สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่านี่เป้นกระทู้แรกของเราค่ะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ เราชอบสิงอยู่ในบอร์ด pantip ดูรีวิวท่องเที่ยว เครื่องสำอาง อ่านดราม่านู่นนี่นั่นบ้าง จนกระทั่งเจอเหตุการณ์นี้ เพื่อน ๆ เราก็เลยเชียร์ให้มาเตือนคนใน pantip และ tripadvisor ไว้เป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกคนที่กำลังตัดสินใจจะไปพักรีสอร์ทนี้ค่ะ ถ้าใครเคยไปแล้วหรือเคยเจออะไรประมาณนี้ มาแชร์ประสบการณ์ได้นะคะ
เข้าเรื่องเลยดีกว่า เรากับแฟนเที่ยวบ่อยค่ะ เป็นคู่รักชอบเที่ยว ก็จะเที่ยวกับทุกปี ปีละสองสามครั้ง ปลายปีก็เลยมีแพลนไปเที่ยวกาญจนบุรีเป็นครั้งแรกของเราคือเมื่อวันที่ 14-16 ธค. ค่ะ ดูภาพถ่ายจากหลาย ๆ เว็บแล้ว ตกลงปลงใจกับแฟนว่าพักรักน้ำรีสอร์ทนี่แหละ สวยจริงจัง ตอนแรกก็มีเอะใจนิดหน่อยค่ะว่าทำไมช่วงปีหลังมานี้ไม่ค่อยมี CR ที่รักน้ำเลย ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าขึ้นชื่อว่ามัลดีฟแห่งแรกในเมืองไทย ต้องงามแงะแน่นอน รีบจองเสร็จสรรพ และแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น ขอเล่าเรียงลำดับเป็นข้อ ๆ ไปนะคะ
1. วันแรก ระหว่างที่เราแวะเที่ยววัดถ้ำเสือก่อนเข้ารีสอร์ท ประมาณบ่ายสามนิด ๆ พนักงานของรีสอร์ทก็โทรเข้ามาค่ะ ถามว่าอยู่ไหนแล้ว จะเช็คอินรึยัง แฟนเราก็ตอบว่านี่เที่ยวอยู๋วัดถ้ำเสือ พนักงานก็ทำเสียงตกใจ (จากที่แฟนเล่านะคะ) แล้วบอกว่าอยากให้รีบมาเช็คอินก่อน 5 โมง เพราะแพจะออก 5 โมง เราก็งง แฟนก็งง แพอะไรหว่า ชั้นไปจองที่พักแบบแพลากหรอ ไม่นี่ ชั้นจองบ้านมัลดีฟที่เป็นแพลอยอยู่ริมเขื่อนปกตินี่ ยังไม่ทันถามให้หายสงสัยพนักงานก็วางสายไปแล้ว เราสองคนก็คิดว่าไม่เป็นไร ไปเช็คอินเลยก็ได้
2. แฟนเราก็ซิ่งไปรีสอร์ทเลยค่ะ ถึงที่หมายประมาณ 4 โมงครึ่ง ถามพนักงานที่ reception ได้ความว่า แพที่ว่าคือแพอาหาร เค้าจะลากวนไปในเขื่อน กินลมกินบรรยากาศ ตอนนั้นกำลังโลกสวยค่ะ นึกดีใจว่า แหม่ รีสอร์ทนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ จองดินเนอร์ให้ลูกค้าโดยไม่ต้องขอ เราได้ยินดังนั้นก็รีบถามเลยว่าเลือกโต๊ะได้มั้ยคะ อยากนั่งด้านริม ชมวิวเขื่อน พนักงานก็ตอบมาว่า “ไม่ได้ค่ะ ต้องไปจองกับทางห้องอาหารนะคะ ตรง reception นี้ไม่รับจอง” ......โอเค โอเค้!
