เชื่อว่าหลายคนไม่เคยมองผู้ชายคนนี้เป็นตัวเต็งในรอบแรกๆ เพราะไม่มีแรงดึงดูดอะไรเลย ทั้งหน้าตา หรือเพลงที่ถ่ายทอดออกมา แม้จะฟังแล้วเพราะ แต่ก็ขาดความน่าสนใจ และน่าติดตาม กระทั่งเข้าสู่รอบต่อๆ ไป โดยเฉพาะในรอบน็อคเอาท์กับเพลง "ก้อนหินก้อนนั้น" จากม้ามืดตัวดำๆ เริ่มสะกดคนฟังจนหลายคนแอบมีใจให้เขาอย่างไม่รู้ตัว
พอผ่านเข้าสู่รอบ 4 คนสุดท้าย ต้องบอกว่า ออร่าของแชมป์ค่อยๆ แจ่มชัด กลายเป็นผู้เข้าแข่งขันในสายตาของผู้ชมคนดูมากขึ้น เพราะแทบไม่น่าเชื่อว่า ผู้ชายซื่อๆ ไร้อารมณ์คนนี้ จะร้องเพลงเร็ว (หลงตัวเอง) พร้อมกับเต้นสุดแว้นเรียกเสียงฮาได้ขนาดนี้ยิ่งปิดท้ายการแข่งขันด้วยเพลง 'สักวันต้องได้ดี' หลายคนที่คาดหวัง พูดเลยว่า ไม่ผิดหวัง เพราะร้องได้อารมณ์ เอาใจไปเต็มๆ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ที่เกริ่นมาทั้งหมดนี้คือ 'หนุ่ม-สมศักดิ์ รินนายรักษ์' แชมป์ The Voice ซีซั่น 3 จากม้านอกสายตาที่ไม่มีใครสนใจ กลายเป็นม้ามืดมาแรงแซงโค้ง แม้จะมีบุคคลิก ท่าทางซื่อๆ พูดไม่ค่อยเก่ง แต่เขาคนนี้โดนใจคนไทยทั้งประเทศจนทุ่มคะแนนโหวตให้เป็นแชมป์ The Voice ซีซั่น 3...นี่คือการเปิดใจ ล้วงไปถึงชีวิต และตัวตนที่เขาออกตัวว่า "ชีวิตผมไม่ได้ดรามาขนาดนั้น"
หลังจากได้แชมป์ The Voice ชีวิตเปลี่ยนไปขนาดไหน แว่วมาว่ามีสมัครอินสตาแกรมเพิ่มด้วย
หนุ่ม : อ๋อ ไม่ครับ คือสมัครไว้เล่นๆ อยู่แล้ว มีคนบอกให้สมัคร ก็ลองสมัครดู เพราะอยากรู้ว่ามันเล่นยังไง ลงรูปยังไง ซึ่งปกติก็เล่นแค่เฟซบุ๊กครับ
ปรากฎการณ์หลงตัวเองในรอบ 4 คนสุดท้าย ตรงนี้รู้สึกอย่างไร
หนุ่ม : ด้วยหลายๆ อย่างครับ ทั้งบุคลิกที่เปลี่ยนไป จากที่เงียบๆ หนิมๆ ขรึมๆ ร้องเพลงซึ้งๆ เปลี่ยนมาร้องเล่นเต้นฮาผ่านเพลง 'หลงตัวเอง' ทำให้คนสนใจในตัวผมมากขึ้น ตอนนั้นก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนจะเข้าไปคลิกดู หรือให้ความสนใจผมเยอะขนาดนี้ (หนุ่มยิ้มซื่อๆ)
ตอนนี้เริ่มมีแฟนคลับมาตามบ้างหรือยัง
หนุ่ม : (ยิ้ม) ยังไม่มีครับ ยังไม่ฮอตขนาดนั้น จะมีก็แต่ตามรถไฟฟ้าบ้าง ตามถนนหนทางบ้าง ซึ่งพอเจอแล้วก็จะมีเข้ามาขอถ่ายรูปบ้างครับ
แฟนคลับที่ติดตามส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยไหน
หนุ่ม : ตั้งแต่ร้องเพลงหลงตัวเองมานี่ มีทุกวัยเลยครับ ตั้งแต่วัยรุ่น วัยเด็กไปจนถึงอาม่า อากง บางทีก็ไปเจอท่านๆ ที่ร้านอาหาร แกก็บอกว่า ดูอยู่นะ ตลกมากเลย หัวเราะจนเจ็บท้องไปหมดเลย (หนุ่มอมยิ้ม)
วินาทีที่ประกาศผล ตอนนั้นคิดว่าเราจะเป็นผู้ชนะในซีซั่นนี้ไหม
หนุ่ม : คือทุกคนร้องโชว์ออกมาดีหมด ทุกคนสมควรได้ครับ แต่เราก็ไม่คิดว่าเราจะได้
มองเส้นทางชีวิตในเส้นทางสายบันเทิงไว้อย่างไร
