สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมารีวิว แหล่งท่องเที่ยวของทริปกรีซกันค่ะ ซึ่งเป็นทริปการเดินทางเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาของปีนี้ (ดองเอาไว้นานมาก ถ้าเป็นกิมจิคงอร่อยกำลังดี 555 ) ต้องออกตัวก่อนว่ารูปอาจจะสวยบ้างไม่สวยบ้างนะคะ เพราะแต่เริ่มเดิมที่ไม่ได้ตั้งใจเอามาทำรีวิวเลย แต่มานั่งคิดวันเวลาผ่านไปหากอย่างน้อยกลับมาอ่านรีวิวที่ลงไว้ก็ทำให้เราไม่ลืมความสุขในอดีตได้ค่ะ
เรามารู้จัก ประเทศกรีซกันก่อนค่ะ ประเทศกรีซหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “สาธารณรัฐเฮลเลนิก” ประเทศที่เต็มไปด้วยอารยธรรมโบราณหรือจะเรียกว่าเป็นดินแดนแห่งต้นกำเนินอารยธรรมของโลกก็ว่าได้ค่ะ แต่ทริปนี้เราไม่ได้เที่ยวแต่โบราณสถานนะคะ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศที่สวยงามอย่างเกาะมิโครนอสและเกาะซานโตรินี่อีกด้วย เกาะทั้งสองแห่งนี้ถือเป็นปลายทางที่นักท่องเที่ยวหลายท่านใฝฝันจะมาเที่ยวชมกันค่ะ
ก่อนการเดินทางเราต้องเริ่มจากการทำวีซ่าก่อนนะคะ
สถานทูตสาธารณรัฐเฮลเลนิกประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ที่อาคารสาธรนคร ทาวเวอร์ ชั้น 23
เปิดทำการทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 10.00 – 13.00 น.
การเดินทางหากมาโดยรถไฟฟ้าBTS ก็ลงสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี แล้วก็เดินมายังอาคารสาธรนคร ทาวเวอร์ แลกบัตรและขึ้นลิฟท์ ไปชั้น 23 ได้เลยค่ะ
เอกสารในการทำวีซ่ากรีซ จะคล้ายคลึงกลับกลุ่มวีซ่า Schengen ของสถานทูตอื่นๆค่ะ ซึ่งมีเอกสารดังนี้ค่ะ
1.หนังสือเดินทาง (Passport) พร้อมถ่ายเอกสาร 1 ชุด มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 3 เดือน นับจากวันเดินทางกลับ
2.รูปถ่ายสีพื้นหลังสีขาวหรือฟ้าอ่อน(แต่แนะนำให้ถ่ายพื้นหลังสีขาวดีกว่าค่ะเพราะสามารถใช้ได้กับอีกหลายๆสถานทูต) ขนาด 1.6X2.4 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
3.จดหมายรับรองการทำงาน (ภาษาอังกฤษ)
4.หลักฐานการเงินย้อนหลัง 6 เดือน เช่น สมุดบัญชีเงินฝาก, bank statement และต้องมียอดเงินที่สามารถออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้ประมาณ 50 ยูโร ต่อวัน รวมค่าตั๋วเครื่องบินแล้วก็จะประมาณ 50,000-60,000 บาทต่อคนสำหรับทริปสั้นๆค่ะ
5.สำเนาใบจองตั๋วเครื่องบินระบุวันที่เดินทางไปกลับ
6.หลักฐานการจองโรงแรม