3. พนักงาน reception ก็เรียกเก็บเงินส่วนที่เหลือจากค่ามัดจำค่ะ (เรามัดจำค่าห้องสำหรับคืนแรกไปแล้ว คืนที่สองเค้าให้มาจ่ายที่โรงแรม) แฟนเราก็ควักบัตรมา พนักงานไม่รับค่ะ รับแต่เงินสดเท่านั้น โอ้โห เงิน 7,500 บาท โชคดีนะที่กดเงินสดติดตัวมา เรื่องนี้ไม่เคยแจ้งล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อยค่ะ...โอเค พึ่งมาเที่ยววันแรกนะ เราพยายามท่องไว้ว่าไม่หงุดหงิดนะ ยุบหนอ พองหนอ
4. กว่าจะไปถึงห้องก็เกือบห้าโมงแล้ว เรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้ารัว ๆ คือยอมรับเลยค่ะว่ารีสอร์ทสวยมาก วิวงามมาก คะแนนเต็มสิบนี่ก็ให้เต็มสิบเลย อากาศช่วงนั้นก็เริ่ด ผู้หญิงแต่งตัวเยอะอย่างเรานี่เปลี่ยนเสื้อผ้ารวดเร็ว ซับหน้าไวที่สุดในชีวิตเพราะอยากถ่ายรูปรอบรีสอร์ทก่อนขึ้นแพอาหาร และแล้วก็ฝันสลายตอนที่พนักงานมาเคาะประตูห้อง (ในห้องไม่มีโทรศัพท์ให้ เอิ่ม) เปิดประตูห้องมาปุ๊ปนางก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงค่ะ ยื่นเมนูมาให้เรากับแฟนสองเล่ม แล้วบอกว่า “สั่งอาหารด้วยค่ะ” เรากับแฟนก็งงอีกละ เซอร์ไพรส์ตลอด แฟนถามว่าต้องสั่งอาหารก่อนขึ้นแพด้วยหรอ นางตอบ “เปล่าค่ะ วันนี้แพไม่ลาก ลูกค้าน้อย”.....อ๊ากกกกกกกก ความอดทนของดิชั้นแทบจะหมดไปตรงนั้น แพอาหารไม่ลากคืออะไร ที่ reception โทรมาเร่งดิชั้นกับแฟนมันคืออะไร ทำไมพนักงานสองฝ่ายไม่คุยกัน อ๊ากกกกกกกกกกก....ทั้งหมดมานี้คือสิ่งที่ก้องอยู่ในหัวเราค่ะ ความเป็นจริงคือยังอึ้งอยู่ สมองประมวลยังคงผลช้ามากเมื่อได้ยินประโยคนั้น
5. เราสองคนยังคงมึนกับสิ่งที่ได้ยินค่ะ คือวันนั้นขับรถมาเหนื่อยมาก ข้ามเขาคดเคี้ยวมาอย่างเร่งรีบมาเพื่อมาได้ยินประโยคนี้ แล้วบทสนทนาก็เป็นไปตามนี้ค่ะ
แฟน : ถ้าไม่มีแพอาหารแล้วจะทานที่ไหนล่ะครับ
พนักงาน : ก็แล้วแต่ลูกค้า จะทานที่ห้องพักก็ได้ค่ะ จะยกอาหารมาให้
แฟน : ทานที่ห้องนี้แล้วมีโต๊ะให้หรอครับ แล้วนั่งทานตรงไหน (ตาวิบวับแบบโลกสวย โถ...)
พนักงาน : เปล่าค่ะ ก็วางกับพื้น นั่งทานกับพื้น
แฟน+เรา : (หน้าเริ่มตึง ตาเริ่มถลึง พร้อมเสียงก้องในหัวว่า....อ๊ากกกกกกก ตรูจ่ายค่าโรงแรมไปทั้งหมดเป็นหมื่นเพื่อสิ่งนี้หรอ อ๊ากกกกกก)
พนักงาน : หรือลูกค้าจะไปทานที่ห้องอาหารของรีสอร์ทก็ได้ค่ะ แต่ต้องรีบสั่งอาหารนะ เพราะครัวปิด 5 โมง
เรากับแฟนก็สั่งอาหารไปค่ะ สั่งไปบ่นไป พนักงานก็ได้แต่ยิ้ม สุดท้ายพนักงานบอกว่าจะมาทานกี่โมงก็ได้ เพราะจะทำไว้ให้ก่อนอยู่แล้ว เนื่องจากครัวปิด 5 โมง....เอิ่ม โอเค
6. ระหว่างรออาหารเรากับแฟนก็ออกไปถ่ายรูปรอบ ๆ รีสอร์ทค่ะ ที่นี่เป็นรีสอร์ทขนาดเล็ก เป็นส่วนตัวดี ระหว่างนั้นก็สังเกตว่ามีแขกเข้าพักอยู่ไม่น้อยอะไรขนาดนั้น คือมีเป็นกรุ๊ปอยู่สองหลัง รวมเราด้วยเป็นสามหลัง แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองกับแฟนว่ามาเที่ยวชิว ๆ อย่าเครียด ๆ แค่วันแรกเอง พอถ่ายรูปเสร็จปุ๊ปก็ไปที่ห้องอาหารค่ะ ประมาณห้าโมงกว่า อาหารเค้าทำไว้เสร็จก่อนแล้วจริง ๆ คือเย็นชืด ไม่อุ่นให้นะคะ พนักงานก็กระวีกระวาดกันเต็มไปหมด...