เกร็ดตำนาน Middle-earth tales ฉบับพิเศษ Part III ว่าด้วยลอธลอริเอน นิมรอเดลและอัมร็อธ

ขอโฆษณาจึ๋งนึง กระทู้เก่าเงี๊ยบเงียบ คอมเม้นต์กันบ้างจิ เฟลนะเนี่ย อุตส่าห์แปลมา เงียบเป็นเป่าสากเลย
http://ppantip.com/topic/33002070 เกร็ดตำนาน ตอนแรก ว่าด้วยพ่อมด
http://ppantip.com/topic/33007306 เกร็ดตำนาน ตอนที่สอง ว่าด้วย ธรันดูอิล และกำเนิดอาณาจักร Woodland Realm

เกร็ดตำนาน Middle-earth ตอนที่สามครับผม วันนี้จะนำเสนอเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักของเอล์ฟคู่หนึ่งที่ หากคุณยังจำได้เมื่อครั้งที่พันธมิตรแห่งแหวนเดินทางมาถึงลอริเอนเป็นครั้งแรก ทั้งหมดได้มาเยือนน้ำตกแห่งหนึ่งอันมีนามเดียวกันกับเอล์ฟสตรีผู้งดงาม นิมรอเดล (Nimrodel) เลโกลัสได้ขับเพลงอันแสนเศร้าเกี่ยวกับนางและคู่รักของนางอัมร็อธ (Amroth) ให้ทุกคนได้ฟัง ใครที่เคยอ่าน The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring คงพอคุ้นๆกันมาบ้าง แต่ใครไม่เคยไม่เป็นไร เราจะมาเล่าให้ฟัง



An Elven-maid there was of old,
A shining star by day:
Her mantle white was hemmed with gold,
Her shoes of silver-grey.

A star was bound upon her brows,
A light was on her hair
As sun upon the golden boughs
In Lórien the fair.

Her hair was long, her limbs were white,
And fair she was and free;
And in the wind she went as light
As leaf of linden-tree.

Beside the falls of Nimrodel,
By water clear and cool,
Her voice as falling silver fell
Into the shining pool.

Where now she wanders none can tell,
In sunlight or in shade;
For lost of yore was Nimrodel
And in the mountains strayed.

The elven-ship in haven grey
Beneath the mountain-lee
Awaited her for many a day
Beside the roaring sea.

A wind by night in Northern lands
Arose,and loud it cried,
And drove the ship from elven-strands
Across the streaming tide.

When dawn came dim the land was lost,
The mountains sinking grey
Beyond the heaving waves that tossed
Their plumes of blinding spray.

Amroth beheld the fading shore
Now low beyond the swell,
And cursed the faithless ship that bore
Him far from Nimrodel.

Of old he was an Elven-king,
A lord of tree and glen,
When golden were the boughs in spring
In fair Lothlórien.

From helm to sea they saw him leap,
As arrow from the string,
And dive into the water deep,
As mew upon the wing.

The wind was in his flowing hair,
The foam about him shone;
Afar they saw him strong and fair
Go riding like a swan.

But from the West has come no word,
And on the Hither Shore
No tidings Elven-folk have heard
Of Amroth evermore.


ในอาณาจักรลอธลอริเอน (Lothlorien) มีสถานที่หนึ่งที่เป็นสถานที่แห่งความทรงจำอันแสนสุขของของคู่พระนางประจำเรื่อง LOTR อารากอนและอาร์เวน สถานที่นั้นอยู่ ณ ใจกลางของนครหลวงโบราณแห่งลอริ สถานที่ที่ทั้งสองปฏิญาณรักต่อกัน สถานที่ที่ดอกเอลานอร์ (Elanor) และนีเฟรดีล (Niphredil) ผลิบาน ย้อนกลับไปเมื่อโลกยังเยาว์กว่านี้ในยุคที่สาม ณ ที่แห่งนั้นคือที่ประทับของกษัตริย์เอล์ฟแห่งลอธลอริเอน หรือ ชื่อในตอนนั้นว่า เลาเรลินโดเรนัน (Laurelindorenan) หุบผาแห่งเสียงเพลงสีทอง พระองค์มีนามว่าอัมร็อธ

