กำลังนั่งเขียนบทความวันคริสตมาศ แต่เอาไปเอามาไม่รู้ยังไง มาเขียนบทความนี้ได้ ลองแลกเปลี่ยนความคิดดูครับ มีอะไรสอบถามได้ครับหรือ
ติดตามบทความต่างๆได้ที่ alccr.org
ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตมีสามความเชื่อใหญ่ๆคือ
1.กรรมลิขิต คือผลจากอดีตชาติเป็นผู้กำหนด 2.พรมหลิขิตคือพระเจ้าเป็นผู้กำหนด 3.ข้าลิขิตคือ เราเป็นผู้กำหนดเอง ชีวิตของท่านเชื่ออะไร? คริสเตียนเชื่อทั้งสามอย่างแต่มีรายละอียดและมุมมองบางมุมที่ไม่เหมือนกัน
กรรมลิขิต
1.คริสเตียนไม่เชื่อเรื่องอดีตชาติเพราะเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว แต่คริสเตียนเชื่อว่าชีวิตเรารับผลกระทบจากอดีตของตัวเราและคนที่อยู่ก่อนหน้าเรา เช่นถ้าเราขยันและอดทน เราก็จะเจริญซึ่งผลของการกระทำส่งผลถึงชีวิตเรา หรือคนที่อยู่ก่อนหน้าเราส่งผลต่อชีวิตของเรา เช่นถ้าพ่อแม่ขยัน ลูกก็จะสบาย ซึ่งผลการกระทำของพ่อแม่ย่อมส่งผลถึงลูก ลูกรับอิทธิผลขอการกระทำจากพ่อแม่ เช่น พ่อแม่ติดคุกแต่ ลูกไม่ติดคุกแต่ลูกลำบากเพราะขาดคนเลี้ยงดู หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ คนที่อาศัยอยู่ก่อนหน้าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวจึงตัดไม่ทำลายป่า เอาของเสียลงแม่น้ำซึ่งทำให้คนที่เกิดมาภายหลังมีความทุกข์ยากลำบากเพราะ อากาศร้อน แม่น้ำสกปรกและมีโรคต่างๆเกิดขึ้น ดังนั้นเราต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิตของเราเพราะอะไรที่เราทำจะส่งผลต่อตัวเราและคนที่ตามเรามา
พรมหลิขิต
2.คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าเพราะพระเจ้าสร้างและวางแผนให้เราใช้ชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์บนโลก แต่พระองค์จะไม่บังคับให้เราทำแต่พระองค์จะให้เราเลือก นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงมีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีเพราะเรามีอิสระที่จะเลือก และถ้ามนุษย์รู้จักเลือกและใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมเขาจะพบความสุขในชีวิตตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ ดังนั้นคริสเตียนจึงไปโบสถ์เพื่อศึกษาและเรียนรู้ว่าอะไรที่พระเจ้าจะสามารถอวยพรเราเมื่อเราทำ และอะไรที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเราซึ่งมารได้พยายามวางบ่วงไว้
ถึงแม้โลกนี้มีพระเจ้า แต่พระองค์ทรงให้เกียรติแก่มนุษย์ที่พระองค์สร้างโดยให้เขามีหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานความสามารถให้เราแต่ละคนเป็นของขวัญและพระเจ้าต้องการให้เราเลือกว่าเราจะใช้ตามทางพระเจ้าหรือตามคำล่อลวงของมารหรือบาป เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตของเราจากพระเจ้า ท่านเรียนรู้การใช้ชีวิตของท่านจากใคร? พระคำของพระเจ้าได้ตรัสอย่างชัดเจนว่ามนุษย์มีหน้าที่ที่ต้องทำในส่วนของตนเองและพระเจ้าจะทำในส่วนของพระองค์ ถึงแม้เราเป็นคนหว่าน คนปลูกและคนรดน้ำแต่พระคัมภีร์ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เติบโต
“ข้าพเจ้าได้ปลูก อปอลโลได้รดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต” 1โครินทร์ 3: 6
ข้าลิขิต
3.คริสเตียนเชื่อว่ามนุษย์ต่างมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งปัญญาและพระองค์ประทานให้เรามีความสามารถต่างๆ และมีสติปัญญาในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้นแต่เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วย เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อกันและกันดังนั้นความสามารถของเราแต่ละคนจึงต่างกันออกไป ชีวิตบนโลกนี้คงอยู่ลำบากขึ้นถ้าทุกคนเลือกเป็นคนที่เห็นแก่ตัว
เราไม่ได้รับผิดชอบต่อผู้อื่นเท่านั้นแต่ มนุษย์ทุกคนต่างต้องรับผิดชอบในการใช้ชีวิตของตนเอง เช่นเราต้องออกไปหว่านข้าวเพื่อที่เราจะมีข้าวกิน ถ้าเราไม่ออกไปหว่านข้าวเราก็จะไม่มีข้าวกิน เราต้องสร้างบ้านเพื่อที่จะมีบ้านอยู่ วันนี้ถ้าเราอยากกินมะม่วงเราต้องปลูกมะม่วง เราเป็นคนกำหนดว่าเราจะได้กินมะม่วงหรือกินอย่างอื่น พระคัมภีร์ได้ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าเราจะต้องรับผลในสิ่งที่เราทำลงไป
" คนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก" 2 โครินธ์ 9.6