อ่อ ไม่ใช่กระวีกระวาดมาดูแลโต๊ะเรานะคะ คือเค้าจะกลับบ้านกัน คือมัน 5 โมงกว่าแล้วน่ะ…T_T เรากับแฟนเห็นท่าไม่ค่อยดีค่ะ รีบขอน้ำจิ้ม เครื่องดื่ม เบียร์ ก่อนที่พนักงานจะทิ้งพวกเราไป พนักงานก็เอามาให้นะคะ นางรีบเอาเบียร์มาวางสามขวด เสร็จปุ๊ปรีบขึ้นรถกอล์ฟ กลับกันหมดเลย ที่เปิดขวดกับแก้วน้ำยังไม่มีให้เลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมากค่ะ จะให้เรียกพนักงานมาบ่นกับการบริการนี่ยังเรียกไม่ทันเลย คิดดู
7. อาหารรสชาติเลวร้ายมากค่ะ ปลาทอดน้ำปลาไม่อร่อยเลย ข้าวผัดจืดมาก แกงจืดหวานมาก กุ้งชุบแป้งทอดก็นิ่มย้วย แฟนกับเราว่าเป็นพวกลิ้นจระเข้แล้วยังทนไม่ได้
8. ซักพักฟ้าเริ่มมืด บรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็น ไฟในรีสอร์ทมีไม่มากค่ะ ออกส้ม ๆ สลัว ๆ ส่วนเขื่อนนี่มืดเลย เห็นแต่แสงไฟจากรีสอร์ทข้าง ๆ พวกเราหันซ้ายหันขวา เริ่มรู้ตัวว่า เรากับแฟนพร้อมด้วยแขกอีกสองกรุ๊ปทั้งรีสอร์ท ถูกทิ้งไว้กับเขื่อน ความเงียบ ความมืด ความเย็น และยามอีกหนึ่งคนที่นานน้านนนนจะเดินผ่านมาซักที นี่ถ้าใครเป็นอะไรขึ้นมาในยามค่ำคืนนี้ อย่าคาดหวังว่าจะมีใครมาช่วยทันเวลาเลยนะ โทร.จองศาลาจะเร็วกว่า
9. รุ่งขึ้น เรากับแฟนเลือกที่จะไม่อยู่ในรีสอร์ทให้ช้ำใจค่ะ ทานข้าวเช้าเสร็จ ใกล้ ๆ เที่ยงก็ออกไปเที่ยว คือรีสอร์ทนี้ไกลปืนเที่ยงมาก แต่เจอบริการเมื่อเย็นแล้ว ยอมค่ะ ยอมไปหาความสุขข้างนอกดีกว่า ระหว่างเดินออกมา เรากับแฟนแอบเหล่มองเครื่องเล่นปั๊มลมของรีสอร์ทที่ตั้งไว้บนเขื่อน คือเห็นในรีวิวแล้วอยากเล่นมาก แต่ที่เราเห็นคือเค้าไม่ปั๊มลมให้แขกเลยค่ะ มันนอนแฟ่บลอยพังพาบอยู่ นี่ก็ยังคุยกับแฟนว่ามันอาจจะยังเช้าไป (โลกสวย ฮ่า) กลับมาวันนี้ค่อยเล่นแล้วกัน ปรากฏว่ากลับมาเย็น ๆ มันก็ยังอยู่ในสภาพเดิมค่ะ ไปถามพนักงาน นางบอกว่าแขกน้อย เลยไม่ได้ปั๊มลมไว้ให้ (เอิ่ม แขกน้อยแต่ก็มีสิทธิที่จะได้เล่นรึเปล่าคะ) คราวนี้แฟนเราเสียงแข็ง บอกว่าพรุ่งนี้ก่อนเช็คเอาท์พวกผมจะมาเล่นนะ ปั๊มลมไว้ให้พวกผมหน่อยได้มั้ย ซักแปดโมงนะ พนักงานก็ตอบรับว่า “ค่ะ”
10. พูดจบเราสองคนเดินเข้าห้องไป ปรากฏว่า...ห้องอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนที่เราออกไปตอนเช้าทุกประการ คือแม่บ้านไม่ได้มาเก็บห้องให้ค่ะ (อ๊ากกกกกกกก ตรูจ่ายเงินไปหมื่นกว่า คือได้บริการแบบนี้?????)
11. จากข้อ 8 ข้างบน เรากับแฟนตื่นมา ทานข้าวก็แล้ว เดินชมวิวก็แล้วจนเก้าโมง ก็ยังไม่ได้เล่นเครื่องเล่นบนเขื่อนค่ะ มันยังอยู่ในสภาพเดิม เป๊ะ! แม้กระทั่งตอนเช็คเอาท์ ก็ยัง เป๊ะ!
12. เราทั้งคู่ตัดสินใจพายเรือแคนูกับเล่นเจ็ทสกีแทนค่ะ ด้วยความที่รีสอร์ทไม่มีโทรศัพท์ในห้อง ก็เป็นภาระของแขกที่ต้องใช้มือถือโทรไปที่ reception ให้จองเจ็ทสกีให้ พวกเราแจ้งกับทาง reception ว่าขอเช่าเจ็ทสกี 30 นาทีนะ สิ่งที่ reception ตอบมา คือ
พนักงาน : ไม่มีนะคะ 30 นาที มีแต่ 1 ชม/ 2 ชม
เรา : ก็เมื่อวานพนักงานบอกว่าเช่า 30 นาที ได้นี่คะ
พนักงาน : หรอคะ รอแป๊ปนึงค่ะ (วางสาย แกร๊ก)
เรา+แฟน : (หันไปมองหน้ากันงง ๆ นี่คือไม่ได้ใช่มะ?)