หนุ่ม : คงต้องปรับตัวอีกเยอะเลยอ่ะครับ แต่ก็ไม่อาจต้องถึงกับปรับตัวเยอะครับ อาจจะเป็นเรื่องการวางตัว การเข้าสังคม ส่วนตัวเราก็ยังคงเป็นตัวเราอยู่ จะไปเปลี่ยนอะไรมากก็ไม่ได้
เรื่องการเข้าสังคม มีผู้ใหญ่ติงมาหรือเปล่า
หนุ่ม : (พยักหน้ารับ) ครับ ต้องพูดให้มากขึ้น พูดให้เข้าใจมากขึ้น (ยิ้มอายๆ) ซึ่งถ้าเป็นกับเพื่อนก็พูดเยอะครับ แต่เวลาให้สัมภาษณ์ผมจะคิดคำไม่ค่อยออก
เคยคิดไหมว่าจะมีภาพในวันนี้ ภาพในวันที่นักข่าวต่อคิวมาสัมภาษณ์เรา
หนุ่ม : ไม่เคยคิดเลยครับ ทีแรกไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีอะไรเยอะแยะมากมายให้ต้องทำขนาดนี้ ตอนมาแข่งคิดว่าเข้ามาถึงรอบแสดงสดเราก็โอเคละ แต่ไม่คิดว่าจะผ่านเข้ามาสู่รอบไฟนอล และได้แชมป์ในปีนี้ ตอนนี้ยังเบลอๆ งงๆ อยู่เคยครับ (ทำหน้ามึนๆ) ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน (หัวเราะ) ตั้งแต่ได้แชมป์ วันจันทร์ก็เดินสายขอบคุณสื่อ และมีคนสัมภาษณ์ตลอดทั้งวัน ผมก็ค่อยๆ ปรับตัวไปทีละเล็กทีละน้อยครับ
วันนี้กลายเป็นคนของประชาชนแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง
หนุ่ม : รู้สึกดีครับ เพราะเราไม่ใช่หนุ่มที่จะไปร้อง ไปเล่นกับเพื่อน หรือไปกินเหล้าเมายา (เมายา?) กินเหล้าๆ ครับ มันเป็นคำคล้องจอง (ยิ้ม) ซึ่งตรงนั้นก็มันก็น้อยลงแล้วครับ กลายเป็นคนของสาธารณะ เป็นคนที่มีคนรู้จักมากขึ้น มีคนตาม มีคนจ้องจะจับผิดเราอยู่ตลอดเวลา
คิดอย่างไรกับกระแสแอนตี้ที่บอกว่าได้แชมป์เพราะชีวิตดรามา
หนุ่ม : ส่วนตัวผมไม่สนใจครับ เพราะเราก็รู้ว่าไม่ได้ดรามาขนาดนั้น คือเพลง (สักวันต้องได้ดี) มันทำให้คิดได้หลายอย่างครับ บางคนฟังก็ตีความไปว่า คุณร้องเหมือนชีวิตคุณลำบากมาก ต้องทำความดี เพราะสักวันต้องได้ดี กับอีกความหมายหนึ่ง คือ ให้กำลังใจทุกคนที่กำลังท้อแท้ หรือหมดกำลังใจ อยากให้ทุกคนสู้ต่อไป เพราะสักวันต้องได้ดี ซึ่งบางคนก็ตีความไปในด้านลบ ต่างคนต่างคิดกันไปอ่ะครับ
รู้สึกว่ากระแส The Voice ในปีนี้แรงมาก
หนุ่ม : (พยักหน้าเห็นด้วย) ซีซั่นอื่นไม่ค่อยแรงเท่านี้นะ ส่วนตัวคิดว่า มันก็เป็นกระแสครับ อย่าไปสนใจดีกว่า เพราะเวลาไปสนใจ มันก็จะเก็บมาเครียด คิดอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ผมเลยไม่ดู ไม่สนใจดีกว่า กระแสก็คือกระแส
ได้แชมป์เพราะคนโหวตผิด ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกอย่างไร
หนุ่ม : ไม่รู้สึกอะไรครับ ซึ่งมันก็ผ่านไปแล้ว เพราะไม่ว่าผมจะได้หรือ 'อิมเมจ' จะได้ มันก็ไม่ต่างกันครับ เราทำตรงนี้ได้ดีที่สุดแล้ว
แล้วดรามาของโค้ช เจนนิเฟอร์ คิ้ม ล่ะ