7.สำเนาประกันสุขภาพและอุบัติเหตุที่มีวงเงินคุ้มครองอย่างต่ำมูลค่าเท่ากับ 30,000 ยูโร และมีผลคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่พำนักอยู่ในกลุ่มประเทศสัญญาเชงเก็น
8.เอกสารอื่นๆถ้ามี เช่น สำเนาทะเบียนสมรส ใบสูติบัตร กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เอกสารที่ยื่นเพิ่มเติมเหล่านี้ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ รับรองจากกระทรวงการต่างประเทศนะคะ
9.ฟอร์มการขอวีซ่าที่กรอกเรียบร้อย
เมื่อไปถึงเราก็ไปยืนต่อคิวรอสถานทูตเปิดนะคะ ควรไปก่อนเวลาเปิดเพราะถ้าเราไปสายบ้างครั้งติดคิวก่อนหน้าเป็นสิบๆคนก็จะใช้เวลาค่อนวันเลยค่ะ เมื่อถึงเวลาเปิดทำการเจ้าหน้าที่จะแจกบัตรคิวหากเราเป็นคิวแรกๆก็จะนั่งรอด้านหน้าบริเวณห้องรับรองสถานทูต แต่ถ้าเลยคิวที่ 5 ไปก็จะต้องลงมานั่งรอตรงชั้นล่างบริเวณประชาสัมพันธ์ค่ะ
เมื่อเอกสารผ่านเรียบร้อยก็จะทำการถ่ายรูป บันทึกลายนิ้วมือ 10 นิ้ว และลงไปจ่ายค่าวีซ่าที่ธนาคารกสิกรไทยด้านล่างหน้าอาคารสาธรนคร ทาวเวอร์ จากนั้นนำสลิปมาให้เจ้าหน้าที่แผนกวีซ่า แล้วจะได้รับใบนัดนับเล่มค่ะ
วีซ่าจะใช้เวลาทำประมาณ 3-5 วันทำการแล้วแต่ช่วงนะคะ ถ้าไฮซีซั่นก็จะนานหน่อย
เมื่อได้วีซ่าเรียบร้อยแล้วก็พร้อมออกเดินทางไปกันเลยค่ะ
เที่ยวบินที่ใช้เดินทางสำหรับทริปนี้ เป็นเที่ยวบินของสายการบินอียิปต์แอร์ (Egypt Air)
ขาไป
MS961 BKK - CAI 00.50 - 05.50 ใช้เวลาเดินทาง 10 ชม. และรอต่อเครื่อง 3.30 ชม.
MS747 CAI - ATH 10.30 - 12.30
ขากลับ
MS748 ATH - CAI 16.00 - 17.50 ขากลับรอต่อเครื่องประมาณ 5 ชม.
MS960 CAI - BKK 23.30 - 12.40+1
เราเลือกเดินทางกับทางสายการบินอียิปต์แอร์ ซึ่งกลุ่มสายการบินในเครือ Star Alliance สามารถสะสมไมล์ร่วมกับทางการบินไทยได้นะคะ
วันแรก เราทำการเช็คอิน ณ เคาท์เตอร์ สายการบินอียิปต์แอร์ค่ะ อยู่แถวบริเวณ Row Q ซึ่งเราจะได้Boarding Pass มา 2 ใบเลยนะคะ
จากนั้นเราก็มารอที่Gateกันดีกว่าค่ะ
ได้เวลาBoarding Time เราก็ขึ้นเครื่องกันเลยค่ะ
ยินดีตอนรับสู่การเดินทางกับทางอียิปต์แอร์ Welcome
เครื่องที่นำมาทำการบินเส้นทางกรุงเทพ-ไคโร เป็น Airbus A330 300 ซึ่งที่นั่งบนเครื่องจะเป็น 3-3-3 หากเดินทางมาเป็นคู่จะจัดยากค่ะ แต่ถ้ามาเป็นพ่อ-แม่-ลูก ถือว่าลงตัวพอดี แอบมืดหน่อยนะคะ ขณะที่ถ่ายรูปเป็นเวลาเกือบๆตีหนึ่งแล้ว
เครื่อง Airbus A330 300 ของทางอียิปต์แอร์เป็นเครื่องลำใหม่นะคะ มีจอส่วนตัวทุกที่นั่งและที่สำคัญคือ มีช่องเสียบUSB สามารถชาร์จ iPhone,iPad,Samsung และอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารอื่นๆได้ค่ะ สบายเลยทีเดียว ไม่ต้องง้อPower bankเลยค่ะ
