ม็อกค่าปาท่องโก๋ : กูด อาฟเต้อนูน ทิดเช่อ {สัมภาษณ์ “เมษ ธราธร” จาก “ไอฟาย...แต๊งกิ้ว...เลิฟยู้” }

สวัสดีครับ

      ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ

เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1175 ประจำวันที่ 5 ธันวาคม 2557

         “เนชั่นสุดสัปดาห์” สัปดาห์นี้ “ม็อคค่าปาท่องโก๋” ได้รับเกียรติจากผู้กำกับหนังค่าย GTH “เมษ ธราธร” ผู้กำกับที่สร้างชื่อจากหนังร้อยล้านเรื่อง “ATM เออรัก เออเร่อ” รวมถึงหนังตลกสร้างชื่อ “บ้านฉัน...ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้)” ที่เขากำกับร่วมกับ “วิทยา ทองอยู่ยง” และ “เมษ” ยังเคยร่วมทีมเขียนบท “ห้าแพร่ง”

     วันนี้ Mr. Coffee ได้มีโอกาส เซ ฮัลโหล กระทบไหล่คนดัง พร้อมจับเข่าคุยกับ “เมษ ธราธร” ผู้กำกับอารมณ์ดี ซึ่งถือเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่คนในวงการภาพยนตร์ไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฟนหนังไทยทุกคนที่เฝ้าจับตาดู ซึ่งเขาจะมาเผยไต๋ เบื้องลึกเบื้องหลัง ผลงานเรื่องใหม่ล่าสุด “ไอฟาย...แต๊งกิ้ว...เลิฟยู้”

Mr. Coffee : ที่มาของชื่อหนัง “ไอฟาย...แต๊งกิ้ว...เลิฟยู้”

เมษ : มาจากคำว่า I’m fine, thank you and you? ประโยคยอดฮิตที่เราเคยเรียนกันมาครับ ชื่อหนัง คุณวิสูตร พูลวรลักษณ์ เป็นคนตั้งครับ หลังจากที่ได้อ่านบทหนังและได้เห็นบางส่วนของหนังแล้ว  จริงๆ ชื่อนี้บอกอยู่ 3 อย่างครับ 1.คือ หนังเรื่องนี้จะมีภาษาอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้องจากชื่อหนัง 2.คือ มีเรื่องของความรักเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะมีคำว่า “เลิฟยู้” อยู่ด้วย และ 3.คือ มีความเป็น Comedy อยู่ด้วยจากคำว่า ไอฟาย ชื่อนี้ได้มาตั้งแต่เริ่มเปิดกล้องแล้วครับ

Mr. Coffee : แนวรวมมิตรหรือครับ

เมษ : ก็เป็นหนัง Romantic Comedy นะครับ มีรักและตลกอยู่ในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน ถ้าเทียบกับ ATM เออรักเออเร่อ ATM อยู่ในกลุ่ม Comedy Romantic ตลกมากกว่าความรัก ส่วนเรื่องนี้ความรู้สึกของความรักมากกว่า ATM ในขณะที่ความตลก เราก็จะประคองมันไว้ด้วย ที่จริงก็เป็นความท้าทายของผมเหมือนกันที่ปกติผมทำหนังอยากให้คนดูหัวเราะ แต่เรื่องนี้ผมอยากให้คนดูรู้สึกอะไรมากกว่านั้นด้วย ส่วนจะถึง 50:50 หรือไม่ระบุยากครับ บางทีฉากรักผมก็ให้ Detail ทีมีอารมณ์ขันกับมัน ฉากตลกผมก็รู้สึกถึงบรรยากาศรักเหมือนกัน

Mr. Coffee : มีสัดส่วนของ Drama บ้างไหม

เมษ : ผมคงค่อนข้างจะแปลกใจกับมันเหมือนกันนะครับ ตั้งแต่เริ่ม Project และอยู่กับมันมา ผมก็เห็นนักแสดงนำเสนอ Moment ของตัวละครออกมาได้ซึ้งเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้บอกใคร บางครั้งก็แอบฟื้ดๆ นิดนึงเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าคนดูจะไปถึงความรู้สึกที่ผมได้รับในวันที่ออกกองวันนั้นหรือไม่ ลองดูครับ ผมว่ามีสิทธิ หนังเรื่องนี้เริ่มฉายให้ชาว GTH เริ่มดูแล้วเหมือนกัน แต่ต่างคนก็มองคนละมุม บางคนก็มองว่าเป็นหนังตลกเหมือนเดิม บางคนก็มองว่าเป็นหนังรักแล้ว บางคนก็บอกว่าตลกมากกว่ารัก ก็แล้วแต่มุมมองครับ