เรากับแฟนรอจนแน่ใจว่านางไม่โทรกลับมา เลยตัดสินใจไปมุ้งมิ้งพายเรือแคนูกันสองคน กลับมาที่ห้องเจอพนักงานชายยืนอยู่ มีเจ็ทสกีจอดอยู่ข้าง ๆ ถามว่าพี่สองคนที่จะเช่าเจ็ทสกีใช่รึเปล่า ผมรอมาซักพักแล้ว...อ้าว ตูผิดอี๊ก เช็คดูมือถือก็ไม่มีพนักงานโทรมาแจ้งว่าได้หรือไม่ได้ (ตอนเช็คอิน แฟนเราทิ้งเบอร์ไว้ด้วย) ก็ไม่เป็นไร เล่นเจ็ทสกีกัน ระหว่างที่เล่นเรากับแฟนก็ไปแอบดูรีสอร์ทข้างเคียงค่ะ แลดูสวยงามพอ ๆ กัน เครื่องเล่นปั๊มลมก็น่าเล่นกันกว่ามาก แลดูใหม่ แลดูน่าสนุก หันกลับมามองรีสอร์ทตัวเอง เห็นเครื่องเล่นนอนพังพาบฝุ่นเขรอะอยู่บนเขื่อนก็ได้แต่เบะปากเบา ๆ เป็นรูปกราฟพาราโบล่า แล้วถอนหายใจจนน้ำในเขื่อนกระเพื่อม
13. แฟนเราโทรไปขอเลทเช็คเอาท์ค่ะ พนักงานยืนยันว่าไม่ได้ ยังไงก็ให้ไม่ได้ เพราะวันนี้แขกจะเข้าพักเต็ม (อยู่มาตั้งแต่วันอาทิตย์ไม่เห็นเต็มเลยซักวัน) จนสุดท้ายพนักงานบอกว่า “งั้นให้เลทได้ จากเที่ยงเป็นเที่ยงครึ่งแล้วกันค่ะ” ฮ่าๆๆๆๆๆๆ T_T
14. พอจะได้เช็คเอาท์ก็แจ็คพ็อตแตกค่ะ ได้เจอกับเจ้าของรีสอร์ทอยู่ที่ reception นี่คงเป็นบุญที่เราสองคนได้สร้างสมมาแต่เก่าก่อนสินะ เรางี้คิดสคริปต์เตรียมจะฟ้องเจ้าของให้รับทราบค่ะ ฮ่าๆ ฮี่ๆ ระหว่างเช็คเอาท์พนักงานก็เอาบิลค่าอาหารของคืนแรกมาให้ เราเตือนแฟนให้เช็คจำนวนเบียร์ในบิลนั้นด้วย เพราะพนักงานเอามาให้สามขวด ทานจริงแค่สองขวด ขวดที่ไม่ได้เปิดวางคืนไว้บนโต๊ะอาหาร ปรากฏว่ารีสอร์ทชาร์จเราสามขวดจริง ๆ ค่ะ แฟนเราก็ทักท้วงกับพนักงาน พนักงานวอไปถามห้องอาหาร และสิ่งที่ห้องอาหารวอกลับมาก็คือ “วางขวดเบียร์คืนไว้ตรงไหนค้า ไม่มีนะค้า แอบไว้ที่ไหนล่ะค้า” (อ๊ากกกกกกกกกกก ตูจะแอบทำไม!!!!)