หลังจากเครื่องออกในเวลา 00.50 น. สักพักก็จะมีการเสริฟ์อาหารบนเครื่อง ซึ่งเทียวบินกรุงเทพ-ไคโรนี้จะเสริฟ์อาหาร 2 รอบ คือ มื้อดึก ในช่วงที่เครื่องตั้งลำเรียบร้อยแล้ว และมื้อเช้า ประมาณ 2 ชม. ก่อนเครื่องทำการลงจอดที่ไคโร
ซึ่งเรารับแค่มื้อเช้านะคะ มื้อดึกไม่ไหวขอนอนดีกว่า
วันที่สอง เมื่อมาถึงสนามบินไคโร เวลา 05.50 น. เราก็ทำการผ่าน security ขึ้นไปชั้น 2 ยังบริเวณรอต่อเครื่องค่ะ เดินดูในสนามบินไคโร มีร้านค้า ร้านอาหารมากมายค่ะและก็มีครอบครัวอียิปต์มาต้อนรับเรา
(นั้นมันหุ่นโชว์ขายชุดแต่งการไม่ใช่หรอ )
จากนั้นเราก็ทำการบินกันอีกครั้งค่ะ บินจากไคโร ไป เอเธนส์ ซึ่งจะใช้เวลาอีก 2 ชม. ค่ะ เที่ยวบินนี้จะเต็มไปด้วยแรงงานอียิปต์ ไปทำงานที่กรีซนะคะ เยอะมาก แม้ว่าเบาะจะใหญ่แต่พอเจอแขกตัวใหญ่ๆนี้ ที่นั่งบนเครื่องเล็กลงไปเลยค่ะ
12.30 น. เราก็เดินทางถึงประเทศกรีซ กันแล้ว ลงจากเครื่องผ่านตม.ก็ค่อนข้างใช้เวลานิดนะคะ เพราะว่าแรงงานมาทำงานเยอะมาก เมื่อออกจากสนามบินเราก็จะได้เห้นสภาพบ้านเมืองของเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ ซึ่งเราเดินทางมาถึงในวันอาทิตย์ ร้านค้าส่วนใหญ่จึงปิดกันทำให้เมืองดูเงียบเหงามากค่ะ เข้าเช็คอินกันที่โรงแรม Novotel Athens กันก่อนเลยค่ะ
ด้านนอกของโรงแรมโนโวเทล โรงแรมดูไม่ใหญ่โตเท่าไรค่ะเทียบกับโนโวเทลบ้านเราแล้วดูเล็กกว่าเยอะค่ะ
บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมค่ะ
ภายในห้องพักขนาดดูค่อนข้างเล็กไปนิดนะคะ แต่ก็ไม่อึดอัดค่ะ
โรงแรมนี้มีน้ำดื่มฟรีให้ด้วย ปกติจะไม่มีนะคะ
จากนั้นอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วก็ออกไปเที่ยวกัน
โดยเราจะเริ่มเที่ยวแบบCity Tour เมืองเอเธนส์กันก่อนเลยค่ะ เอเธนส์ เป็นเมืองหลวงของประเทศกรีซ ซึ่งได้มีการตั้งชื่อตามเทพีอธีนา (Athena) โดยชื่อของเมืองแห่งนี้ เกิดจากการแข่งขันระหว่างมหาเทพ 2 องค์คือ เทพีอธีนา และ เทพโพไซดอน ซึ่งผลออกมาเทพีอธีนาเป็นผู้ชนะค่ะ ทำให้ชื่อเมืองแห่งนี้ได้ตั้งตามชื่อของเทพีอธนา กลายเป็นเมืองเอเธนส์นั้นเอง เราเริ่มเห็นอโครโปลิสแล้ว แต่ยังไม่เที่ยวนะคะ จะกลับมาเที่ยวอีกครั้งค่ะ
จากนั้นรถก็วิ่งผ่านหลายจุดค่ะ สิ่งก่อสร้างในเอเธนส์ ล้วนทำให้เราได้สัมผัสกับความเป็นอารยธรรมกรีกโบราณดีจริงๆค่ะ