หนุ่ม : บางข่าวก็เยอะเกินครับ บางทีก็เยอะแบบดรามาว่าทำไมไม่เลือกคนนั้นคนนี้ ผมรู้สึกสงสารแก แต่เจ้คิ้มก็น่าจะมีเหตุผลของเขาครับ คือเจ้คิ้มดูแลดีทุกคนครับ ไม่ว่าจะเข้ารอบหรือตกรอบ
โค้ชคิ้มสอนอะไรเราบ้าง
หนุ่ม : อย่างตัวผม เจ้คิ้มสอนทุกอย่างครับ ทั้งการร้องเพลง การเข้าถึงอารมณ์ รวมไปถึงเทคนิคต่างๆ ส่วนนอกรายการ ก็จะสอนในเรื่องของการเข้าสังคม พูดง่ายๆ คือสอนทุกอย่างว่าจะเจออะไรในวงการนี้บ้าง ต้องปรับตัวอย่างไร คนเป็นแบบนั้นแบบนี้นะ แต่ที่จะถูกเน้นย้ำอยู่บ่อยๆ ก็คือการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น เรื่องสัมมาคารวะต้องมี ความนอบน้อมต้องมา ส่วนตัวผม แกบอกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรก็เป็นของเราแบบนี้แหละ
จำได้ว่า โค้ชคิ้มเคยพูดถึงหนุ่มว่าเป็นเด็กน่ารัก เชื่อฟัง แต่จะมีคนที่พูดล่วงหน้าว่า เดี๋ยวพออยู่ไปก็อาจจะหัวดื้อ
หนุ่ม : (หนุ่มยิ้มรับ) มันอยู่ที่ตัวเราครับ คนอื่นคงมาตัดสินอะไรเราไม่ได้ เพราะถ้าเราจะดื้อก็คงดื้อด้วยตัวเอง ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราครับ แต่ผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ ไม่เปลี่ยนหรอกครับ
ตอนนี้หลายคนอาจสับสนว่าหนุ่มเป็นคนเงียบขรึม หรือตลกโปกฮาแบบรั่วๆ จริงๆ แล้วหนุ่มเป็นคนแบบไหน
หนุ่ม : ผมเป็นคนตลกโปกฮาด้วย กวนๆ ด้วย แล้วก็เงียบๆ บ้าง ถ้าคนไม่คุ้นเราก็จะเงียบ แต่ถ้าเจอหรืออยู่กับเพื่อนผมก็จะพูดเยอะขึ้น บางทีไม่มีเรื่องคุยก็เงียบ หรือบางทีก็จะเล่นมุกหน้าตาย (ยิ้ม) เพื่อนๆ ก็จะบอกผมว่า ตลกหน้าตาย คิดไปคิดมาก็ดีครับ ทำให้คนข้างๆ มีความสุขได้
นี่หรือเปล่าที่ทำให้คนทุ่มโหวตให้เรา
หนุ่ม : ความซื่อก็มีส่วนครับ แต่ก็บอกไม่ได้ครับว่าเขาชอบเราตรงไหน ส่วนใหญ่ที่เห็นจากเมนต์บ้างก็จะมีเข้ามาบอกว่า ดูซื่อๆ จริงใจดี ไม่เสแสร้าง ไม่เฟก ไม่ต้องอะไรมากมาย
ไม่เคยเรียนร้องเพลง แถมเพิ่งมาร้องตามร้านอาหารเอาไม่กี่อาทิตย์ก่อนแข่ง แทนที่จะเป็นข้อด้อยของเรา แต่กลับกลายมาเป็นข้อดี ตรงนี้มองอย่างไร
หนุ่ม : รู้สึกดีครับ ด้วยอะไรหลายๆ อย่างก่อนหน้านั้น เราก็ไม่เคยเรียนร้องเพลง อยากร้องก็ร้อง พอมีรายการนี้ก็อยากจะมาร้องเพลงเพื่อทดสอบความสามารถของตัวเองว่าเราจะมาถึงได้ขั้นไหน แต่พอเข้ามาจริงๆ ถือเป็นกำไรชีวิตของผมมากๆ เพราะได้รู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับดนตรีจากเพื่อนที่เข้าแข่งขัน ผู้รู้ รวมไปถึงโค้ชแต่ละท่านที่มากด้วยประสบการณ์ ต้องบอกว่าได้อะไรใหม่ๆ จากเวทีนี้เยอะเลยครับ
วาดฝันเส้นทางนักร้องไว้อย่างไร
