= กระทู้เตือนภัย – แอลเออันตราย =

ฉันนึกว่ากระทู้ถัดไปของตัวเองจะเป็นกระทู้รีวิวทริปคันไซใบไม้เปลี่ยนสีที่ไปมาเดือนพ.ย.  ไม่คิดไม่ฝันว่าต้องเปลี่ยนแผนเป็นกระทู้เตือนภัยเกี่ยวกับแอลเอ    ฉันจะพยายามเล่าเรื่องให้ละเอียดที่สุด  เพื่อให้เพื่อน ๆ เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและได้ประโยชน์จากการอ่านกระทู้มากที่สุด

ฉันเป็นคนไทยที่ทำงานในมะนิลา  ต้องเดินทางไปประชุมที่แอตแลนตา  เลยวางแผนแวะเยี่ยมเพื่อนคนไทยที่แคลิฟอร์เนีย  ทริปนี้มีเพื่อนคนศรีลังกาเดินทางด้วย  โดยเดินทางถึง LAX วันที่ 17 ธ.ค. และจะกลับมะนิลาคืนวันที่ 21 ธ.ค. ซึ่งจะถึงมะนิลาเช้า 23 ธ.ค. และจะกลับไทย 24 ธ.ค.  เมื่อ 5 ปีก่อนเคยเดินทางแบบนี้มาแล้ว  ช่วงอยู่ที่แคลิฟอร์เนียเพื่อนจะพาไปส่งตามห้างหรือแหล่งช้อปปิ้ง  แล้วค่อยมารับตอนเย็น  ครั้งนี้ฉันคิดว่าคงเป็นเหมือนเดิม  ไม่ได้วางแผนเที่ยวอะไรนัก

พอถึงบ้านเพื่อน  เพื่อนถามว่าพรุ่งนี้ (18 ธ.ค.) จะไปไหน  ฉันลองหาข้อมูลดู  อยากไปแถว Hollywood แต่พอเช้าเพื่อนคนศรีลังกาเปลี่ยนใจขอตัวไม่ไป  เพื่อนคนไทยเลยไปส่งฉันที่ Harbor Gateway Transit Centre Station เพื่อให้ฉันนั่งเมโทรไปตามเส้นทางที่หาในกูเกิ้ลไว้  และนัดเจอกันที่เดิมตอนเย็น  ฉันดาวน์โหลดตารางรถไว้ด้วยเพื่อกะเวลาว่าต้องออกจากสถานีไหนกี่โมง  ขาไปราบรื่น  เที่ยวคนเดียวด้วยความสุข  พอขากลับฉันมาที่ Figueroa/7th Street ซึ่งเป็นจุดที่ฉันลงรถตอนเช้าเพื่อต่อรถกลับ  แต่ถนนเป็น one-way เลยเดินย้อนลงไปเรื่อย ๆ ตามทางที่รถวิ่งมาตอนเช้า  ยิ่งเดินไปก็ไม่เจอสถานีขึ้นรถกลับ  ทั้ง ๆ ที่อีกฝั่งรถสายที่นั่งไปได้มาตลอดเวลา  ถามคนข้างทางก็ไม่มีใครช่วยได้  แผนที่ก็ไม่มี  เลยส่งข้อความหาเพื่อนคนไทยให้หาข้อมูลให้หน่อยว่าป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน  (ตอนนั้นฉันอยู่ที่ Figueroa/Adams)  รอซักพักเพื่อนไม่ตอบ  ก็คะเนได้ว่าคงติดประชุม  เลยเดินไปดูป้ายรถเมล์  เห็นว่ารถที่ผ่านไปสุดสายที่ Harbor Freeway Station ซึ่งฉันสามารถไปต่อรถเพื่อไป Harbor Gateway Transit Centre Station ได้  พอขึ้นรถฉันเลยส่งข้อความไปบอกใหม่ว่าขึ้นรถเพื่อไปต่อรถแล้ว  ไม่ต้องห่วง