รถจะขับผ่านโบราณสถานภายในเมืองเอเธนส์ และจะมาจอดให้เราถ่ายรูปกันที่ จัตุรัสซินตั๊กม่า (Syntagma Square) ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภาแห่งชาติ
จุดที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนเวรยามของทหาร และเราก็มาได้เวลาพอดีเลยค่ะ
ทหารชุดใหม่กับทหารชุดเก่ากำลังผลัดเปลี่ยนเวรยามกันค่ะ สิ่งที่น่าดึงดูดคือชุดที่ทหารสวมใส่นั้นเองคะ
จากนั้นรถก็จะมาจอดให้เราถ่ายรูปกันที่ Old Olympic Stadium Athens หรือ สนามกีฬาPanathenaic สร้างขึ้นเพื่อใข้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปีค.ศ.1896 ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกของโลก
แล้วเราก็มาเดินเล่นช้อปปิ้งกันที่พลาก้า (PLAKA) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาอะโครโปลิส ในย่านนี้จะเต็มไปด้วยร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ร้านอาหาร และ มีพ่อค้าผิวสีมายืนขายของแบรนด์เนมปลอม เต็มไปหมดเลยค่ะ ที่ว่าถือของปลอมเข้ายุโรปไม่ได้ ถ้าจะไม่ใช่ที่กรีซแล้วค่ะ
โบสถ์สวยๆที่ย่านพลาก้าค่ะ
มาดูความพยายามร้านนี้คะ เค้าเขียนคำว่าน้ำชาเป็นหลายๆภาษา ซึ่งในนั้นมีภาษาไทยด้วย แต่ว่ามันอ่านว่าน้ำชาจริงๆหรอคะ
จากนั้นเราก็ทานอาหารเย็นกันที่ย่านพลาก้า และกลับโรงแรมที่พัก พักผ่อนเอาแรงก่อนนะคะ พรุ่งนี้เราจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งเรือไปเกาะมิโคนอสกันค่ะ
มาดูมื้อแรกที่กรีซกันนะคะ จากนั้นมื้ออื่นๆก็หน้าตาประมาณนี้หมดเลยค่ะ
สลัดแบบกรีซแท้ๆ ใส่น้ำมันมะกอกค่ะ
วันที่สาม โรงแรมโนโวเทล เอเธนส์จะเปิดให้บริการอาหารเช้าตั้งแต่ 06.00 น. ค่ะ เราพอมีเวลาทานข้าวเช้าที่โรงแรมกันประมาณ 30 นาที ก็ต้องรีบไปที่ท่าเรือราฟิน่า เพื่อเดินทางลงเรือไปเกาะมิโคนอสกันค่ะ
เรื่อทีใช้เดินทางเป็นของบริษัทชื่อ Golden Star Ferries โดยจะวิ่งจากท่า Rafina แวะจอดที่เกาะ Andros และ Tinos และถึงไปจอดที่เกาะ Mykonos เป็นท่าปลายทาง โดยเรือจะออกจากท่า Rafina เวลา 07.50 น. และไปถึงเกาะมิโคนอสเวลา 12.20 น.คะ
เรามาดูบรรยากาศภายในเรือกันดีกว่าค่ะ เริ่มที่ชั้นล่างจะเป็นที่เก็บรถยนต์ เราจะขึ้นบันไดเลื่อน ไปยังชั้นสองค่ะ
ชั้นสองนี้จะเป็นส่วนของล็อบบี้ เลาจ์ มีอาหารเครื่องดื่มให้สั่งระหว่างเดินทาง เนื่องจากใช้เวลา 4.30 ชม. บางท่านก็เลือกดื่มอะไรชิวๆกันที่ตรงนี้ได้ค่ะ
ชั้นสามจะเป็นส่วนของเก้าอี้นั่งค่ะ แต่ว่าใครจะนั่งตรงไหนก็ได้นะคะ ตรงนี้โล่งมากไม่ค่อยมีคนมานั่งเลยค่ะ
ด้านหลังชั้นสามจะเป็นที่นั่งท้ายลำเรือ รับลมสบายๆ แต่แอบมีกลิ่นควันเครื่องยนต์แรงค่ะ