หนุ่ม : ไม่ได้วาดฝันอะไรเป็นพิเศษครับ คิดแค่ว่า เราต้องทำตรงนี้ให้ดีที่สุด เขาบอกให้ทำอะไรเราก็ได้ ทำเพลงเราก็ทำ มีงานเข้ามาก็จัดการ วางแผนให้ดีเพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียน ตอนนี้ผมเรียนอยู่ปี 4 ที่ จ.เชียงราย เหลืออีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว ก็ต้องทำให้เต็มที่ครับ
ไอดอลในดวงใจคือใคร
หนุ่ม : (นิ่งคิด) คือผมเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ครับ แต่ถ้าคนแรกเลยก็คือ พี่ดา เอ็นโดรฟิน พี่เขาเท่ และร้องได้เสียงสุดยอด (ลากเสียวยาว) มาก ผมชอบเสียง และเพลงของพี่เขามาก โดยเฉพาะเพลงน้ำเต็มแก้ม ซึ่งเพลงนี้พอได้ฟังแล้วร้องตาม ทำให้ผมรู้สึกว่า เราก็ร้องเพลงได้นะ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ร้องเพลงมาเรื่อยๆ
จริงๆ แล้วแนวเพลงที่ถนัดคือแนวไหน
หนุ่ม : ที่ชอบก็แนวป็อปครับ ได้ทั้งช้า และจังหวะสนุกสนาน ส่วนแนวร็อกนี่ตายเลย ผมไม่ถนัดเลยครับ
เล่าชีวิตในช่วงวัยเรียนให้ฟังหน่อย
หนุ่ม : เวลามีกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยก็อาสาเข้าไปช่วย อย่างวันลอยกระทง ก็ไปช่วยขนเต็นท์ ส่วนงานเบื้องหน้าไม่ค่อยมีเท่าไรครับ
อะไรทำให้ต้องตัดสินใจมาประกวดร้องเพลงในรายการ The Voice
หนุ่ม : ตอนนั้นเราก็ไม่ได้โพสต์จริงจังครับ แค่โพสต์ขำๆ ว่านี่นะ เราจะเก็บตังค์ไป The Voice นะ จนกระทั่งเพื่อนสนิทชวน ผมก็บอกว่า ไปๆ ไปด้วย สุดท้ายเพื่อนไม่ผ่าน เราผ่าน
ครอบครัวสนับสนุนเรื่องการร้องเพลง หรือเล่นดนตรีมากน้อยแค่ไหน
หนุ่ม : พ่อกับแม่ไม่ได้สนับสนุนอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นหมอนะ ต้องเรียนวิศวะฯ นะ หรือจบออกมาแล้วต้องทำงานแบบนี้ๆ นะ ถ้าชอบร้องเพลงก็เอาเลย ร้องเลย ทำแล้วมีความสุขก็ทำ แต่เวลาร้องเพลงที่บ้านก็จะต้องร้องเบาๆ เพราะจะถูกเอ็ดว่า เสียงดัง พอเข้ามาแข่งขัน พ่อกับแม่ก็เชียร์ครับ เราได้แชมป์ท่านก็ดีใจไปกับเราด้วย
แน่นอนว่า หลายคนมองภาพของหนุ่มว่าเป็นคนสู้ชีวิต ตรงนี้รู้สึกอย่างไร
หนุ่ม : ไม่ถึงกับสู้ชีวิตครับ ที่บ้านก็พออยู่พอกินครับ แต่แค่ผมชอบทำอะไรด้วยตัวเอง และไม่อยากรบกวนพ่อแม่ จึงออกไปหางานทำเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของท่านมาก อยากได้อะไรก็เก็บตังค์ซื้อเอา ส่วนค่าเทอมก็มีกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) คอยช่วยเหลืออยู่
ส่วนงานที่ทำ ถามว่าเยอะมั้ย ก็ไม่ค่อยนะ แค่ทำมาเรื่อยๆ ตอนอยู่มัธยมต้นก็ไปทำงานที่โรงงานหม้อดินเผา คอยโม่ดินแล้วตักไปให้เขาปั้น (ได้ค่าจ้างวันละ 120 บาท) พอขึ้นมัธยมปลาย น้าแถวบ้านชวนให้ไปเป็นช่างประปาขุดหลุมขุดบ่อ วางระบบท่อน้ำตามบ้านคน ตึกแถว (ได้ค่าจ้างวันละ 150 บาท) จนได้เข้าไปช่วยระบบกรมชลประทาน ขุดหลุมวางท่อในเหมือง (ได้ค่าจ้างวันละ 220 บาท)