ระหว่างนั่งบนรถเมล์  ฉันสังเกตว่ามีเพียงคนขับผู้หญิงกับฉันเท่านั้นที่ไม่ใช่แอฟริกันอเมริกัน  เลยระมัดระวังตัว ตอนที่รถถึงสถานีปลายทางเป็นเวลาห้าโมงกว่า  ฟ้ามืดหมดแล้ว  ฉันข้ามถนนไปที่ตัวสถานี Harbor Freeway ถ้าขึ้นบันไดไปจะเป็น Green Line  แต่ถ้าลงบันไดจะเป็น Silver Line ซึ่งเป็นสายที่ฉันต้องนั่ง  ตรงสถานีมีไฟสว่าง  บันไดลงมีสองทาง ฝั่งซ้ายกับขวา  ฉันเห็นผู้ชายแอฟริกันอเมริกันยืนอยู่คนเดียวทางบันไดฝั่งขวา  ด้วยสัญชาตญาณจึงเลี่ยงไปลงบันไดฝั่งซ้าย  พอเดินลงบันไดไปได้ครึ่งนึงก็รู้สึกได้ว่าตัวลอยหมุนในอากาศ  ทุกอย่างกลับหัวกลับหางไปหมด (คนร้ายถีบฉันตกบันไดจากข้างหลัง) สมองประมวลผลคิดได้ว่า
1.    โดนดีเข้าแล้ว  ไม่งั้นจะอยู่สภาพนี้ได้ยังไง
2.    ตลกตัวเองจัง  กลัวความสูง  ไม่กล้านั่งรถไฟเหาะตีลังกา  แต่ตอนนี้อยู่ในสภาพนั้น
3.    เอาไงต่อ

หลังจากนั้นตัวของฉันก็กระแทกพื้น  หน้ากับแขนด้านซ้ายลงก่อน อยู่ตรงตีนบันได  ส่วนขากระแทกบันไดอยู่ด้านบน (คือด้านหน้ากระแทกบันไดโดยที่หัวอยู่ข้างล่าง)  ตอนนั้นกระเป๋าสะพายยังอยู่ตรงแขนด้านขวา  ส่วนมือด้านซ้ายที่ถือถุงช้อปปิ้ง  ของกระเด็นระเนระนาดกับพื้น  ความแรงที่ตกลงมาทำให้รองเท้ากระเด็นออกจากเท้า  ฉันรู้ว่าคนร้ายต้องมากระชากกระเป๋าไป  ซึ่งก็มาตามคาด  ฉันพยายามยื้อไว้แต่สู้แรงไม่ได้  คนร้ายกระชากกระเป๋าแล้ววิ่งขึ้นไปทางเดิม  ฉันลุกขึ้นมา ตั้งสติ ใส่รองเท้า  แล้ววิ่งตามคนร้ายขึ้นไปข้างบน  พอถึงสถานีมีคนประมาณสิบคน  ฉันร้องให้ช่วย  ทุกคนดูตกใจแต่ก็ไม่ได้หยุด  ฉันวิ่งไปตรงถังขยะเผื่อคนร้ายจะเอาแต่ของมีค่าไปแล้วทิ้งกระเป๋าไว้  แต่ไม่เจอ  มีคนที่เห็นฉันและสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่สี่คน  สามคนมาด้วยกัน เป็นชายหนึ่ง หญิงสอง  และผู้หญิงอีกคนมาคนเดียว  ทุกคนเป็นแอฟริกันอเมริกัน  ผู้หญิงสองคนพากันไปโทรศัพท์แจ้งตำรวจ  ผู้หญิงอีกคนที่มาคนเดียวคอยดูว่าฉันได้รับการช่วยเหลือ  ก่อนที่จะกอดฉันเพื่อปลอบขวัญแล้วขอตัว  หลังจากโทร.แจ้งตำรวจแล้ว  เค้าช่วยกันไปดูสถานที่เกิดเหตุและเก็บของที่ตกตามพื้นให้ฉันทั้งหมด  ทิ้งของที่ใช้ไม่ได้หรือแตกแล้ว  และรอจนเจ้าหน้าที่มาถึง  แล้วให้เงิน 20 ดอลลาร์พอรู้ว่าฉันไม่มีเงินติดตัว  ฉันขอชื่อและอีเมล์พลเมืองดี  แต่พวกเค้าไม่ยอมให้  บอกว่าไม่เป็นไรจริง ๆ และเสียใจที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับฉัน  พวกเค้าบอกว่าแถวนี้ไม่ปลอดภัย  แม้แต่เค้ายังไม่กล้าเดินคนเดียว  แต่ฉันเป็นนักท่องเที่ยวจึงไม่รู้

หน่วยงานแรกที่มาถึงคือ LA Fire Department  เจ้าหน้าที่ 2 คนถามว่าโอเคหรือเปล่า  ต้องการไปโรงพยาบาลมั้ย  ฉันคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไร  แค่หัวโน  ข้อมือ มือข้างซ้ายเลือดออก  และเจ็บเข่าข้างขวา เลยบอกว่าไม่ต้อง  นอกจากนั้น ฉันอยากรีบไปหาเพื่อนที่จุดนัดพบ  เพราะตัวเองจำเบอร์มือถือเพื่อนไม่ได้  ไม่รู้จะติดต่อยังไง  และไม่แน่ใจเรื่องประกันด้วย  เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลตรงข้อมือให้และให้ถุงน้ำแข็งประคบศีรษะระหว่างสอบสวนเหตุการณ์  และเช็ค app Find My iPhone ให้  แต่เครื่อง off-line  ต่อจากนั้นหน่วยงาน Sheriff Metro กับเจ้าหน้าที่ Metro ก็มา  เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องรอ Sheriff ท้องที่  ระหว่างรอทางเจ้าหน้าที่ก็บอกให้ยืนรอแล้วก็หายไป  ฉันกลัวเหมือนกันที่ต้องยืนอยู่คนเดียวแบบนั้น  แต่ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นรถ Sheriff อีกคันมาจอด  ซึ่งน่าจะเป็น Sheriff ท้องที่ที่รออยู่  มาเดาทีหลังว่าเจ้าหน้าที่หายกันไปดูกล้องวงจรปิดซึ่งมีติดในสถานี  แต่โชคร้ายจุดที่เกิดเหตุไม่มีกล้อง  เจ้าหน้าที่บอกว่าคนร้ายน่าจะรู้ข้อนี้เลยก่อเหตุ