เช่นเดียวกับอาณาจักรของชาวเอล์ฟแห่งกรีนวู้ด  ประชาชนของลอริเอนแต่เดิมคือชาวซิลวัน และเฉกเช่นเดียวกันกับโอโรแฟร์และธรันดูอิล อันเดียร์ (Amdir) บิดาของอัมร็อดก็คือเอล์ฟชาวซินดาร์ที่อพยพข้ามหุบเขามาและได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์โดยชาวซิลวัน หากแต่อัมเดียร์สิ้นพระชมน์ไปในสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย อัมร็อธจึงขึ้นปกครองต่อจากพระบิดา อัมร็อดสร้างวังของตนขึ้น ณ เนินดินแห่งหนึ่งบนยอดสุดของต้นไม้ใหญ่เขาสร้างเรือนหลังหนึ่งบนยอดไม้นั้น ได้ชื่อต่อมาว่า เคริน อัมร็อด (Cerin Amroth) เนินดินของอัมร็อธ เนินนั้นล้อมรอบด้วยวงของพฤกษางดงาม และบนเนินประดับด้วยดอกไม้งดงามสองชนิด เอลานอร์และ นีเฟรดีล เหตุผลเดียวที่เขาสร้างเรือนของเขาขึ้น ณ ที่แห่งนั้นก็ด้วยความรักที่มีต่อสตรีนางหนึ่งนามว่า นิมรอเดล

อัมร็อดรักนิมรอเดลยิ่งนัก และนางก็มีความรักต่อเขาเช่นกัน หากแต่ทั้งสองไม่อาจเคียงคู่กันได้ นางปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขา อัมร็อดนั้นเป็นชาวซิลดาร์ เขามีทั้งความกล้าหาญ ปัญญาและงดงามสมกับเป็นหนึ่งในชาวเอลดาร์ หากแต่นางเป็นเพียงซิลวันเอล์ฟต่ำต้อย ทั้งนี้นางยังไม่อาจรับรักแก่เอล์ฟผู้อพยพมาจากตะวันตก นางถือว่าพวกเขานำมาซึ่งความเศร้าโศกและสงครามอันทำลายความสุขที่มีมาแต่ครั้งก่อน นางเจรจาด้วยภาษาของผู้คนของนางเท่านั้น และอาศัยลำพังอยู่ริมน้ำตกใหญ่ซึ่งให้กำเนิดสายน้ำอันเป็นที่มาของนามของตัวนางเอง (นิมรอเดล หมายถึง สตรีแห่งโถงถ้ำสีขาว)

วันหนึ่งสันติสุขแห่งลอริเอนก็ถูกทำลาย ในปีที่ 1980 ของยุคที่สาม เหล่าชาวแคระแห่งมอเรียขุดลึกลงไปในเหมือง และได้ไปปลุกหายนะเข้า บัล็อคแห่งมอร์ก็อธที่แอบซ่อนอยู่นับแต่สิ้นสุดสงครามแห่งความโกรธาในยุคที่หนึ่งได้ตื่นขึ้น มัยสังหารกษัตริย์ดูรินที่หกของคนแคระ และในปีถัดมากษัตริย์นาอินที่หนึ่งก็ถูกสังหาร เหล่าคนแคระหนีออกจากมอเรีย พวกออร์คเข้ายึดครองมอเรียและรุกรานมาจนถึงชายแดนลอริเอนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน พวกเอล์ฟที่อาศัยอยู่ ณ ชายขอบของลอริเอนต่างพากันละทิ้งถิ่นฐาน  นิมรอเดลก็เช่นกัน นางหลบหนีไกลออกไปทางใต้ หากแต่อัมร็อดก็ตามหานางจนมาพบกันที่ชายป่าแฟงกอร์นที่นางไม่กล้าเดินเข้าไป ณ ที่แห่งนั้นทั้งสองได้พูดคุยกัน

“เช่นนั้นจงทำให้มันเป็นจริงเถิด หม่อมฉันจักวิวาห์ด้วยพระองค์ หากแต่พระองค์จักต้องพาหม่อนฉันไปยังดินแดนอันมีแต่สันติ” นิมรอเดลกล่าวแก่อัมร็อด และเขาก็รับคำ และจักละทิ้งผู้คนของเขาแม้ในยามที่ผู้คนเหล่านั้นต้องการเขาอย่างที่สุด

“หาแต่สถานเช่นนั้นหามีไม่ในแดนมัชฌิมโลกแห่งนี้” อัมร็อดตอบ “และจักไม่มีที่แห่งใดสำหรับชนชาวเอล์ฟ เราจักต้องหาหนทางข้ามมหาสมุทรไปยังแดนประจิม” และเขาได้เล่าให้นางฟังถึงท่าเรือในทิศใต้ ที่ผู้คนของเขามากมายล่องเรือจากไป