'หนุ่ม' แชมป์ The Voice "ชีวิตผมไม่ได้ดรามาขนาดนั้น"
เชื่อว่าหลายคนไม่เคยมองผู้ชายคนนี้เป็นตัวเต็งในรอบแรกๆ เพราะไม่มีแรงดึงดูดอะไรเลย ทั้งหน้าตา หรือเพลงที่ถ่ายทอดออกมา แม้จะฟังแล้วเพราะ แต่ก็ขาดความน่าสนใจ และน่าติดตาม กระทั่งเข้าสู่รอบต่อๆ ไป โดยเฉพาะในรอบน็อคเอาท์กับเพลง "ก้อนหินก้อนนั้น" จากม้ามืดตัวดำๆ เริ่มสะกดคนฟังจนหลายคนแอบมีใจให้เขาอย่างไม่รู้ตัว
พอผ่านเข้าสู่รอบ 4 คนสุดท้าย ต้องบอกว่า ออร่าของแชมป์ค่อยๆ แจ่มชัด กลายเป็นผู้เข้าแข่งขันในสายตาของผู้ชมคนดูมากขึ้น เพราะแทบไม่น่าเชื่อว่า ผู้ชายซื่อๆ ไร้อารมณ์คนนี้ จะร้องเพลงเร็ว (หลงตัวเอง) พร้อมกับเต้นสุดแว้นเรียกเสียงฮาได้ขนาดนี้ยิ่งปิดท้ายการแข่งขันด้วยเพลง 'สักวันต้องได้ดี' หลายคนที่คาดหวัง พูดเลยว่า ไม่ผิดหวัง เพราะร้องได้อารมณ์ เอาใจไปเต็มๆ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ที่เกริ่นมาทั้งหมดนี้คือ 'หนุ่ม-สมศักดิ์ รินนายรักษ์' แชมป์ The Voice ซีซั่น 3 จากม้านอกสายตาที่ไม่มีใครสนใจ กลายเป็นม้ามืดมาแรงแซงโค้ง แม้จะมีบุคคลิก ท่าทางซื่อๆ พูดไม่ค่อยเก่ง แต่เขาคนนี้โดนใจคนไทยทั้งประเทศจนทุ่มคะแนนโหวตให้เป็นแชมป์ The Voice ซีซั่น 3...นี่คือการเปิดใจ ล้วงไปถึงชีวิต และตัวตนที่เขาออกตัวว่า "ชีวิตผมไม่ได้ดรามาขนาดนั้น"
หลังจากได้แชมป์ The Voice ชีวิตเปลี่ยนไปขนาดไหน แว่วมาว่ามีสมัครอินสตาแกรมเพิ่มด้วย
หนุ่ม : อ๋อ ไม่ครับ คือสมัครไว้เล่นๆ อยู่แล้ว มีคนบอกให้สมัคร ก็ลองสมัครดู เพราะอยากรู้ว่ามันเล่นยังไง ลงรูปยังไง ซึ่งปกติก็เล่นแค่เฟซบุ๊กครับ
ปรากฎการณ์หลงตัวเองในรอบ 4 คนสุดท้าย ตรงนี้รู้สึกอย่างไร
หนุ่ม : ด้วยหลายๆ อย่างครับ ทั้งบุคลิกที่เปลี่ยนไป จากที่เงียบๆ หนิมๆ ขรึมๆ ร้องเพลงซึ้งๆ เปลี่ยนมาร้องเล่นเต้นฮาผ่านเพลง 'หลงตัวเอง' ทำให้คนสนใจในตัวผมมากขึ้น ตอนนั้นก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนจะเข้าไปคลิกดู หรือให้ความสนใจผมเยอะขนาดนี้ (หนุ่มยิ้มซื่อๆ)
ตอนนี้เริ่มมีแฟนคลับมาตามบ้างหรือยัง
หนุ่ม : (ยิ้ม) ยังไม่มีครับ ยังไม่ฮอตขนาดนั้น จะมีก็แต่ตามรถไฟฟ้าบ้าง ตามถนนหนทางบ้าง ซึ่งพอเจอแล้วก็จะมีเข้ามาขอถ่ายรูปบ้างครับ
แฟนคลับที่ติดตามส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยไหน
หนุ่ม : ตั้งแต่ร้องเพลงหลงตัวเองมานี่ มีทุกวัยเลยครับ ตั้งแต่วัยรุ่น วัยเด็กไปจนถึงอาม่า อากง บางทีก็ไปเจอท่านๆ ที่ร้านอาหาร แกก็บอกว่า ดูอยู่นะ ตลกมากเลย หัวเราะจนเจ็บท้องไปหมดเลย (หนุ่มอมยิ้ม)
วินาทีที่ประกาศผล ตอนนั้นคิดว่าเราจะเป็นผู้ชนะในซีซั่นนี้ไหม
หนุ่ม : คือทุกคนร้องโชว์ออกมาดีหมด ทุกคนสมควรได้ครับ แต่เราก็ไม่คิดว่าเราจะได้