Mr. Coffee : กังวลกับ BRAND “หนังรัก GTH” แค่ไหน

เมษ : ไม่หรอกครับ เพราะหนังรักแต่ละเรื่องไม่ว่าจะไทยและเทศ ก็มีแก่นของมัน หนังเรื่องนี้แก่นคือเราเล่าเรื่องของติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษ กับคนที่มาเรียนภาษาอังกฤษ แล้วเกิดความรักโดยไม่เจตนา คิดว่าคงไม่เหมือนกับหนังรักเรื่องอื่นๆ ก็เลยไม่กังวลครับ

Mr. Coffee : เหตุผลในการเลือกนักแสดง

เมษ : สำหรับ “ไอซ์” จริงๆ แล้ววันที่เริ่มเขียน Project นี้ ก็มีนักแสดงคนนี้เป็นนางเอกแล้วครับ เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ต้องการนางเอกพูดภาษาอังกฤษได้ดีอยู่ในระดับที่เราจะเชื่อว่าเขาเป็นติวเตอร์ภาษาอังกฤษได้จริงๆ ซึ่งน้องเขาเป็นคนที่มีความสามารถเฉพาะตัวด้านภาษาอยู่ครับ ประกอบกับรู้มือกันอยู่แล้ว และเท่าที่รู้จัก “ไอซ์” มีมุมอื่นอื่นที่ดีและอยากให้คนได้เห็นมากกว่าที่เห็น ATM อยู่เยอะ ยังมีความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่อีก ส่วน “ซันนี่” ผมมานึกถึงเขาตอนที่เขียนบทใกล้เสร็จครับ เพราะเมื่อพอเห็นตัวละครนี้ชัดเจนขึ้น เริ่มมองเห็นน้ำเสียงของเขามากขึ้น กริยาอาการในจินตนาการเริ่มชัดเจนมากขึ้น ก็นึกถึงตัวละครที่มี Feeling ใกล้กับตัวละครนี้มากที่สุด ก็นึกถึง “ซันนี่” ขึ้นมา เพราะว่าด้วยนิสัยส่วนตัวของเขาแล้วเอามาเทียบกับตัวพระเอกของเรื่องที่ชื่อ “ไอ้ยิ้ม” นี่แล้ว มีความคล้ายกันบางอย่างอยู่ ก็เลย ไปชวน “ซันนี่” เล่น ทีแรกก็กลัวเขาไม่รับเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็มา ถึงวันนี้ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่ใช่ “ซันนี่” แล้วควรเป็นใคร

Mr. Coffee : ทำไมถึงเลือก “ตู่ ภพธร” ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการแสดง

เมษ : “ตู่” มี Character นะ คือตัวละครตัวหนึ่งในท้องเรื่องต้องเป็นคนที่บ้านมีฐานะดี ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น โรแมนติก แล้วก็มีภาพของผู้ชายคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาครับ คือ “ตู่ ภพธร” เพราะเวลาทำไมเขาออกทีวีทีไร ก็ผู้หญิงที่อยู่รอบๆ คอยกรี๊ดอยู่ตลอดเวลา เลยคิดว่าคนนี้ต้องมีอะไรพิเศษ ก็เลยเริ่มฟังเพลงของเขา ก็พบว่าเพลงเขาอบอุ่น ก็พบเลยว่าใกล้เคียงกับ Character ของ “คุณพฤกษ์” ในเรื่อง และเมื่อถามผู้หญิง ผู้หญิงทุกคนก็จะมีอาการบางอย่าง กลั้วยิ้ม ปลาบปลื้ม ก็เลยชวนเขามาแคส พอดีกับที่บทนี้ต้องการคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ และ “ตู่” ก็เคยเรียนเมืองนอกมานาน ก็ลงตัวพอดี