15. เรากับแฟนตอบไปว่า ก็วางคืนไว้บนโต๊ะทานข้าวที่ห้องอาหารนั่นแหละ แฟนเราก็อธิบายต่อ (กะจะให้เจ้าของได้ยินด้วย) ว่า คืนนั้นไม่มีใครอยู่ดูแลเลยนะ พวกเราเลยก็วางขวดเบียร์นั่นที่โต๊ะ ยังพูดไม่ทันจะจบประโยค พนักงาน reception ก็พูดแทรกเสียงดังว่า “ค่ะๆๆๆๆ ทราบแล้วค่ะ!!!!” งงสิคะ งง สมองไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับปฏิกิริยาแบบนี้จากพนักงาน เรานี่รีบหันขวับไปมองหน้าเจ้าของรีสอร์ทที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เลยค่ะ อารมณ์แบบ เห็นมั้ย เห็นสิ่งที่พนักงานทำกับดาวมั้ย!! แต่สิ่งที่เราเห็นคือเค้านั่งมองเหตุการณ์นี้แล้ว “ยิ้ม” ฮีเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังมองพวกเราแบบซึมซับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วยิ้มอย่างมีความสุข แสนสุข สุขี สุโข เราเลยตัดสินใจว่า ฟ้องตานี่ไปก็เท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์โภชผลอันใดแล้ว กลับบ้านแล้วก่นด่าอีรีสอร์ทนี้รัว ๆ น่าจะดีต่อสุขภาพจิตเรามากกว่า
ข้อความเกินแล้วค่ะ เดี๋ยวมาต่อคอมเม้นท์ข้างล่างนะคะ
[CR] รักน้ำรีสอร์ทกับประสบการณ์แย่ๆที่เจอ
เข้าเรื่องเลยดีกว่า เรากับแฟนเที่ยวบ่อยค่ะ เป็นคู่รักชอบเที่ยว ก็จะเที่ยวกับทุกปี ปีละสองสามครั้ง ปลายปีก็เลยมีแพลนไปเที่ยวกาญจนบุรีเป็นครั้งแรกของเราคือเมื่อวันที่ 14-16 ธค. ค่ะ ดูภาพถ่ายจากหลาย ๆ เว็บแล้ว ตกลงปลงใจกับแฟนว่าพักรักน้ำรีสอร์ทนี่แหละ สวยจริงจัง ตอนแรกก็มีเอะใจนิดหน่อยค่ะว่าทำไมช่วงปีหลังมานี้ไม่ค่อยมี CR ที่รักน้ำเลย ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าขึ้นชื่อว่ามัลดีฟแห่งแรกในเมืองไทย ต้องงามแงะแน่นอน รีบจองเสร็จสรรพ และแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น ขอเล่าเรียงลำดับเป็นข้อ ๆ ไปนะคะ
1. วันแรก ระหว่างที่เราแวะเที่ยววัดถ้ำเสือก่อนเข้ารีสอร์ท ประมาณบ่ายสามนิด ๆ พนักงานของรีสอร์ทก็โทรเข้ามาค่ะ ถามว่าอยู่ไหนแล้ว จะเช็คอินรึยัง แฟนเราก็ตอบว่านี่เที่ยวอยู๋วัดถ้ำเสือ พนักงานก็ทำเสียงตกใจ (จากที่แฟนเล่านะคะ) แล้วบอกว่าอยากให้รีบมาเช็คอินก่อน 5 โมง เพราะแพจะออก 5 โมง เราก็งง แฟนก็งง แพอะไรหว่า ชั้นไปจองที่พักแบบแพลากหรอ ไม่นี่ ชั้นจองบ้านมัลดีฟที่เป็นแพลอยอยู่ริมเขื่อนปกตินี่ ยังไม่ทันถามให้หายสงสัยพนักงานก็วางสายไปแล้ว เราสองคนก็คิดว่าไม่เป็นไร ไปเช็คอินเลยก็ได้
2. แฟนเราก็ซิ่งไปรีสอร์ทเลยค่ะ ถึงที่หมายประมาณ 4 โมงครึ่ง ถามพนักงานที่ reception ได้ความว่า แพที่ว่าคือแพอาหาร เค้าจะลากวนไปในเขื่อน กินลมกินบรรยากาศ ตอนนั้นกำลังโลกสวยค่ะ นึกดีใจว่า แหม่ รีสอร์ทนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ จองดินเนอร์ให้ลูกค้าโดยไม่ต้องขอ เราได้ยินดังนั้นก็รีบถามเลยว่าเลือกโต๊ะได้มั้ยคะ อยากนั่งด้านริม ชมวิวเขื่อน พนักงานก็ตอบมาว่า “ไม่ได้ค่ะ ต้องไปจองกับทางห้องอาหารนะคะ ตรง reception นี้ไม่รับจอง” ......โอเค โอเค้!