มองเส้นทางชีวิตในเส้นทางสายบันเทิงไว้อย่างไร
หนุ่ม : คงต้องปรับตัวอีกเยอะเลยอ่ะครับ แต่ก็ไม่อาจต้องถึงกับปรับตัวเยอะครับ อาจจะเป็นเรื่องการวางตัว การเข้าสังคม ส่วนตัวเราก็ยังคงเป็นตัวเราอยู่ จะไปเปลี่ยนอะไรมากก็ไม่ได้
เรื่องการเข้าสังคม มีผู้ใหญ่ติงมาหรือเปล่า
หนุ่ม : (พยักหน้ารับ) ครับ ต้องพูดให้มากขึ้น พูดให้เข้าใจมากขึ้น (ยิ้มอายๆ) ซึ่งถ้าเป็นกับเพื่อนก็พูดเยอะครับ แต่เวลาให้สัมภาษณ์ผมจะคิดคำไม่ค่อยออก
เคยคิดไหมว่าจะมีภาพในวันนี้ ภาพในวันที่นักข่าวต่อคิวมาสัมภาษณ์เรา
หนุ่ม : ไม่เคยคิดเลยครับ ทีแรกไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีอะไรเยอะแยะมากมายให้ต้องทำขนาดนี้ ตอนมาแข่งคิดว่าเข้ามาถึงรอบแสดงสดเราก็โอเคละ แต่ไม่คิดว่าจะผ่านเข้ามาสู่รอบไฟนอล และได้แชมป์ในปีนี้ ตอนนี้ยังเบลอๆ งงๆ อยู่เคยครับ (ทำหน้ามึนๆ) ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน (หัวเราะ) ตั้งแต่ได้แชมป์ วันจันทร์ก็เดินสายขอบคุณสื่อ และมีคนสัมภาษณ์ตลอดทั้งวัน ผมก็ค่อยๆ ปรับตัวไปทีละเล็กทีละน้อยครับ
วันนี้กลายเป็นคนของประชาชนแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง
หนุ่ม : รู้สึกดีครับ เพราะเราไม่ใช่หนุ่มที่จะไปร้อง ไปเล่นกับเพื่อน หรือไปกินเหล้าเมายา (เมายา?) กินเหล้าๆ ครับ มันเป็นคำคล้องจอง (ยิ้ม) ซึ่งตรงนั้นก็มันก็น้อยลงแล้วครับ กลายเป็นคนของสาธารณะ เป็นคนที่มีคนรู้จักมากขึ้น มีคนตาม มีคนจ้องจะจับผิดเราอยู่ตลอดเวลา
คิดอย่างไรกับกระแสแอนตี้ที่บอกว่าได้แชมป์เพราะชีวิตดรามา
หนุ่ม : ส่วนตัวผมไม่สนใจครับ เพราะเราก็รู้ว่าไม่ได้ดรามาขนาดนั้น คือเพลง (สักวันต้องได้ดี) มันทำให้คิดได้หลายอย่างครับ บางคนฟังก็ตีความไปว่า คุณร้องเหมือนชีวิตคุณลำบากมาก ต้องทำความดี เพราะสักวันต้องได้ดี กับอีกความหมายหนึ่ง คือ ให้กำลังใจทุกคนที่กำลังท้อแท้ หรือหมดกำลังใจ อยากให้ทุกคนสู้ต่อไป เพราะสักวันต้องได้ดี ซึ่งบางคนก็ตีความไปในด้านลบ ต่างคนต่างคิดกันไปอ่ะครับ
รู้สึกว่ากระแส The Voice ในปีนี้แรงมาก
หนุ่ม : (พยักหน้าเห็นด้วย) ซีซั่นอื่นไม่ค่อยแรงเท่านี้นะ ส่วนตัวคิดว่า มันก็เป็นกระแสครับ อย่าไปสนใจดีกว่า เพราะเวลาไปสนใจ มันก็จะเก็บมาเครียด คิดอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ผมเลยไม่ดู ไม่สนใจดีกว่า กระแสก็คือกระแส
ได้แชมป์เพราะคนโหวตผิด ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกอย่างไร
หนุ่ม : ไม่รู้สึกอะไรครับ ซึ่งมันก็ผ่านไปแล้ว เพราะไม่ว่าผมจะได้หรือ 'อิมเมจ' จะได้ มันก็ไม่ต่างกันครับ เราทำตรงนี้ได้ดีที่สุดแล้ว
แล้วดรามาของโค้ช เจนนิเฟอร์ คิ้ม ล่ะ
