เรื่องราวจากทริปบุกคว้าแชมป์ถึง Bukit Jalil: นรกของทีมเยือน สวรรค์ของมิตรภาพฟุตบอล

The Egnlish translation start from comment no.153-156 or you can click this link. http://ppantip.com/topic/33014491/comment153



เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและคนไทยอีกราว ๆ พันกว่าคนได้มีโอกาสเดินทางไปทำภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ คือการเป็นกองหนุนหลักพันให้กับทีมช้างศึกของเราต่อสู้กับ "Harimau Malaya" เสื้อร้ายมลายูที่มีแฟนบอลพันธุ์แท้ Ultras Malaya พร้อมกับแฟนบอลอีกกว่าแสนชีวิตที่เข้ามาตะโกนเชียร์กันเต็มความจุของอภิมหาสนาม Top 10 ของโลกอย่าง Bukit Jalil นี่คือประสบการณ์ที่ล้ำค่าของพวกเรา โดยเฉพาะการคว้าแชมป์กลับมาแบบสุดดราม่า ไปจนถึงความยิ่งใหญ่และมิตรภาพจากแฟนบอลมาเลเซียที่ทำให้พวกเขาคือหนึ่งในแฟนบอลที่ดีที่สุดในโลกในสายตาของผม

บรรยากาศแบบนี้ จึงอยากมาถ่ายทอดให้พวกเราคนไทยที่อยู่ที่บ้านร่วมกันรับรู้ความรู้สึก ความยากลำบากของนักเตะและทีมโค้ชของเรา ไปจนถึงมิตรภาพลูกหนังที่ทำให้เกมส์ฟุตบอลนี้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดครั้งหนึ่ง ฉลองครบรอบ 100 ปีของฟุตบอลแห่งสยามประเทศครับ

การเตรียมตัว

ส่วนตัวผมเตรียมตัวมา 3 เดือน คือการลดรายจ่ายและเก็บเงิน วางเดิมพันกับตัวเองว่าทีมชาติไทยต้องได้เข้าชิง และเมื่อรู้ว่าเราจะเข้าชิงกับมาเลเซีย ผมก็วางแผนการเดินทาง ซึ่งในครั้งนี้มีทั้งการขึ้นรถบัสหรือรถตู้จากหาดใหญ่ตามกลุ่มเชียร์ไทยชุดใหญ่ หรือการบินตรงเข้ากัวลาลัมเปอร์ สุดท้ายโดยโปรจากแอร์เอเชียที่ออกโปรไปกลับไม่ถึง 4 พัน เลยไม่ต้องคิดมาก จองไปเลย

อยากจะบอกว่าบางคนหมดเป็นหมื่นครับ คนไทยที่ไปจากเมืองไทยรอบนี้รวม ๆ แล้วค่าใช้จ่ายหลายล้าน ยังไม่นับคนไทยในมาเลเซียที่เดินทางมาจากทุกสารทิศอีกด้วย อบอุ่นมาก ๆ ครับ

สู่ Bukit Jalil

ผมไปไฟล์เช้า ถึงมาเลเซียสายแก่ ๆ กว่าจะรอเพื่อน รอกลอง รอโน่นรอนี่ ก็เข้าโรงแรมตั้งบ่ายกว่า ๆ แล้ว ผมพักโรงแรมเดียวกับคุณพ่อของต้น นฤบดินทร์และคุณแม่ของตอง กวินทร์ที่กองเชียร์ไทยเคารพรัก เราค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากโรงแรมที่อยู่ไม่ห่างจาก Bukit Jalil มากนัก แต่การเดินทางค่อนข้างลำบากนิดนึงเพราะกองเชียร์มาเลเซียเยอะมาก



แม้ผมจะพอรู้มาว่ากองเชียร์มาเลเซียกับไทยค่อนข้างเป็นมิตรกันมานาน แต่เพื่อได้สัมผัสจริง ๆ ก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นมิตรกับเรามากขนาดนี้ ตั้งแต่เกมส์ยังไม่เริ่ม เราหลงเขาก็ช่วยพาเดิน แนะนำทาง พูดคุยจับไม้จับมือด้วยหน้าตายิ่มแย้มแจ่มใส ถามไถ่ถึงฟุตบอลไทย พร้อมชื่นชมในการพัฒนาที่ก้าวกระโดดของลีกไทย ส่วนเราก็ชื่นชมในความแข็งแกร่งของกองเชียร์ของเขาและสนามฟุตบอลที่ใหญ่อลังการ พร้อมทั้งไม่ลืมที่จะบอกว่าคนไทยประทับใจพวกคุณมากตอนแมตช์แรกที่ราชมังคลาฯ

คนที่ชอบเรื่องเดียวกัน ถึงแม้ต่างชาติ ต่างภาษา ก็สามารถสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว ผมเจอเรื่องแบบนี้มาแล้วเวลาไปแอร์โชว์ จึงไม่แปลกใจที่มาเจอเวลาไปดูบอล