และหากขึ้นไปชั้นสี่ก็จะเป็นเก้าอี้โต๊ะๆ นั่งรับลมเช่นกันค่ะเหมาะสำหรับคนสูบบุหรี่จริงๆ
เดี๋ยวมาชมภาพการท่องเที่ยวกันต่อนะคะ
[CR] Review เที่ยวดินแดนเหล่าทวงเทพ “กรีซ” พักผ่อนบนเกาะแสนสวย “Mykonos” และ “Santorini” บินไปกับ Egypt Air
เรามารู้จัก ประเทศกรีซกันก่อนค่ะ ประเทศกรีซหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “สาธารณรัฐเฮลเลนิก” ประเทศที่เต็มไปด้วยอารยธรรมโบราณหรือจะเรียกว่าเป็นดินแดนแห่งต้นกำเนินอารยธรรมของโลกก็ว่าได้ค่ะ แต่ทริปนี้เราไม่ได้เที่ยวแต่โบราณสถานนะคะ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศที่สวยงามอย่างเกาะมิโครนอสและเกาะซานโตรินี่อีกด้วย เกาะทั้งสองแห่งนี้ถือเป็นปลายทางที่นักท่องเที่ยวหลายท่านใฝฝันจะมาเที่ยวชมกันค่ะ
ก่อนการเดินทางเราต้องเริ่มจากการทำวีซ่าก่อนนะคะ
สถานทูตสาธารณรัฐเฮลเลนิกประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ที่อาคารสาธรนคร ทาวเวอร์ ชั้น 23
เปิดทำการทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 10.00 – 13.00 น.
การเดินทางหากมาโดยรถไฟฟ้าBTS ก็ลงสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี แล้วก็เดินมายังอาคารสาธรนคร ทาวเวอร์ แลกบัตรและขึ้นลิฟท์ ไปชั้น 23 ได้เลยค่ะ
เอกสารในการทำวีซ่ากรีซ จะคล้ายคลึงกลับกลุ่มวีซ่า Schengen ของสถานทูตอื่นๆค่ะ ซึ่งมีเอกสารดังนี้ค่ะ
1.หนังสือเดินทาง (Passport) พร้อมถ่ายเอกสาร 1 ชุด มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 3 เดือน นับจากวันเดินทางกลับ
2.รูปถ่ายสีพื้นหลังสีขาวหรือฟ้าอ่อน(แต่แนะนำให้ถ่ายพื้นหลังสีขาวดีกว่าค่ะเพราะสามารถใช้ได้กับอีกหลายๆสถานทูต) ขนาด 1.6X2.4 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
3.จดหมายรับรองการทำงาน (ภาษาอังกฤษ)
4.หลักฐานการเงินย้อนหลัง 6 เดือน เช่น สมุดบัญชีเงินฝาก, bank statement และต้องมียอดเงินที่สามารถออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้ประมาณ 50 ยูโร ต่อวัน รวมค่าตั๋วเครื่องบินแล้วก็จะประมาณ 50,000-60,000 บาทต่อคนสำหรับทริปสั้นๆค่ะ
5.สำเนาใบจองตั๋วเครื่องบินระบุวันที่เดินทางไปกลับ
6.หลักฐานการจองโรงแรม
7.สำเนาประกันสุขภาพและอุบัติเหตุที่มีวงเงินคุ้มครองอย่างต่ำมูลค่าเท่ากับ 30,000 ยูโร และมีผลคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่พำนักอยู่ในกลุ่มประเทศสัญญาเชงเก็น