3. พนักงาน reception ก็เรียกเก็บเงินส่วนที่เหลือจากค่ามัดจำค่ะ (เรามัดจำค่าห้องสำหรับคืนแรกไปแล้ว คืนที่สองเค้าให้มาจ่ายที่โรงแรม) แฟนเราก็ควักบัตรมา พนักงานไม่รับค่ะ รับแต่เงินสดเท่านั้น โอ้โห เงิน 7,500 บาท โชคดีนะที่กดเงินสดติดตัวมา เรื่องนี้ไม่เคยแจ้งล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อยค่ะ...โอเค พึ่งมาเที่ยววันแรกนะ เราพยายามท่องไว้ว่าไม่หงุดหงิดนะ ยุบหนอ พองหนอ
4. กว่าจะไปถึงห้องก็เกือบห้าโมงแล้ว เรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้ารัว ๆ คือยอมรับเลยค่ะว่ารีสอร์ทสวยมาก วิวงามมาก คะแนนเต็มสิบนี่ก็ให้เต็มสิบเลย อากาศช่วงนั้นก็เริ่ด ผู้หญิงแต่งตัวเยอะอย่างเรานี่เปลี่ยนเสื้อผ้ารวดเร็ว ซับหน้าไวที่สุดในชีวิตเพราะอยากถ่ายรูปรอบรีสอร์ทก่อนขึ้นแพอาหาร และแล้วก็ฝันสลายตอนที่พนักงานมาเคาะประตูห้อง (ในห้องไม่มีโทรศัพท์ให้ เอิ่ม) เปิดประตูห้องมาปุ๊ปนางก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงค่ะ ยื่นเมนูมาให้เรากับแฟนสองเล่ม แล้วบอกว่า “สั่งอาหารด้วยค่ะ” เรากับแฟนก็งงอีกละ เซอร์ไพรส์ตลอด แฟนถามว่าต้องสั่งอาหารก่อนขึ้นแพด้วยหรอ นางตอบ “เปล่าค่ะ วันนี้แพไม่ลาก ลูกค้าน้อย”.....อ๊ากกกกกกกก ความอดทนของดิชั้นแทบจะหมดไปตรงนั้น แพอาหารไม่ลากคืออะไร ที่ reception โทรมาเร่งดิชั้นกับแฟนมันคืออะไร ทำไมพนักงานสองฝ่ายไม่คุยกัน อ๊ากกกกกกกกกกก....ทั้งหมดมานี้คือสิ่งที่ก้องอยู่ในหัวเราค่ะ ความเป็นจริงคือยังอึ้งอยู่ สมองประมวลยังคงผลช้ามากเมื่อได้ยินประโยคนั้น
5. เราสองคนยังคงมึนกับสิ่งที่ได้ยินค่ะ คือวันนั้นขับรถมาเหนื่อยมาก ข้ามเขาคดเคี้ยวมาอย่างเร่งรีบมาเพื่อมาได้ยินประโยคนี้ แล้วบทสนทนาก็เป็นไปตามนี้ค่ะ
แฟน : ถ้าไม่มีแพอาหารแล้วจะทานที่ไหนล่ะครับ
พนักงาน : ก็แล้วแต่ลูกค้า จะทานที่ห้องพักก็ได้ค่ะ จะยกอาหารมาให้
แฟน : ทานที่ห้องนี้แล้วมีโต๊ะให้หรอครับ แล้วนั่งทานตรงไหน (ตาวิบวับแบบโลกสวย โถ...)
พนักงาน : เปล่าค่ะ ก็วางกับพื้น นั่งทานกับพื้น
แฟน+เรา : (หน้าเริ่มตึง ตาเริ่มถลึง พร้อมเสียงก้องในหัวว่า....อ๊ากกกกกกก ตรูจ่ายค่าโรงแรมไปทั้งหมดเป็นหมื่นเพื่อสิ่งนี้หรอ อ๊ากกกกกก)
พนักงาน : หรือลูกค้าจะไปทานที่ห้องอาหารของรีสอร์ทก็ได้ค่ะ แต่ต้องรีบสั่งอาหารนะ เพราะครัวปิด 5 โมง
เรากับแฟนก็สั่งอาหารไปค่ะ สั่งไปบ่นไป พนักงานก็ได้แต่ยิ้ม สุดท้ายพนักงานบอกว่าจะมาทานกี่โมงก็ได้ เพราะจะทำไว้ให้ก่อนอยู่แล้ว เนื่องจากครัวปิด 5 โมง....เอิ่ม โอเค
6. ระหว่างรออาหารเรากับแฟนก็ออกไปถ่ายรูปรอบ ๆ รีสอร์ทค่ะ ที่นี่เป็นรีสอร์ทขนาดเล็ก เป็นส่วนตัวดี ระหว่างนั้นก็สังเกตว่ามีแขกเข้าพักอยู่ไม่น้อยอะไรขนาดนั้น คือมีเป็นกรุ๊ปอยู่สองหลัง รวมเราด้วยเป็นสามหลัง แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองกับแฟนว่ามาเที่ยวชิว ๆ อย่าเครียด ๆ แค่วันแรกเอง พอถ่ายรูปเสร็จปุ๊ปก็ไปที่ห้องอาหารค่ะ ประมาณห้าโมงกว่า อาหารเค้าทำไว้เสร็จก่อนแล้วจริง ๆ คือเย็นชืด ไม่อุ่นให้นะคะ พนักงานก็กระวีกระวาดกันเต็มไปหมด...