หนุ่ม : บางข่าวก็เยอะเกินครับ บางทีก็เยอะแบบดรามาว่าทำไมไม่เลือกคนนั้นคนนี้ ผมรู้สึกสงสารแก แต่เจ้คิ้มก็น่าจะมีเหตุผลของเขาครับ คือเจ้คิ้มดูแลดีทุกคนครับ ไม่ว่าจะเข้ารอบหรือตกรอบ
โค้ชคิ้มสอนอะไรเราบ้าง
หนุ่ม : อย่างตัวผม เจ้คิ้มสอนทุกอย่างครับ ทั้งการร้องเพลง การเข้าถึงอารมณ์ รวมไปถึงเทคนิคต่างๆ ส่วนนอกรายการ ก็จะสอนในเรื่องของการเข้าสังคม พูดง่ายๆ คือสอนทุกอย่างว่าจะเจออะไรในวงการนี้บ้าง ต้องปรับตัวอย่างไร คนเป็นแบบนั้นแบบนี้นะ แต่ที่จะถูกเน้นย้ำอยู่บ่อยๆ ก็คือการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น เรื่องสัมมาคารวะต้องมี ความนอบน้อมต้องมา ส่วนตัวผม แกบอกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรก็เป็นของเราแบบนี้แหละ
จำได้ว่า โค้ชคิ้มเคยพูดถึงหนุ่มว่าเป็นเด็กน่ารัก เชื่อฟัง แต่จะมีคนที่พูดล่วงหน้าว่า เดี๋ยวพออยู่ไปก็อาจจะหัวดื้อ
หนุ่ม : (หนุ่มยิ้มรับ) มันอยู่ที่ตัวเราครับ คนอื่นคงมาตัดสินอะไรเราไม่ได้ เพราะถ้าเราจะดื้อก็คงดื้อด้วยตัวเอง ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราครับ แต่ผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ ไม่เปลี่ยนหรอกครับ
ตอนนี้หลายคนอาจสับสนว่าหนุ่มเป็นคนเงียบขรึม หรือตลกโปกฮาแบบรั่วๆ จริงๆ แล้วหนุ่มเป็นคนแบบไหน
หนุ่ม : ผมเป็นคนตลกโปกฮาด้วย กวนๆ ด้วย แล้วก็เงียบๆ บ้าง ถ้าคนไม่คุ้นเราก็จะเงียบ แต่ถ้าเจอหรืออยู่กับเพื่อนผมก็จะพูดเยอะขึ้น บางทีไม่มีเรื่องคุยก็เงียบ หรือบางทีก็จะเล่นมุกหน้าตาย (ยิ้ม) เพื่อนๆ ก็จะบอกผมว่า ตลกหน้าตาย คิดไปคิดมาก็ดีครับ ทำให้คนข้างๆ มีความสุขได้
นี่หรือเปล่าที่ทำให้คนทุ่มโหวตให้เรา
หนุ่ม : ความซื่อก็มีส่วนครับ แต่ก็บอกไม่ได้ครับว่าเขาชอบเราตรงไหน ส่วนใหญ่ที่เห็นจากเมนต์บ้างก็จะมีเข้ามาบอกว่า ดูซื่อๆ จริงใจดี ไม่เสแสร้าง ไม่เฟก ไม่ต้องอะไรมากมาย
ไม่เคยเรียนร้องเพลง แถมเพิ่งมาร้องตามร้านอาหารเอาไม่กี่อาทิตย์ก่อนแข่ง แทนที่จะเป็นข้อด้อยของเรา แต่กลับกลายมาเป็นข้อดี ตรงนี้มองอย่างไร
หนุ่ม : รู้สึกดีครับ ด้วยอะไรหลายๆ อย่างก่อนหน้านั้น เราก็ไม่เคยเรียนร้องเพลง อยากร้องก็ร้อง พอมีรายการนี้ก็อยากจะมาร้องเพลงเพื่อทดสอบความสามารถของตัวเองว่าเราจะมาถึงได้ขั้นไหน แต่พอเข้ามาจริงๆ ถือเป็นกำไรชีวิตของผมมากๆ เพราะได้รู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับดนตรีจากเพื่อนที่เข้าแข่งขัน ผู้รู้ รวมไปถึงโค้ชแต่ละท่านที่มากด้วยประสบการณ์ ต้องบอกว่าได้อะไรใหม่ๆ จากเวทีนี้เยอะเลยครับ
วาดฝันเส้นทางนักร้องไว้อย่างไร