“พวกเขาจากไปแล้ว พวกเขาล่องเรือข้ามไปยังแดนประจิม หากแต่บางคนยังคงรออยู่ ยังคงสร้างนาวาที่จะพาญาติของเราทุกผู้ข้ามทะเลไป จากแดนมัชฌิมไปนิรันดร์กาล กล่าวกันว่าพรแห่งเหล่าวาลาร์ยังสถิตย์อยู่กับทุกผู้ที่เข้าร่วมเดินทางในครั้งเก่าก่อน แม้นว่าเขาเหล่านั้นจะมิได้มาถึงยังฝั่งทะเล และข้ามไปสู่ดินแดนหางพระพรก็ตาม”

พวกเขาจึงจากไปสู่แดนใต้ ล่วงเข้าสู่เขตแดนแห่งกอนดอร์ ซึ่งในขณะนั้นเป็รรัชสมัยของกษัตริย์เออานิลที่สอง กษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งกอนดอร์ก่อนการคืนบัลลังก์ของกษัตริย์เอเลสซาร์ ทั้งสองพลัดหลงกัน แต่เมื่อไรและอย่างไรนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และเมื่ออัมร็อดไปถึงยังท่าเรือเอล์ฟ เพียงเพื่อพบว่ามีเอลดาร์หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเรือที่รอคอยอยู่มีเพียงลำเดียวที่พร้อมจะใช้งานได้ พวกเค้ากำลังจะจากมิดเดิ้ลเอิร์ธไป พวกเขาต้อนรับอัมร็อดอย่างดีและยินดีที่จะให้ร่วมโดยสารเรือไปด้วย หากแต่นิมรอเดลมิได้อยู่ที่นั่น และพวกเขามิได้รอนางอยู่

“หากนางผ่านแผ่นดินกอนดอร์มา นางก็ไม่น่าจะถูกทำร้าย อาจได้รับความช่วยเหลือเสียด้วยซ้ำ ด้วยมนุษย์แห่งกอนดอร์เป็นคนดี และกษัตริย์ของพวกเขาเป็นทายาทของสหายเอล์ฟแต่ครั้งโบราณ ผู้ซึ่งสนทนาในภาษาของพวกเรา หากแต่บนภูเขาเต็มไปด้วยคนเถื่อนและสิ่งชั่วร้าย” พวกเขากล่าวแก่อัมร็อด
ฤดูกาลผันผ่านไปจนสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงมาถึง  รุนแรงและอันตรายแม้กระทั่งเรือของเหล่าเอล์ฟที่จอดรออยู่ หากแต่จะมีความเศร้าโศกใดเหนือไปกว่าอัมร็อดเล่า พวกเขาไม่อาจรอได้อีกต่อไป เมื่อวันหนึ่งพายุใหญ่เข้าถล่ม มันมาจากแดนไกลจากเหนือ ไล่มายังเอเรียดอร์ สู่อาณาจักรกอนดอร์ แม้แต่เทือกเขาขาวก็ไม่อาจป้องกันได้ เรือของเหล่ามนุษย์มากมายจมลงในอ่าวเบลฟาลัสต์และสาบสูญไปตลอดกาล หาดแต่เรือของเหล่าเอล์ฟแล่นออกไป พ้นจากอาณาเขตแห่งพิภพสู่โทลเอเรสเซอาในที่สุด หากแต่อัมร็อดมิอาจโดยสารเรือลำนั้นไปได้ แต่เมื่อพายุสงบลง อัมร็อดก็ได้ต่อเรือขึ้นหนึ่งลำ แล่นออกไปจากชายฝั่ง พร้อมตะโดนอย่างสิ้นหวัง “นิมรอเดล นิมรอเดล” เหล่าชาวทะเลที่อาศัยอยู่ ณ ริมอ่าวมองเห็นกษัตริย์เอล์ฟต่อสู้กับคลื่นลม มองหาสตรีอันเป็นที่รักยิ่ง กระทั่งแสงตะวันส่องผ่านหมู่เมฆกระทบเส้นผมของเขาเปล่งประกายระยิบระยับจับตาราวกับแสงทอง ไม่มีผู้ใดไม่ว่าเอล์ฟหรือมนุษย์ได้เห็นอัมร็อดบนดินแดนมิดเดิ้ลเอิร์ธอีกเลย ส่วนชะตากรรมอันบังเกิดแด่นิมรอเดลนั้น นางจะได้พบอัมร็อดคนรักของนางหรือไม่ หรือนางจะจบชีวิตลงและไปสถิต ณ ท้องพระโรงแห่งการรอคอยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ตราบจนวันสิ้นโลก