อ่อ ไม่ใช่กระวีกระวาดมาดูแลโต๊ะเรานะคะ คือเค้าจะกลับบ้านกัน คือมัน 5 โมงกว่าแล้วน่ะ…T_T เรากับแฟนเห็นท่าไม่ค่อยดีค่ะ รีบขอน้ำจิ้ม เครื่องดื่ม เบียร์ ก่อนที่พนักงานจะทิ้งพวกเราไป พนักงานก็เอามาให้นะคะ นางรีบเอาเบียร์มาวางสามขวด เสร็จปุ๊ปรีบขึ้นรถกอล์ฟ กลับกันหมดเลย ที่เปิดขวดกับแก้วน้ำยังไม่มีให้เลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมากค่ะ จะให้เรียกพนักงานมาบ่นกับการบริการนี่ยังเรียกไม่ทันเลย คิดดู
7. อาหารรสชาติเลวร้ายมากค่ะ ปลาทอดน้ำปลาไม่อร่อยเลย ข้าวผัดจืดมาก แกงจืดหวานมาก กุ้งชุบแป้งทอดก็นิ่มย้วย แฟนกับเราว่าเป็นพวกลิ้นจระเข้แล้วยังทนไม่ได้
8. ซักพักฟ้าเริ่มมืด บรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็น ไฟในรีสอร์ทมีไม่มากค่ะ ออกส้ม ๆ สลัว ๆ ส่วนเขื่อนนี่มืดเลย เห็นแต่แสงไฟจากรีสอร์ทข้าง ๆ พวกเราหันซ้ายหันขวา เริ่มรู้ตัวว่า เรากับแฟนพร้อมด้วยแขกอีกสองกรุ๊ปทั้งรีสอร์ท ถูกทิ้งไว้กับเขื่อน ความเงียบ ความมืด ความเย็น และยามอีกหนึ่งคนที่นานน้านนนนจะเดินผ่านมาซักที นี่ถ้าใครเป็นอะไรขึ้นมาในยามค่ำคืนนี้ อย่าคาดหวังว่าจะมีใครมาช่วยทันเวลาเลยนะ โทร.จองศาลาจะเร็วกว่า
9. รุ่งขึ้น เรากับแฟนเลือกที่จะไม่อยู่ในรีสอร์ทให้ช้ำใจค่ะ ทานข้าวเช้าเสร็จ ใกล้ ๆ เที่ยงก็ออกไปเที่ยว คือรีสอร์ทนี้ไกลปืนเที่ยงมาก แต่เจอบริการเมื่อเย็นแล้ว ยอมค่ะ ยอมไปหาความสุขข้างนอกดีกว่า ระหว่างเดินออกมา เรากับแฟนแอบเหล่มองเครื่องเล่นปั๊มลมของรีสอร์ทที่ตั้งไว้บนเขื่อน คือเห็นในรีวิวแล้วอยากเล่นมาก แต่ที่เราเห็นคือเค้าไม่ปั๊มลมให้แขกเลยค่ะ มันนอนแฟ่บลอยพังพาบอยู่ นี่ก็ยังคุยกับแฟนว่ามันอาจจะยังเช้าไป (โลกสวย ฮ่า) กลับมาวันนี้ค่อยเล่นแล้วกัน ปรากฏว่ากลับมาเย็น ๆ มันก็ยังอยู่ในสภาพเดิมค่ะ ไปถามพนักงาน นางบอกว่าแขกน้อย เลยไม่ได้ปั๊มลมไว้ให้ (เอิ่ม แขกน้อยแต่ก็มีสิทธิที่จะได้เล่นรึเปล่าคะ) คราวนี้แฟนเราเสียงแข็ง บอกว่าพรุ่งนี้ก่อนเช็คเอาท์พวกผมจะมาเล่นนะ ปั๊มลมไว้ให้พวกผมหน่อยได้มั้ย ซักแปดโมงนะ พนักงานก็ตอบรับว่า “ค่ะ”
10. พูดจบเราสองคนเดินเข้าห้องไป ปรากฏว่า...ห้องอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนที่เราออกไปตอนเช้าทุกประการ คือแม่บ้านไม่ได้มาเก็บห้องให้ค่ะ (อ๊ากกกกกกกก ตรูจ่ายเงินไปหมื่นกว่า คือได้บริการแบบนี้?????)
11. จากข้อ 8 ข้างบน เรากับแฟนตื่นมา ทานข้าวก็แล้ว เดินชมวิวก็แล้วจนเก้าโมง ก็ยังไม่ได้เล่นเครื่องเล่นบนเขื่อนค่ะ มันยังอยู่ในสภาพเดิม เป๊ะ! แม้กระทั่งตอนเช็คเอาท์ ก็ยัง เป๊ะ!
12. เราทั้งคู่ตัดสินใจพายเรือแคนูกับเล่นเจ็ทสกีแทนค่ะ ด้วยความที่รีสอร์ทไม่มีโทรศัพท์ในห้อง ก็เป็นภาระของแขกที่ต้องใช้มือถือโทรไปที่ reception ให้จองเจ็ทสกีให้ พวกเราแจ้งกับทาง reception ว่าขอเช่าเจ็ทสกี 30 นาทีนะ สิ่งที่ reception ตอบมา คือ
พนักงาน : ไม่มีนะคะ 30 นาที มีแต่ 1 ชม/ 2 ชม
เรา : ก็เมื่อวานพนักงานบอกว่าเช่า 30 นาที ได้นี่คะ
พนักงาน : หรอคะ รอแป๊ปนึงค่ะ (วางสาย แกร๊ก)
เรา+แฟน : (หันไปมองหน้ากันงง ๆ นี่คือไม่ได้ใช่มะ?)