หนุ่ม : ไม่ได้วาดฝันอะไรเป็นพิเศษครับ คิดแค่ว่า เราต้องทำตรงนี้ให้ดีที่สุด เขาบอกให้ทำอะไรเราก็ได้ ทำเพลงเราก็ทำ มีงานเข้ามาก็จัดการ วางแผนให้ดีเพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียน ตอนนี้ผมเรียนอยู่ปี 4 ที่ จ.เชียงราย เหลืออีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว ก็ต้องทำให้เต็มที่ครับ
ไอดอลในดวงใจคือใคร
หนุ่ม : (นิ่งคิด) คือผมเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ครับ แต่ถ้าคนแรกเลยก็คือ พี่ดา เอ็นโดรฟิน พี่เขาเท่ และร้องได้เสียงสุดยอด (ลากเสียวยาว) มาก ผมชอบเสียง และเพลงของพี่เขามาก โดยเฉพาะเพลงน้ำเต็มแก้ม ซึ่งเพลงนี้พอได้ฟังแล้วร้องตาม ทำให้ผมรู้สึกว่า เราก็ร้องเพลงได้นะ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ร้องเพลงมาเรื่อยๆ
จริงๆ แล้วแนวเพลงที่ถนัดคือแนวไหน
หนุ่ม : ที่ชอบก็แนวป็อปครับ ได้ทั้งช้า และจังหวะสนุกสนาน ส่วนแนวร็อกนี่ตายเลย ผมไม่ถนัดเลยครับ
เล่าชีวิตในช่วงวัยเรียนให้ฟังหน่อย
หนุ่ม : เวลามีกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยก็อาสาเข้าไปช่วย อย่างวันลอยกระทง ก็ไปช่วยขนเต็นท์ ส่วนงานเบื้องหน้าไม่ค่อยมีเท่าไรครับ
อะไรทำให้ต้องตัดสินใจมาประกวดร้องเพลงในรายการ The Voice
หนุ่ม : ตอนนั้นเราก็ไม่ได้โพสต์จริงจังครับ แค่โพสต์ขำๆ ว่านี่นะ เราจะเก็บตังค์ไป The Voice นะ จนกระทั่งเพื่อนสนิทชวน ผมก็บอกว่า ไปๆ ไปด้วย สุดท้ายเพื่อนไม่ผ่าน เราผ่าน
ครอบครัวสนับสนุนเรื่องการร้องเพลง หรือเล่นดนตรีมากน้อยแค่ไหน
หนุ่ม : พ่อกับแม่ไม่ได้สนับสนุนอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นหมอนะ ต้องเรียนวิศวะฯ นะ หรือจบออกมาแล้วต้องทำงานแบบนี้ๆ นะ ถ้าชอบร้องเพลงก็เอาเลย ร้องเลย ทำแล้วมีความสุขก็ทำ แต่เวลาร้องเพลงที่บ้านก็จะต้องร้องเบาๆ เพราะจะถูกเอ็ดว่า เสียงดัง พอเข้ามาแข่งขัน พ่อกับแม่ก็เชียร์ครับ เราได้แชมป์ท่านก็ดีใจไปกับเราด้วย
แน่นอนว่า หลายคนมองภาพของหนุ่มว่าเป็นคนสู้ชีวิต ตรงนี้รู้สึกอย่างไร
หนุ่ม : ไม่ถึงกับสู้ชีวิตครับ ที่บ้านก็พออยู่พอกินครับ แต่แค่ผมชอบทำอะไรด้วยตัวเอง และไม่อยากรบกวนพ่อแม่ จึงออกไปหางานทำเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของท่านมาก อยากได้อะไรก็เก็บตังค์ซื้อเอา ส่วนค่าเทอมก็มีกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) คอยช่วยเหลืออยู่
ส่วนงานที่ทำ ถามว่าเยอะมั้ย ก็ไม่ค่อยนะ แค่ทำมาเรื่อยๆ ตอนอยู่มัธยมต้นก็ไปทำงานที่โรงงานหม้อดินเผา คอยโม่ดินแล้วตักไปให้เขาปั้น (ได้ค่าจ้างวันละ 120 บาท) พอขึ้นมัธยมปลาย น้าแถวบ้านชวนให้ไปเป็นช่างประปาขุดหลุมขุดบ่อ วางระบบท่อน้ำตามบ้านคน ตึกแถว (ได้ค่าจ้างวันละ 150 บาท) จนได้เข้าไปช่วยระบบกรมชลประทาน ขุดหลุมวางท่อในเหมือง (ได้ค่าจ้างวันละ 220 บาท)