Mr. Coffee : ความคาดหวังด้านรายได้

เมษ : ส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่คาดหวังเรื่องรายได้ครับ แต่คาดหวังกับคนดูมากกว่า ว่าจะชอบหนังเราหรือไม่ จะรู้สึกดีกับสิ่งที่เราทำมั้ย ส่วนเรื่องของรายได้หนัง ผมว่าถ้าคาดหวังแล้วมันไม่ดีกับการทำงานครับ แต่คนอื่นอาจจะคาดหวัง เพราะมันเคยเกิดขึ้นกับเรื่องที่แล้ว ตอน ATM ผมก็เคยคาดหวังนะครับ แต่บางอย่างบอกเราว่า ณ วันที่หนังฉาย มันพร้อมจะมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น ก็เลยมองว่า ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอ

Mr. Coffee : แนวหนังที่ชอบดู

เมษ : ผมชอบดูหนังที่ดูแล้วมันบันเทิงครับ บันเทิงในที่นี้อาจจะเกิดจากเสียงหัวเราะ หรือกลัวผี ผมก็ถือว่ามันบันเทิงนะ แต่พยายามจะหลีกเลี่ยงหนังที่ดูแล้วร้องไห้ หดหู่ รู้สึกว่ามันเป็นความบันเทิงที่ซาดิสม์ยังไงไม่รู้ครับ จริงๆ แนวนี้ส่วนใหญ่เป็นหนังที่ดีนะครับ ควรค่าแก่การยกย่อง แต่ดูแล้วมันไม่บันเทิง คือผมเข้าโรงหนังแล้วอยากมีความสุข อยากกรี๊ดกลัวผี พระเอกนางเอกคู่นี้น่ารักมาก มันจะรักกันตอนไหน มากกว่าไปดูคนเถียงกันทะเลาะกัน แม้ว่าหนังเรื่องนั้นจะดีมากขนาดไหนก็ตาม ผมทำหนังที่ผมอยากดูครับ (หัวเราะ) หนังเทศที่ชอบก็เช่น  Northing Hill หรือ As good as it gets หรือการ์ตูนค่าย Pixar ผมก็ชอบดูครับทั้งอบอุ่น ตลกผมร้องไห้เพราะตื้นตันได้แทบทุกเรื่อง หนัง Action อย่าง X-Men ก็ชอบครับ ส่วนหนังไทยก็อย่าง บุญชู / บ้านผีปอบ / หนังของ “ยอร์ช ฤกษ์ชัย”

Mr. Coffee : แผนในอนาคต / แนวหนังที่อยากกำกับ

เมษ : ถ้าได้ทำก็อยากทำหนัง Thriller อาจจะเป็นผี หรือผีตลกก็ได้ครับ ส่วนพวกซีรีย์เคยทำแล้วครับใน ATM 2 มันเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ผมได้ลองครับ ใช้กล้อง 3 ตัว สวิทช์ชิ่งตัดกันที่หน้ากองเลย คือละครชุดนี่ต่างกับหนัง อุปสรรคมันก็เยอะนะครับ กล้องแต่ละตัวมีการเคลื่อนที่ แม้แต่ในขณะที่นักแสดงกำลังแสดง

Mr. Coffee : อยากฝากอะไรถึงคนดูหนังไทย

เมษ : ผมว่าคนทำหนังไทยก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วทุกคนนะครับ แต่ว่าความเต็มที่ความทุ่มเทของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน แต่เชื่อว่าไม่มีใครอยากจะทำหนังแบบว่าสักแต่ว่าทำแล้วก็ Success เพราะเห็นได้ชัดว่าความสำเร็จเกิดจากความทุ่มเทและความตั้งใจ แล้วก็ต้องพึ่งคนดูด้วย เพราะถ้าไม่มีคนดู เราก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ใครดู ถ้ามีหนังฝรั่งมาก็ดู แต่ถ้ามีหนังไทยก็อยากให้หันมาพิจารณาบ้าง อีกอย่างหนึ่งที่ทำลายวงการหนังไทยจริงๆ คือแผ่นผี เพราะเงินไม่ได้กลับมาสู่ระบบเลย

ฝากผลงานเก่าๆด้วยครับ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่