เราเดินทางไปถึง Bukit Jalil อย่างทุลักทุเล ต้องรอรถไฟหลายขบวนเพราะรถแน่นเป็นปลากระป๋อง จนมาลงหน้าสนามและเดินเข้าไป เจอแต่แฟนบอลเสือเหลืองเต็มไปหมด ทุกคนใส่เสื้อทีมชาติเดินกันขวักไขว่ ฝนก็ตกเสียอีก เราค่อย ๆ เดินมองหาทางเข้าของทีมเยือน ซึ่งได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ของมาเลเซีย เดิน ๆ ไปก็ต้องโดนเบรกให้หยุดเป็นพัก ๆ เพราะจะมีแต่แฟนบอลมาขอถ่ายรูปและจับไม้จับมือ



(หลังจากนี้ดู Footage นี้ประกอบไปครับ คาดโทษไว้ก่อน ผมอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปถ่ายมาให้คนไทยดูกันฟรี ๆ ถ้ามีเพจปลิงบางเพจดูดไป กรูเอาตายยยยยยยย)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เราเดินผ่านขบวนของ Ultras Malaya ที่กำลังร้องเพลง Ultras Malaya เป็นกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ที่จะนั่งอยู่ที่อัฒจันทร์หลังประตู กระโดดร้องเพลงเชียร์สนั่นหวั่นไหวกันไม่มีหมด เห็นเขาใส่ชุดดำ ๆ หน้าตาดุ ๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางคุกคามเลย เราสามารถเดินผ่านพวกเขาไปได้โดยไม่ต้องรู้สึกหวาดกลัวอะไร (เขาจุดพลุไหม เขาก็จุดนะครับ แต่จุดหลังเกมส์และนอกสนาม)



เข้าไปในสนามแล้ว โซนทีมเยือนอยู่ที่ชั้นสองจากสามชั้น อ่างชามยักษ์แห่งนี้ใครเคยไปครั้งแรกก็ต้องอ้าปากค้างในความยิ่งใหญ่อลังการสมศักดิ์ศรีสนามที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เรามีกันหลักพัน เขามีหลักแสน จำนวนสู้ไมได้ แต่อย่างน้อยเรามาให้นักเตะของเราเห็นว่าคนไทยไม่ทิ้งกันครับ



เนื่องจากผมมาสายเลยไม่ได้ไปร้องเพลงกับกลุ่มแฟนไทยหน้าสนาม เดินเข้ามาเลย แต่ก็เลือกมานั่งใกล้ ๆ แกนนำเชียร์เพื่อจะได้ช่วยกันร้องเพลง นัดนี้ Ultras Thailand, Cheer Thai Power หรือ South Curve Unit Thailand มาร่วมกันเชียร์ไม่มีแบ่งโซนครับ



Ultras Malaya

นักเตะไทยเริ่มลงสนามวอร์มก่อน ก็เฮฮากันไป มีแต่เราที่ร้องเพลงตอนนั้น ก็เริ่มมั่นใจเพราะเสียงเราก็ดังใช้ได้ ส่วน Ultras Malaya ก็ค่อย ๆ ทะยอยเดินเข้าสนามอย่างมีระเบียบ ย้ำว่ามีระเบียบจริง ๆ คนเข้าก่อนนั่งหน้าสุดจนแถวเต็มถึงจะเปิดแถวใหม่ เพื่อรอเวลานักเตะมาเลเซียเดินเข้าสนาม







และนั่นแหละครับคือประเด็น เมื่อพวกเขาเริ่มร้องเพลง ความยิ่งใหญ่ที่ผมเคยเห็นแต่ในคลิปจึงเริ่มขึ้น ต้องขอบอกเลยว่า สิ่งที่ทุกท่านเห็นและได้ยินในทีวี ไม่ได้หนึ่งในสิบของความยิ่งใหญ่ถ้าทุกท่านมายืนกับผมที่ Bukit Jalil เพราะ Ultras Malaya พัฒนาวิธีการเชียร์ที่ทำให้คนเป็นหมื่นกลายเป็นผู้นำเชียร์ สามารถร้องเพลง ปรบมือ และกระโดดได้พร้อมกัน เมื่อพวกเขาร้อง คนทั้งสนามทุกโซนเป็นแสนก็จะร้องตามไปด้วย

ดูคลิปนี้ประกอบครับ เสร็จแล้วตามไปดูคลิปในคห.4 ครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
หลับตานึกตาม ลองจินตนาการถึงเสียงคนแสนคนที่แผดเสียงร้องพร้อมกันจนแสบแก้วหู จิตนาการถึงคนแสนคนที่กระโดดพร้อมกันจนสนามยักษ์ยังสะเทือน การทำอะไรพร้อม ๆ กันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวสร้างพลังได้มหาศาล คู่แข่งคนไหนที่จิตไม่แข่งพอ ยากมากที่จะมาคว้าชัยชนะที่นี่ได้ เพราะตลอดทั้งเกมส์คุณจะไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงร้องเหมือนเสือคำรามของแฟนบอลมาเลเซีย มันยิ่งใหญ่จนแฟนบอลไทยทุกคนในนั้นต่างบอกว่าพวกเขายอดเยี่ยมมาก