เรากับแฟนรอจนแน่ใจว่านางไม่โทรกลับมา เลยตัดสินใจไปมุ้งมิ้งพายเรือแคนูกันสองคน กลับมาที่ห้องเจอพนักงานชายยืนอยู่ มีเจ็ทสกีจอดอยู่ข้าง ๆ ถามว่าพี่สองคนที่จะเช่าเจ็ทสกีใช่รึเปล่า ผมรอมาซักพักแล้ว...อ้าว ตูผิดอี๊ก เช็คดูมือถือก็ไม่มีพนักงานโทรมาแจ้งว่าได้หรือไม่ได้ (ตอนเช็คอิน แฟนเราทิ้งเบอร์ไว้ด้วย) ก็ไม่เป็นไร เล่นเจ็ทสกีกัน ระหว่างที่เล่นเรากับแฟนก็ไปแอบดูรีสอร์ทข้างเคียงค่ะ แลดูสวยงามพอ ๆ กัน เครื่องเล่นปั๊มลมก็น่าเล่นกันกว่ามาก แลดูใหม่ แลดูน่าสนุก หันกลับมามองรีสอร์ทตัวเอง เห็นเครื่องเล่นนอนพังพาบฝุ่นเขรอะอยู่บนเขื่อนก็ได้แต่เบะปากเบา ๆ เป็นรูปกราฟพาราโบล่า แล้วถอนหายใจจนน้ำในเขื่อนกระเพื่อม
13. แฟนเราโทรไปขอเลทเช็คเอาท์ค่ะ พนักงานยืนยันว่าไม่ได้ ยังไงก็ให้ไม่ได้ เพราะวันนี้แขกจะเข้าพักเต็ม (อยู่มาตั้งแต่วันอาทิตย์ไม่เห็นเต็มเลยซักวัน) จนสุดท้ายพนักงานบอกว่า “งั้นให้เลทได้ จากเที่ยงเป็นเที่ยงครึ่งแล้วกันค่ะ” ฮ่าๆๆๆๆๆๆ T_T
14. พอจะได้เช็คเอาท์ก็แจ็คพ็อตแตกค่ะ ได้เจอกับเจ้าของรีสอร์ทอยู่ที่ reception นี่คงเป็นบุญที่เราสองคนได้สร้างสมมาแต่เก่าก่อนสินะ เรางี้คิดสคริปต์เตรียมจะฟ้องเจ้าของให้รับทราบค่ะ ฮ่าๆ ฮี่ๆ ระหว่างเช็คเอาท์พนักงานก็เอาบิลค่าอาหารของคืนแรกมาให้ เราเตือนแฟนให้เช็คจำนวนเบียร์ในบิลนั้นด้วย เพราะพนักงานเอามาให้สามขวด ทานจริงแค่สองขวด ขวดที่ไม่ได้เปิดวางคืนไว้บนโต๊ะอาหาร ปรากฏว่ารีสอร์ทชาร์จเราสามขวดจริง ๆ ค่ะ แฟนเราก็ทักท้วงกับพนักงาน พนักงานวอไปถามห้องอาหาร และสิ่งที่ห้องอาหารวอกลับมาก็คือ “วางขวดเบียร์คืนไว้ตรงไหนค้า ไม่มีนะค้า แอบไว้ที่ไหนล่ะค้า” (อ๊ากกกกกกกกกกก ตูจะแอบทำไม!!!!)
15. เรากับแฟนตอบไปว่า ก็วางคืนไว้บนโต๊ะทานข้าวที่ห้องอาหารนั่นแหละ แฟนเราก็อธิบายต่อ (กะจะให้เจ้าของได้ยินด้วย) ว่า คืนนั้นไม่มีใครอยู่ดูแลเลยนะ พวกเราเลยก็วางขวดเบียร์นั่นที่โต๊ะ ยังพูดไม่ทันจะจบประโยค พนักงาน reception ก็พูดแทรกเสียงดังว่า “ค่ะๆๆๆๆ ทราบแล้วค่ะ!!!!” งงสิคะ งง สมองไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับปฏิกิริยาแบบนี้จากพนักงาน เรานี่รีบหันขวับไปมองหน้าเจ้าของรีสอร์ทที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เลยค่ะ อารมณ์แบบ เห็นมั้ย เห็นสิ่งที่พนักงานทำกับดาวมั้ย!! แต่สิ่งที่เราเห็นคือเค้านั่งมองเหตุการณ์นี้แล้ว “ยิ้ม” ฮีเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังมองพวกเราแบบซึมซับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วยิ้มอย่างมีความสุข แสนสุข สุขี สุโข เราเลยตัดสินใจว่า ฟ้องตานี่ไปก็เท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์โภชผลอันใดแล้ว กลับบ้านแล้วก่นด่าอีรีสอร์ทนี้รัว ๆ น่าจะดีต่อสุขภาพจิตเรามากกว่า
ข้อความเกินแล้วค่ะ เดี๋ยวมาต่อคอมเม้นท์ข้างล่างนะคะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น