The Interview - พูดกันตรงๆก็เป็นคนชอบหนังตลกสัปดนอยู่ประมาณนึง แต่ไม่รู้เป็นอะไรช่วงหลังหนังแนวนี้มันค่อนข้างตลกสัปดนเกินขีด (นำทีมโดย Adam Sandler) แต่ก็มีอีตา
Seth Rogen ที่ดูจะให้ระดับความสัปดนในระดับที่พอดี (This Is the End, Neighbors) พอมาหนังเรื่องใหม่อย่าง The Interview เกิดความอยากดูขึ้นมาประมาณนึง จนกระทั่งมีข่าวเกาหลีเหนือจะก่อสงครามไซเบอร์เพื่อหนังเรื่องนี้ ทำให้มันขยับไปสู่หมวดหนังที่ต้องดูไปในทันที
ตัวหนังเล่าเรื่องคู่หูพิธีกร (James Franco) และโปรดิวเซอร์ (Seth Rogen) ที่ทำรายการสัมภาษณ์คนดังอารมณ์ประมาณทไวไลท์โชว์บ้านเรา และทั้งคู่ก็เก่งกับสิ่งที่ทำมาก จนกระทั่งตัวโปรดิวเซอร์ได้ไปเจอกับเพื่อนเก่าที่ทำรายการข่าว โดนถากถางถึงสิ่งที่ทำว่าออกจะไม่จริงจัง ไม่มีสาระ และไม่ให้ประโยชน์อะไร (ตรงนี้อาจเป็นสิ่งที่ Seth Rogen (กำกับร่วม) เคยโดนมากับตัวเพราะเขาก็ทำแต่หนังตลกเบาสมอง) ซึ่งทำให้เขาตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่ตัวเองทำ จนอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวรายการ และโอกาสมาถึงเมื่อเขารู้ว่าคิม จอง อุล ผู้นำเผด็จการเกาหลี ชื่นชอบและอยากออกรายการเขามากแค่ไหน แต่เรื่องราวไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เมื่อ CIA อยากให้พวกเขาทำการลอบสังหารคิม จอง อุลไปด้วย
ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช้หนังสายลับครับ เรื่องราวมันจะออกไปตลกโปกฮา และอุดมไปด้วยมุขสัปดนทั้งหลายแหล่ แต่ไม่ใช้หนังแบบมุขชนมุขไปเรื่อย ตัวหนังมีเส้นเรื่องที่ชัดเจน มุขเหล่านี้เป็นตัวสร้างสีสันเพื่อขับเคลื่อนเรื่องราวมากกว่า การแสดงของนักแสดงนำทั้งคู่ก็แบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้สำเร็จ ไม่ว่าพฤติกรรมของตัวละครพวกนี้จะเพี้ยนไปขนาดไหน เราก็ยังรักเขา และพอถึงในช่วงอารมณ์หรือช่วงที่ต้องการความจริงจัง ทั้งคู่ก็ยังแสดงออกมาได้น่าเชื่อว่าคนพวกนี้มีความคิดไม่ใช่คนเพี้ยนจนกู่ไม่กลับ แบบในหนังแนวนี้ส่วนใหญ่เป็น ส่วนที่น่ายกย่องมากที่สุดคือมุขตลกที่เล่นกับ pop culture ต่างๆได้แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอาวุธที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่นิวเคลียร์หรอก แต่เป็น
สื่อและความบันเทิง (โดยเฉพาะของโลกตะวันตก) ที่แผ่ขยายไปได้ทุกที่ ใครจะไปรู้ว่าคิม จอง อุลตัวจริงอาจจะกำลังร้อง Firework ของ Katy Perry อยู่ก็ได้
#hateuscostheyanus
[CR] (REVIEW) The Interview คู่หูสัปดนตะลุยเกาหลีเหนือ
The Interview - พูดกันตรงๆก็เป็นคนชอบหนังตลกสัปดนอยู่ประมาณนึง แต่ไม่รู้เป็นอะไรช่วงหลังหนังแนวนี้มันค่อนข้างตลกสัปดนเกินขีด (นำทีมโดย Adam Sandler) แต่ก็มีอีตา Seth Rogen ที่ดูจะให้ระดับความสัปดนในระดับที่พอดี (This Is the End, Neighbors) พอมาหนังเรื่องใหม่อย่าง The Interview เกิดความอยากดูขึ้นมาประมาณนึง จนกระทั่งมีข่าวเกาหลีเหนือจะก่อสงครามไซเบอร์เพื่อหนังเรื่องนี้ ทำให้มันขยับไปสู่หมวดหนังที่ต้องดูไปในทันที
ตัวหนังเล่าเรื่องคู่หูพิธีกร (James Franco) และโปรดิวเซอร์ (Seth Rogen) ที่ทำรายการสัมภาษณ์คนดังอารมณ์ประมาณทไวไลท์โชว์บ้านเรา และทั้งคู่ก็เก่งกับสิ่งที่ทำมาก จนกระทั่งตัวโปรดิวเซอร์ได้ไปเจอกับเพื่อนเก่าที่ทำรายการข่าว โดนถากถางถึงสิ่งที่ทำว่าออกจะไม่จริงจัง ไม่มีสาระ และไม่ให้ประโยชน์อะไร (ตรงนี้อาจเป็นสิ่งที่ Seth Rogen (กำกับร่วม) เคยโดนมากับตัวเพราะเขาก็ทำแต่หนังตลกเบาสมอง) ซึ่งทำให้เขาตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่ตัวเองทำ จนอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวรายการ และโอกาสมาถึงเมื่อเขารู้ว่าคิม จอง อุล ผู้นำเผด็จการเกาหลี ชื่นชอบและอยากออกรายการเขามากแค่ไหน แต่เรื่องราวไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เมื่อ CIA อยากให้พวกเขาทำการลอบสังหารคิม จอง อุลไปด้วย
ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช้หนังสายลับครับ เรื่องราวมันจะออกไปตลกโปกฮา และอุดมไปด้วยมุขสัปดนทั้งหลายแหล่ แต่ไม่ใช้หนังแบบมุขชนมุขไปเรื่อย ตัวหนังมีเส้นเรื่องที่ชัดเจน มุขเหล่านี้เป็นตัวสร้างสีสันเพื่อขับเคลื่อนเรื่องราวมากกว่า การแสดงของนักแสดงนำทั้งคู่ก็แบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้สำเร็จ ไม่ว่าพฤติกรรมของตัวละครพวกนี้จะเพี้ยนไปขนาดไหน เราก็ยังรักเขา และพอถึงในช่วงอารมณ์หรือช่วงที่ต้องการความจริงจัง ทั้งคู่ก็ยังแสดงออกมาได้น่าเชื่อว่าคนพวกนี้มีความคิดไม่ใช่คนเพี้ยนจนกู่ไม่กลับ แบบในหนังแนวนี้ส่วนใหญ่เป็น ส่วนที่น่ายกย่องมากที่สุดคือมุขตลกที่เล่นกับ pop culture ต่างๆได้แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอาวุธที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่นิวเคลียร์หรอก แต่เป็นสื่อและความบันเทิง (โดยเฉพาะของโลกตะวันตก) ที่แผ่ขยายไปได้ทุกที่ ใครจะไปรู้ว่าคิม จอง อุลตัวจริงอาจจะกำลังร้อง Firework ของ Katy Perry อยู่ก็ได้
#hateuscostheyanus