แม้เวลาเพลงชาติขึ้น แค่เสียงร้องเพลงชาติของคนเป็นแสนที่กระหึ่ม ก็ยังไม่เท่ากับการแปรอักษรที่พร้อมเพรียงจนไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือกลุ่มแฟนบอลที่มาด้วยใจไม่ต้องจัดตั้งแต่อย่างใด ตอลดเกมส์เสียงดังยังไงก็อย่างงั้น ไม่มีตก ไม่มีหยุด

ที่นี่แหละครับที่เราไปคว้าแชมป์มา ไม่รู้ใครบอกว่าเวียดนามเป็นนรกของทีมเยือน แต่ผมว่าที่นี่มากกว่า นรกขุมสุดท้ายของทีมเยือนจริง ๆ



เกมส์เริ่ม

ผมไม่บรรยายเกมส์นะครับ เพราะพวกเรารู้กันอยู่แล้ว แต่จะบอกจากมุมมองของเราจากฝั่งกองเชียร์ ลูกจุดโทษพวกเราไม่รู้หรอกว่ามันฟาล์วหรือไม่ฟาล์ว แต่พอเราโดนจุดโทษเราก็เริ่มเครียดกันแล้ว พอลูกที่สองตามมาเห็นกวินออกไปไม่เจอบอลแล้วใจหายแว๊บ มารู้สึกตัวอีกทีคือลูกกลิ้งเข้าก้นตาข่ายพร้อมกับเสียงเฮดังสนั่น ดังมาก ดังจนหลอน



มันชวนเดจาวูมาก เพราะสามครั้งแล้วที่เราพลาดแชมป์ในนัดชิง โดยเฉพาะเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ผมโชคดีที่หาตั๋วได้และได้เข้าสนาม ยังจำภาพที่ Khairul Amri ลากบอลจากทางขวาแล้วซัดเต็ม ๆ ผ่านมือกวินเข้าไปตีเสมอให้ทีมชาติสิงคโปร์ได้ ช่วงเวลานั้นทั้งสนามเงียบเป็นป่าช้า ได้ยินแม้แต่เสียงลมพัด บอกได้เลยว่าทุกคนหลอน เพราะดูเหมือนมันจะเกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว

ระหว่างพักครึ่งมีเหตุนิดหน่อยคือกองเชียร์เจ้าบ้านเยอะเกินไปจนต้องปีนเข้ามาในฝั่งทีมเยือน มานั่งล้อมพวกเรา บอกตรง ๆ ตอนนั้นกลัวเหมือนกันเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นเราแย่แน่นอน ตำรวจมาเลเซียก็เข้ามาจัดการและสุดท้ายก็มายืนล้อมแฟนบอลไทยเอาไว้ ก็พอจะสบายใจขึ้นหน่อย



เราโดนไปสองลูก พวกเราก็ยังไม่หยุดเชียร์กันนะครับ แต่เสียงมันสู้ไม่ได้จริง ๆ เราก็พยายามตะโกนออกไป ไม่รู้ว่านักเตะจะได้ยินไหม

ลูกที่สามนี่แหละ ผมเห็นใครสักคนทำฟาล์วใครสักคนล้มลงเป็นฟรีคิก ในใจมีเสียงกระซิบออกมาว่า โดนแน่ลูกนี้ แต่อีกใจนึงก็ภาวนาว่าอย่าให้เป็นจริงเลย แต่สุดท้ายมันก็เป็นจริง ลูกวิ่งหายเข้าไปก้นตาข่ายอย่างสวยงาม พร้อมกับเสียงดีใจที่ดังที่สุดที่ผมเคยได้ยืนมาในชีวิต

ตอนนั้นบอกตรง ๆ ใจสั่นแล้วครับ เพราะนอนมาแค่สองชั่วโมงตอนขามา รวมถึงบรรยากาศที่กดดัน ความเครียดของกองเชียร์ไทยที่สะสม มือผมงี้เย็นเฉียบและสั่นไปหมด นั่งฟังแฟนมาเลเซียร้องเพลงกันอีกเป็นสิบ ๆ นาที จนผมไม่ไหวแล้วขอนั่งดีกว่า แกนนำเชียร์ฝั่งไทยก็พยายามปลุกใจให้ช่วยกันเชียร์ต่อไป เพราะเราขอแค่ 1 ลูกเท่านั้นปาฏิหาริย์ก็จะเกิด แต่ตอนนั้น บอกได้เลยว่าผมไม่ไหวละ ลงไปนั่งแหมะกับเก้าอี้เกาะแขนเพื่อนข้าง ๆ ไว้จนเขาห้ามไม่ให้ดูแล้วเพราะกลัวผมเป็นอะไรไป ผมก็กลัวเหมือนกันมองไปรอบ ๆ หลายคนก็มีอาการเดียวกัน แต่ผมก็ตั้งใจว่า จะเป็นจะตายขอดูให้จบ แล้วถ้าไม่ไหวค่อยเรียกรถพยาบาล พอดีรอบนี้ซื้อประกันการเดินทางไว้ เหอ ๆ ๆ ๆ

(มีต่อครับ ...)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่