8.เอกสารอื่นๆถ้ามี เช่น สำเนาทะเบียนสมรส ใบสูติบัตร กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เอกสารที่ยื่นเพิ่มเติมเหล่านี้ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ รับรองจากกระทรวงการต่างประเทศนะคะ
9.ฟอร์มการขอวีซ่าที่กรอกเรียบร้อย
เมื่อไปถึงเราก็ไปยืนต่อคิวรอสถานทูตเปิดนะคะ ควรไปก่อนเวลาเปิดเพราะถ้าเราไปสายบ้างครั้งติดคิวก่อนหน้าเป็นสิบๆคนก็จะใช้เวลาค่อนวันเลยค่ะ เมื่อถึงเวลาเปิดทำการเจ้าหน้าที่จะแจกบัตรคิวหากเราเป็นคิวแรกๆก็จะนั่งรอด้านหน้าบริเวณห้องรับรองสถานทูต แต่ถ้าเลยคิวที่ 5 ไปก็จะต้องลงมานั่งรอตรงชั้นล่างบริเวณประชาสัมพันธ์ค่ะ
เมื่อเอกสารผ่านเรียบร้อยก็จะทำการถ่ายรูป บันทึกลายนิ้วมือ 10 นิ้ว และลงไปจ่ายค่าวีซ่าที่ธนาคารกสิกรไทยด้านล่างหน้าอาคารสาธรนคร ทาวเวอร์ จากนั้นนำสลิปมาให้เจ้าหน้าที่แผนกวีซ่า แล้วจะได้รับใบนัดนับเล่มค่ะ
วีซ่าจะใช้เวลาทำประมาณ 3-5 วันทำการแล้วแต่ช่วงนะคะ ถ้าไฮซีซั่นก็จะนานหน่อย
เมื่อได้วีซ่าเรียบร้อยแล้วก็พร้อมออกเดินทางไปกันเลยค่ะ
เที่ยวบินที่ใช้เดินทางสำหรับทริปนี้ เป็นเที่ยวบินของสายการบินอียิปต์แอร์ (Egypt Air)
ขาไป
MS961 BKK - CAI 00.50 - 05.50 ใช้เวลาเดินทาง 10 ชม. และรอต่อเครื่อง 3.30 ชม.
MS747 CAI - ATH 10.30 - 12.30
ขากลับ
MS748 ATH - CAI 16.00 - 17.50 ขากลับรอต่อเครื่องประมาณ 5 ชม.
MS960 CAI - BKK 23.30 - 12.40+1
เราเลือกเดินทางกับทางสายการบินอียิปต์แอร์ ซึ่งกลุ่มสายการบินในเครือ Star Alliance สามารถสะสมไมล์ร่วมกับทางการบินไทยได้นะคะ
วันแรก เราทำการเช็คอิน ณ เคาท์เตอร์ สายการบินอียิปต์แอร์ค่ะ อยู่แถวบริเวณ Row Q ซึ่งเราจะได้Boarding Pass มา 2 ใบเลยนะคะ
จากนั้นเราก็มารอที่Gateกันดีกว่าค่ะ
ได้เวลาBoarding Time เราก็ขึ้นเครื่องกันเลยค่ะ
ยินดีตอนรับสู่การเดินทางกับทางอียิปต์แอร์ Welcome
เครื่องที่นำมาทำการบินเส้นทางกรุงเทพ-ไคโร เป็น Airbus A330 300 ซึ่งที่นั่งบนเครื่องจะเป็น 3-3-3 หากเดินทางมาเป็นคู่จะจัดยากค่ะ แต่ถ้ามาเป็นพ่อ-แม่-ลูก ถือว่าลงตัวพอดี แอบมืดหน่อยนะคะ ขณะที่ถ่ายรูปเป็นเวลาเกือบๆตีหนึ่งแล้ว
เครื่อง Airbus A330 300 ของทางอียิปต์แอร์เป็นเครื่องลำใหม่นะคะ มีจอส่วนตัวทุกที่นั่งและที่สำคัญคือ มีช่องเสียบUSB สามารถชาร์จ iPhone,iPad,Samsung และอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารอื่นๆได้ค่ะ สบายเลยทีเดียว ไม่ต้องง้อPower bankเลยค่ะ
