทำให้เท้าขวาของผมกะเผลกเล็กน้อย แต่นั่นไม่สำคัญเมื่อเทียบกับความจริงที่ว่า ผมได้ลงมาจากรถไฟแล้ว ผมมองเห็นกลุ่มลูกน้องของดอกเตอร์คิงส์ที่เริ่มลุกขึ้นยืน มองเห็นดอกเตอร์คิงส์ที่โกรธเดือดดาล
“ตามจับมัน!” เขาร้องคำราม ขณะที่สวมรองเท้า “จับเจ้านั่นกลับมา!”
ผมวิ่งสุดแรงเกิด ทั้งๆที่รู้ว่าแข้งขาไม่ได้ออกแรงมานานแสนนานแล้ว มันอ่อนแรงและผอมแห้ง ข้อต่อดูเหมือนจะทรุดได้ทุกจังหวะที่ก้าว มันดูเปราะบางอย่างที่คนถูกอัดแน่นในโบกี้เป็นปีๆจะเป็นกัน ผมรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่บาดผิวหน้า และทิ่มทะลุผ่านเนื้อผ้าโกโรโกโสเข้ามาถึงกระดูกดำ มันทำให้ผมวูบและเซไปชั่วขณะ แต่ผมก็กัดฟันวิ่งเขยกต่อไป เสียงไล่ตามยังคงดังใกล้เข้ามา ผมจำต้องแทรกตัวผ่านกลุ่มผู้คนในชานชาลา และผลักพวกเขาออกให้พ้นทาง
“หลีกทางให้ผม” ผมพยายามบอกพวกเขา “หลีกทางให้ผม”
แรงเบียดเสียดของพวกเขาอาจจะดูไม่มากสำหรับคนธรรมดาทั่วไป มันอาจเป็นแค่แรงกระแทกเบาบาง ไหล่กระทบไหล่ แต่ทว่ามันช่างรุนแรงเสียเหลือเกินสำหรับผม -- ผมล้มครั้งแล้วครั้งเล่าจากแรงปะทะของฝูงชน -- ต้องฝืนสังขารลุกขึ้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ในใจก็หวาดกลัวเหลือเกินว่าจะถูกจับตัวกลับไปยังรถไฟขบวนนั้น
“ฉันจะไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น” ผมบอกกับตัวเองขณะที่ล้มลงกระแทกพื้น “ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ฉันยังไปไม่ถึงจุดหมาย”
ในตอนนั้นเอง ที่มือใครคนหนึ่งได้คว้าข้อมือของผม แล้วออกแรงลากไปตามทางอย่างยากลำบาก แวบหนึ่งผมคิดว่าเป็นลูกน้องของดอกเตอร์คิงส์ แต่เมื่อผมเหลือบมองดูเจ้าของมือนั้น ผมกลับมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูอ่อนแรงไม่แพ้กัน เธอสวมเสื้อผ้าฝ้ายเหมือนผม ทั้งเก่า ทั้งสกปรก
-- เธอเป็นทาสเหมือนกับผม --
เธอช่วยพาผมไปซ่อนตัวในลังไม้เก่าๆ เราต่างเหนื่อยหอบเหมือนคนที่วิ่งหนีตาย เราเพ่งมองบนพื้น จ้องมองรองเท้าหนังของกลุ่มคนไล่ตามที่วิ่งผ่านพ้นพวกเราไป -- ไม่มีใครสังเกตเห็นเราที่หลบอยู่ในลังไม้
เรารอจนกระทั่งมั่นใจว่ารอดพ้นจากการไล่ตาม จึงขยับตัวออกมา
ผมมองเธอ และเธอก็มองผม
“คุณมีคนที่จะไปหาเหมือนกันหรือ” ผมถามเธอ
ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าตอบ
“คุณควรรีบ” เธอบอกผม “เวลากำลังจะหมดลง”
“เราจะกลับมาทันขบวนรถไฟ” ผมบอกเธอ “เราไม่พลาดหรอก”
แต่เธอกลับส่ายหน้า “ฉันจะไม่กลับมา”
ผมตะลึงงันไปชั่วขณะ
“คุณรู้ใช่ไหม ว่านั่นหมายความว่าอะไร” ผมถามช้าๆ
เธอพยักหน้าอีกครั้ง
เรามองหน้ากันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แล้วผมจึงพยักหน้าตอบเธอ “ขอให้คุณโชคดี”
“ขอให้คุณโชคดีเช่นกัน” เธอบอกผม
แล้วแทบจะในทันที ที่ทั้งผมและเธอ ต่างกลับหลังหัน แล้วออกวิ่งไปตามทางของตนเอง