การแต่งตัวของฉัน ใส่คาร์ดิแกน กางเกงยีนส์ เสื้อโค้ทดาวน์ของยูนิโคล่  ซึ่งไม่ได้หรูหราอะไร  แต่สาเหตุที่ตกเป็นเหยื่ออาจเป็นเพราะตัวเล็กบางด้วย  คนร้ายคงเห็นว่าไม่น่าจะต่อสู้ได้  ของที่หายหลัก ๆ คือ
•    กระเป๋าผ้ายี่ห้อ Colours by Jennifer Sky ราคาประมาณ 4,000 บาท
•    กระเป๋าสตางค์ Louis Vuitton มีเงินสด USD กับเปโซอย่างต่ำ 400 ดอลล่าร์
•    มือถือ iPhone 5
•    แว่นกันแดด Super
•    พาสปอร์ต 4 เล่ม (ปกติไม่พกเยอะ แต่ตอนเข้าประเทศเผื่อเจ้าหน้าที่ขอดู  เพราะเล่มที่มีวีซ่าไม่ใช่เล่มปัจจุบัน)
•    บัตรเครดิต 4 ใบ
•    บัตร ATM/Debit Card 2 ใบ
•    กุญแจคอนโดทั้งที่มะนิลาและกรุงเทพฯ

ระหว่างสอบสวน  เจ้าหน้าที่ชมเรื่องจำหมายเลขหนังสือเดินทางได้  ฉันกังวลว่าต้องเดินทางกลับวันอาทิตย์ ซึ่งแปลว่ามีเวลาทำหนังสือเดินทางแค่วันศุกร์เท่านั้น  ไม่แน่ใจว่าจะเดินทางกลับมะนิลาได้หรือไม่  เจ้าหน้าที่ให้ police report ไว้เพื่อช่วยในการเดินเรื่องกับสถานทูต  ถึงฉันจำหมายเลขมือถือเพื่อนไม่ได้  แต่จำชื่อภาษาไทยที่สะกดเป็นภาษาอังกฤษ และที่อยู่ได้ถูกต้อง  ซึ่งทึ่งกับตัวเองเพราะตอนทำงานด้วยกันยังจำชื่อเพื่อนไม่ได้  โชคร้ายที่เพื่อนไม่มีหมายเลขบ้าน  เจ้าหน้าที่เลยโทร.ไปที่บ้านไม่ได้  Sheriff อาสาไปส่งฉันที่จุดนัดพบ  ตอนนั้นก็ทุ่มนึงแล้ว  เราวนสองรอบ ฉันถึงกับลงไปดู แต่ก็หาเพื่อนไม่เจอ  เลยขอให้ Sheriff ขับไปส่งบ้านเพื่อน  มารู้ทีหลังว่าเพื่อนนั่งรออยู่และเห็นรถตำรวจวนไปมา แต่ไม่รู้ว่าฉันอยู่กับตำรวจ  ฉันถาม Sheriff ว่าเกิดเหตุแบบนี้เยอะมั้ย  เค้าบอกว่าไม่เยอะ  ส่วนใหญ่จะวิ่งราวเฉย ๆ แต่ไม่โดนทำร้ายร่างกายแบบนี้

พอถึงบ้านเพื่อน  เพื่อนคนศรีลังกามาเปิดประตูรับและให้เบอร์มือถือเพื่อนคนไทย Sheriff ไปเพื่อให้ติดต่อถ้ามีความคืบหน้า  แล้วก็บอกเพื่อนที่ยังรอที่จุดนัดพบให้กลับบ้าน  ฉันติดต่อเจ้านายที่ออฟฟิศกรุงเทพฯ รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เพื่อน ๆ ช่วยกันหาเบอร์ hotline สถานกงสุลใหญ่ที่แอลเอให้  เจ้าหน้าที่ให้รายละเอียดอย่างดีว่าต้องใช้เอกสารใดบ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่