หลังจากเครื่องออกในเวลา 00.50 น. สักพักก็จะมีการเสริฟ์อาหารบนเครื่อง ซึ่งเทียวบินกรุงเทพ-ไคโรนี้จะเสริฟ์อาหาร 2 รอบ คือ มื้อดึก ในช่วงที่เครื่องตั้งลำเรียบร้อยแล้ว และมื้อเช้า ประมาณ 2 ชม. ก่อนเครื่องทำการลงจอดที่ไคโร
ซึ่งเรารับแค่มื้อเช้านะคะ มื้อดึกไม่ไหวขอนอนดีกว่า
วันที่สอง เมื่อมาถึงสนามบินไคโร เวลา 05.50 น. เราก็ทำการผ่าน security ขึ้นไปชั้น 2 ยังบริเวณรอต่อเครื่องค่ะ เดินดูในสนามบินไคโร มีร้านค้า ร้านอาหารมากมายค่ะและก็มีครอบครัวอียิปต์มาต้อนรับเรา (นั้นมันหุ่นโชว์ขายชุดแต่งการไม่ใช่หรอ )
จากนั้นเราก็ทำการบินกันอีกครั้งค่ะ บินจากไคโร ไป เอเธนส์ ซึ่งจะใช้เวลาอีก 2 ชม. ค่ะ เที่ยวบินนี้จะเต็มไปด้วยแรงงานอียิปต์ ไปทำงานที่กรีซนะคะ เยอะมาก แม้ว่าเบาะจะใหญ่แต่พอเจอแขกตัวใหญ่ๆนี้ ที่นั่งบนเครื่องเล็กลงไปเลยค่ะ
12.30 น. เราก็เดินทางถึงประเทศกรีซ กันแล้ว ลงจากเครื่องผ่านตม.ก็ค่อนข้างใช้เวลานิดนะคะ เพราะว่าแรงงานมาทำงานเยอะมาก เมื่อออกจากสนามบินเราก็จะได้เห้นสภาพบ้านเมืองของเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ ซึ่งเราเดินทางมาถึงในวันอาทิตย์ ร้านค้าส่วนใหญ่จึงปิดกันทำให้เมืองดูเงียบเหงามากค่ะ เข้าเช็คอินกันที่โรงแรม Novotel Athens กันก่อนเลยค่ะ
ด้านนอกของโรงแรมโนโวเทล โรงแรมดูไม่ใหญ่โตเท่าไรค่ะเทียบกับโนโวเทลบ้านเราแล้วดูเล็กกว่าเยอะค่ะ
บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมค่ะ
ภายในห้องพักขนาดดูค่อนข้างเล็กไปนิดนะคะ แต่ก็ไม่อึดอัดค่ะ
โรงแรมนี้มีน้ำดื่มฟรีให้ด้วย ปกติจะไม่มีนะคะ
จากนั้นอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วก็ออกไปเที่ยวกัน
โดยเราจะเริ่มเที่ยวแบบCity Tour เมืองเอเธนส์กันก่อนเลยค่ะ เอเธนส์ เป็นเมืองหลวงของประเทศกรีซ ซึ่งได้มีการตั้งชื่อตามเทพีอธีนา (Athena) โดยชื่อของเมืองแห่งนี้ เกิดจากการแข่งขันระหว่างมหาเทพ 2 องค์คือ เทพีอธีนา และ เทพโพไซดอน ซึ่งผลออกมาเทพีอธีนาเป็นผู้ชนะค่ะ ทำให้ชื่อเมืองแห่งนี้ได้ตั้งตามชื่อของเทพีอธนา กลายเป็นเมืองเอเธนส์นั้นเอง เราเริ่มเห็นอโครโปลิสแล้ว แต่ยังไม่เที่ยวนะคะ จะกลับมาเที่ยวอีกครั้งค่ะ
จากนั้นรถก็วิ่งผ่านหลายจุดค่ะ สิ่งก่อสร้างในเอเธนส์ ล้วนทำให้เราได้สัมผัสกับความเป็นอารยธรรมกรีกโบราณดีจริงๆค่ะ
รถจะขับผ่านโบราณสถานภายในเมืองเอเธนส์ และจะมาจอดให้เราถ่ายรูปกันที่ จัตุรัสซินตั๊กม่า (Syntagma Square) ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภาแห่งชาติ
จุดที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนเวรยามของทหาร และเราก็มาได้เวลาพอดีเลยค่ะ
