ถ้าคุณโดนคนไม่รู้จักมาถ่ายรูปคุณจะทำยังไงครับ (กรณีรองเท้าติดกล้อง)

- มองคนถ่ายด้วยความไม่พอใจ
- เดินหนี

มันคือเรื่องปกติที่คนทำกันใช่หรือไม่

พอดีเห็นคู่กรณีปมรองเท้าติดกล้องมาแถลงน่ะครับ
ขออนุญาตก็อปข้อความมาแล้วให้เครดิตข่าวตอนท้ายนะครับ




คู่กรณี ปมรองเท้าเจ้าปัญหาขอแจงผ่าน ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ยืนยัน เห็นจริงๆ พร้อมตั้งคำถาม หากรองเท้ามีกล้องจริง เจตนาคืออะไร?...

ภายหลังเกิดข้อพิพาทในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก เรื่องมีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะมีการซ่อนกล้องไว้ในรองเท้า จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ในวันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอนำทุกท่านไปฟังคำชี้แจงจากอีกฝ่าย ซึ่งเป็นคู่กรณีโดยตรงของ นายจิรวุฒิ ลิมปนาทไพศาล อายุ 28 ปี หนุ่มพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่ง เจ้าของรองเท้าเจ้าปัญหา ที่ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้เปิดใจไปแล้ว วานนี้ (24 ธ.ค.57) http://www.thairath.co.th/content/470982

วันที่ 25 ธ.ค.57 นายจักรเพชร พวงมาลา อายุ 29 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊ก jakaphet paungmala ได้กล่าวเปิดใจกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ในเบื้องต้น ขอยืนยันก่อนว่า เรื่องที่เกิดตนเองไม่ได้รู้จัก หรือมีความขัดแย้งกับคู่กรณีเป็นการส่วนตัวมาก่อน และเจตนาที่โพสต์รูปที่มีปัญหาดังกล่าว ก็ไม่ได้มีความมุ่งหวังจะให้ร้ายกับคู่กรณี หรือ ทำให้คู่กรณีโดนสังคมประณามจนได้รับความเสียหาย เพราะเจตนาที่แท้จริงนั้น ก็เพียงต้องการบอกกล่าวกับสังคม ว่าอาจจะมีเรื่องไม่เหมาะสมเกิดขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ขอยืนยันว่า วันที่เกิดเหตุคือในวันที่ 20 ธ.ค.57 ช่วงเวลาประมาณเย็นๆ ได้โดยสารรถไฟฟ้า BTS มากับเพื่อนและนั่งติดกัน จากนั้นได้สังเกตเห็นคู่กรณี ยืนเกาะห่วงอยู่ตรงข้ามกับตนเองและเพื่อน ทำให้สังเกตเห็นว่า ภายในรูขาดของรองเท้าของคู่กรณีนั้น มีบางสิ่งลักษณะคล้ายเลนส์กล้องขนาดเล็กเท่ารูเข็มติดอยู่ ด้วยความตกใจ และคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ผิดปกติ ตนเองจึงได้ตัดสินใจใช้มือถือของตนเอง ถ่ายรูปรองเท้าของคู่กรณีเอาไว้ และกระซิบบอกกับเพื่อนที่มาด้วยกัน ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดว่า "ผู้ชายคนนี้ น่าจะมีกล้องติดอยู่ที่รองเท้า" แต่ด้วยความที่ลืมปิดเสียง ทำให้ในเวลากดชัตเตอร์จึงเกิดเสียงดังขึ้น ซึ่งเมื่อคู่กรณีได้ยิน ก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า เพราะเหตุใดคู่กรณีจึงเดินหนีออกไปทันที นอกจากนี้ ก่อนที่คู่กรณีจะลงจากรถ ยังได้มองมาที่ตนเองและเพื่อนด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจด้วย ทั้งนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ ก็ได้นำรูปดังกล่าว ไปโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเจตนาเพียงอยากจะเตือนสังคมเท่านั้น

ส่วนที่คู่กรณี ออกมาชี้แจงผ่าน ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า สาเหตุที่รองเท้ามีรูนั้น เกิดจากสะเก็ดไฟที่กระเด็นมาโดนรองเท้าในช่วงการทำงาน และได้นำรูปของรองเท้าวันที่เกิดเหตุมาแสดงนั้น ตนเองอยากตั้งข้อสังเกตนิดนึง ว่า หากเป็นรูที่เกิดจากสะเก็ดไฟจริง เหตุใดรูของรองเท้า จึงมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมเรียบร้อยเหมือนโดนเอามีดกรีด ทั้งๆ ที่ หากโดนสะเก็ดไฟจริงรูของรองเท้าน่าจะมีลักษณะเป็นวงกลมมากกว่า ซึ่งทำให้น่าจะมีลักษณะคนละรูปทรงกับรูปของรองเท้าที่ตนเองถ่ายได้ในวันที่เกิดเหตุ และนำมาแสดงให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ได้ดูในวันนี้ด้วย

ทั้งนี้ ขอยืนยันถึงความบริสุทธิ์ใจอีกครั้ง แต่หากจะมาหาว่าตนเองพูดโกหก ก็คงจะยอมไม่ได้ เพราะตนเองไม่ได้เป็นคนแบบนั้น อีกทั้งอยากให้คิดกันด้วยว่า ตนเองจะไปหาเรื่องทำร้ายคู่กรณีทำไม เพราะก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน

อย่างไรก็ดี เมื่อทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ สอบถามในประเด็นว่า ในวันเกิดเหตุได้สังเกตเห็นหรือไม่ว่า คู่กรณีมีพฤติกรรมที่โน้มเอียง หรือ แสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการกระทำไม่เหมาะสมหรือไม่นั้น นายจักรเพชร ยอมรับว่า คู่กรณีไม่ได้มีพฤติกรรมใดๆ ที่ส่อไปในทางนั้น เพราะคนที่ยืนอยู่ข้างๆ คู่กรณีเป็นผู้ชาย แต่ในประเด็นนี้ อยากอธิบายว่า ตนเองไม่เคยไปกล่าวหาคู่กรณีเลยว่า จะไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพียงแต่อยากจะบอกสังคมว่า หากเป็นเหตุการณ์ปกติ คนที่มีกล้องอยู่ที่รองเท้านั้น เจตนามันคืออะไร เท่านั้น

ทั้งนี้ หลังจากเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมถาโถมเข้าใส่ตนเองอย่างหนัก ส่วนหนึ่งก็ยอมรับเสียใจ และรู้สึกท้อ และเสียกำลังใจมาก เพราะตนเองมีเจตนาที่ดีต่อสังคม ขณะที่จะมีการฟ้องกลับคู่กรณีหรือไม่นั้น คงต้องขอปรึกษาหารือกับทางทนาย หรือผู้ใหญ่ที่ตนเองเคารพก่อน

Credit.http://www.thairath.co.th/content/471204

สรุปคือคนโดนกล่าวหาไม่คิดจะฟ้องแต่คนไปกล่าวหาเขากำลังตัดสินใจเรื่องฟ้องร้อง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่