เกร็ดตำนานอีกชุดหนึ่งกล่าวไว้ถึงชะตากรรมของนิมรอเดล ดังนี้ หลังจากที่นางจากลอริเอนมา นางเฝ้าค้นหาท้องมหาสมุทร และหลงไปในเทือกเขาขาว นางเดินมาจนเจอลำธารสายหนึ่ง ที่ชวนให้ระลึกถึงลำธารที่มีชื่อเดียวกันกับนางในลอริเอน หัวใจของนางเอิบอิ่ม นางนั่งพักลงด้วยความเหนื่อยล้า มองแสงดาวสะท้อนบนผิวน้ำฟังเสียงนทีขับขานขณะที่มันไหลไปไกล สู่ท้องทะเล นางตกเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อันลึกล้ำ จนมืได้ไปพบอัมร็อดที่เบลฟาลัสต์ จนเรือของอัมร็อดถูกพัดออกทะเลไป นางจึงได้ตื่นขึ้นและมาพบกับความว่างเปล่า นางพยายามว่ายข้ามมหาสมุทรไป เพื่อไปหาชายอันเป็นที่รักยิ่งและสายสูญไปตลอดกาล

ภายหลังจากการสูญเสียกษัตริย์ไป ชาวเอล์ฟแห่งเลาเรลินโดเรนันไร้ซึ่งผู้นำเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งการมาถึงของเจ้าหญิงแห่งโนลดอร์และเจ้าชายซินดาร์ กาลาเดรียลและเคเลบอร์นนั่นเอง เหล่าซิลวันเอล์ฟจึงพร้อมใจยกทั้งสองขึ้นเป็นกษัตริย์และราชินีของตน หากแต่ทั้งสองปฏิเสธ ขอรับเป็นเพียงผู้ดูแลอาณาจักรเท่านั้น การมาถึงของทั้งสองสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่อาณาจักรมากมาย กาลาเดรียลนำเมล็ดมัลลอนที่ได้รับจากกษัตริย์กิล-กาลัดมาปลูกยังดินแดนแห่งใหม่ของนาง ย้ายนครหลวงไปยังคารัส กาลาธอน และด้วยพลังแห่งแหวนเนนย่า ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นอาณาจักรเอล์ฟที่งดงามที่สุดในยุคที่สาม กาลเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไร้ซึ่งมลทินใดๆ ทำให้กาลาเดรียลหวนระลึกถึงสวนงามในดินแดนวาลินอร์ซึ่งนางเคยเดินท่องอยู่เมื่อครั้งยังเยาว์ นางจึงเปลี่ยนชื่อดินแดนแห่งนี้ใหม่ จากเลาเรลินโดเรนัน กลายมาเป็นลอธลอริเอน หุบผาแห่งดอกไม้สีทอง

ภายหลังจากการจากไปของกาลาเดรียล ลอธลอริเอนได้เสื่อมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในปีที่ 120 ของยุคที่สี่ หลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์เอเลสซาร์ ราชินีสนธยาอาร์เวน อุนโดเมียลจากอาณาจักรกอนดอร์มาและเสด็จมายังเคริน อัมร็อธ สถานที่ที่ทั้งสองมีความรักให้แก่กันเป็นครั้งแรก นางสิ้นใจบนเนินนั้นในปีถัดมา หลุมศพของนางเป็นสีเขียวขจีด้วยหญ้า หากแต่ดอกเอลานอร์และนีเฟรดีลไม่เคยบานอีกเลย

*ดอกนีเฟรดีลนั้นเป็นสัญลักษณ์ของลูธิเอนผู้เป็นยายเทียดของอาร์เวน ลูธิเอนเป็นดารารุ่งอรุณ (Morning star of Eldar) ดอกไม้นี้บานครั้งแรกตอนที่ลูธิเอนถือกำเนิด และไม่เคยบานอีกเลยหลังจากการตายของอาร์เวนผู้เป็นดาราสนธยาของชาวเอลดาร์ (Evening star of Eldar)


สัญลักษณ์ประจำตัวตัวลูธิเอน ตรงกลางเป็นรูปดอกนีเฟรนดีล


** ครั้งหนึ่งอัมร็อดเคยถูกกำหนดให้เป็นบุตรชายของกาลาเดรียลและเคเลบอร์นซึ่งนั่นจะทำให้เขากลายเป็นพี่เขยของท่านเอลรอนด์ด้วย หากแต่ถูกเปลี่ยนมาเป็นบุตรของอัมเดียร์ในภายหลัง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  The Hobbit The Lord of the Rings J.R.R. Tolkien นิยายแปล The Hobbit: The Battle of Five Armies
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่