ทหารชุดใหม่กับทหารชุดเก่ากำลังผลัดเปลี่ยนเวรยามกันค่ะ สิ่งที่น่าดึงดูดคือชุดที่ทหารสวมใส่นั้นเองคะ
จากนั้นรถก็จะมาจอดให้เราถ่ายรูปกันที่ Old Olympic Stadium Athens หรือ สนามกีฬาPanathenaic สร้างขึ้นเพื่อใข้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปีค.ศ.1896 ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกของโลก
แล้วเราก็มาเดินเล่นช้อปปิ้งกันที่พลาก้า (PLAKA) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาอะโครโปลิส ในย่านนี้จะเต็มไปด้วยร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ร้านอาหาร และ มีพ่อค้าผิวสีมายืนขายของแบรนด์เนมปลอม เต็มไปหมดเลยค่ะ ที่ว่าถือของปลอมเข้ายุโรปไม่ได้ ถ้าจะไม่ใช่ที่กรีซแล้วค่ะ
โบสถ์สวยๆที่ย่านพลาก้าค่ะ
มาดูความพยายามร้านนี้คะ เค้าเขียนคำว่าน้ำชาเป็นหลายๆภาษา ซึ่งในนั้นมีภาษาไทยด้วย แต่ว่ามันอ่านว่าน้ำชาจริงๆหรอคะ
จากนั้นเราก็ทานอาหารเย็นกันที่ย่านพลาก้า และกลับโรงแรมที่พัก พักผ่อนเอาแรงก่อนนะคะ พรุ่งนี้เราจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งเรือไปเกาะมิโคนอสกันค่ะ
มาดูมื้อแรกที่กรีซกันนะคะ จากนั้นมื้ออื่นๆก็หน้าตาประมาณนี้หมดเลยค่ะ
สลัดแบบกรีซแท้ๆ ใส่น้ำมันมะกอกค่ะ
วันที่สาม โรงแรมโนโวเทล เอเธนส์จะเปิดให้บริการอาหารเช้าตั้งแต่ 06.00 น. ค่ะ เราพอมีเวลาทานข้าวเช้าที่โรงแรมกันประมาณ 30 นาที ก็ต้องรีบไปที่ท่าเรือราฟิน่า เพื่อเดินทางลงเรือไปเกาะมิโคนอสกันค่ะ
เรื่อทีใช้เดินทางเป็นของบริษัทชื่อ Golden Star Ferries โดยจะวิ่งจากท่า Rafina แวะจอดที่เกาะ Andros และ Tinos และถึงไปจอดที่เกาะ Mykonos เป็นท่าปลายทาง โดยเรือจะออกจากท่า Rafina เวลา 07.50 น. และไปถึงเกาะมิโคนอสเวลา 12.20 น.คะ
เรามาดูบรรยากาศภายในเรือกันดีกว่าค่ะ เริ่มที่ชั้นล่างจะเป็นที่เก็บรถยนต์ เราจะขึ้นบันไดเลื่อน ไปยังชั้นสองค่ะ
ชั้นสองนี้จะเป็นส่วนของล็อบบี้ เลาจ์ มีอาหารเครื่องดื่มให้สั่งระหว่างเดินทาง เนื่องจากใช้เวลา 4.30 ชม. บางท่านก็เลือกดื่มอะไรชิวๆกันที่ตรงนี้ได้ค่ะ
ชั้นสามจะเป็นส่วนของเก้าอี้นั่งค่ะ แต่ว่าใครจะนั่งตรงไหนก็ได้นะคะ ตรงนี้โล่งมากไม่ค่อยมีคนมานั่งเลยค่ะ
ด้านหลังชั้นสามจะเป็นที่นั่งท้ายลำเรือ รับลมสบายๆ แต่แอบมีกลิ่นควันเครื่องยนต์แรงค่ะ
และหากขึ้นไปชั้นสี่ก็จะเป็นเก้าอี้โต๊ะๆ นั่งรับลมเช่นกันค่ะเหมาะสำหรับคนสูบบุหรี่จริงๆ
เดี๋ยวมาชมภาพการท่องเที่ยวกันต่อนะคะ