ดังนั้นคริสเตียนเชื่อว่าเราต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองโดยการใช้ความสามารถและสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเรายังต้องพึ่งพาพระเจ้า เพราะพระองค์จะเป็นผู้ตอบแทนผลแห่งการกระทำของเราและพระองค์จะทรงช่วยดูแลและปกป้องเราในส่วนที่เราทำไม่ได้ เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่ามีการหว่านอยู่สองที่ซึ่งเราต้องรับผล คือหว่านในโลกนี้และหว่านในโลกฝ่ายวิญญาณซึ่งเราต้องเก็บเกี่ยวผลของเราทั้งสองที่ด้วย
อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร ยากอบ6:7-9
บางคนขยัน ตั้งใจเรียน มีความอดทน คนๆนั้นก็ประสบความสำเร็จบนโลกนี้แต่เขากลับลืมหว่านความดีงามซึ่งเขาจะต้องไปรับผลในโลกหน้าอันนี้ก็ไม่ดี เพราะบางคนมีปัญญารู้จักใช้ชีวิตแต่ศีลธรรมไม่ดีก็มี บางคนศีลธรรมดีแต่ขาดสติปัญญาก็ไม่ดี ถึงอย่างไรก็ตามหากคนใดหว่านความดีงามบนโลก เขาก็จะรับผลแห่งความดีงามของเขาเมื่อจากโลกนี้ไป เพราะพระเจ้าจะตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน
พระเจ้าตรัสว่า “นี่แนะเราจะมาในเร็วๆนี้และจะนำบำเหน็จของเรามาด้วยเพื่อตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน”
วิวรณ์ 22:12
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือหลายคนทำสิ่งดีงามซึ่งเขามีบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้าแน่นอนเมื่อจากโลกนี้ไปแต่ว่า เขาไม่มีสามารถไปสวรรค์ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เราอาจจะได้รับตู้เซฟที่มีเงินมากมายในนั้นแต่เรากลับไม่มีกุญแจที่จะเปิดเอาของในนั้น หากเรามีบำเหน็จรางวัลบนสวรรค์ เราต้องไปสวรรค์เพื่อไปเอา แต่เราจะไปสวรรค์ได้อย่างไร? เราสามารถไปได้ด้วยการกระทำของเราอย่างนั้นหรือ? เรามีสองทางให้เลือกคือ 1.เราไปสวรรค์ด้วยความดีของเรา หรือ 2.เราไปโดยการเดินตามพระเจ้า
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา ยอห์น 14:6
เราจะทำทางไปสวรรค์เองหรือจะเดินบนทางที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา อันนี้เราต้องเลือกเอง ท่านเลือกอะไร?
ติดตามบทความต่างๆได้ที่ alccr.org
กรรมลิขิต พรมหลิขิต ข้าลิขิต (กูลิขิต) ในมุมมองคริสเตียน
ติดตามบทความต่างๆได้ที่ alccr.org
ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตมีสามความเชื่อใหญ่ๆคือ
1.กรรมลิขิต คือผลจากอดีตชาติเป็นผู้กำหนด 2.พรมหลิขิตคือพระเจ้าเป็นผู้กำหนด 3.ข้าลิขิตคือ เราเป็นผู้กำหนดเอง ชีวิตของท่านเชื่ออะไร? คริสเตียนเชื่อทั้งสามอย่างแต่มีรายละอียดและมุมมองบางมุมที่ไม่เหมือนกัน
กรรมลิขิต
1.คริสเตียนไม่เชื่อเรื่องอดีตชาติเพราะเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว แต่คริสเตียนเชื่อว่าชีวิตเรารับผลกระทบจากอดีตของตัวเราและคนที่อยู่ก่อนหน้าเรา เช่นถ้าเราขยันและอดทน เราก็จะเจริญซึ่งผลของการกระทำส่งผลถึงชีวิตเรา หรือคนที่อยู่ก่อนหน้าเราส่งผลต่อชีวิตของเรา เช่นถ้าพ่อแม่ขยัน ลูกก็จะสบาย ซึ่งผลการกระทำของพ่อแม่ย่อมส่งผลถึงลูก ลูกรับอิทธิผลขอการกระทำจากพ่อแม่ เช่น พ่อแม่ติดคุกแต่ ลูกไม่ติดคุกแต่ลูกลำบากเพราะขาดคนเลี้ยงดู หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ คนที่อาศัยอยู่ก่อนหน้าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวจึงตัดไม่ทำลายป่า เอาของเสียลงแม่น้ำซึ่งทำให้คนที่เกิดมาภายหลังมีความทุกข์ยากลำบากเพราะ อากาศร้อน แม่น้ำสกปรกและมีโรคต่างๆเกิดขึ้น ดังนั้นเราต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิตของเราเพราะอะไรที่เราทำจะส่งผลต่อตัวเราและคนที่ตามเรามา
พรมหลิขิต
2.คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าเพราะพระเจ้าสร้างและวางแผนให้เราใช้ชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์บนโลก แต่พระองค์จะไม่บังคับให้เราทำแต่พระองค์จะให้เราเลือก นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงมีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีเพราะเรามีอิสระที่จะเลือก และถ้ามนุษย์รู้จักเลือกและใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมเขาจะพบความสุขในชีวิตตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ ดังนั้นคริสเตียนจึงไปโบสถ์เพื่อศึกษาและเรียนรู้ว่าอะไรที่พระเจ้าจะสามารถอวยพรเราเมื่อเราทำ และอะไรที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเราซึ่งมารได้พยายามวางบ่วงไว้
ถึงแม้โลกนี้มีพระเจ้า แต่พระองค์ทรงให้เกียรติแก่มนุษย์ที่พระองค์สร้างโดยให้เขามีหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานความสามารถให้เราแต่ละคนเป็นของขวัญและพระเจ้าต้องการให้เราเลือกว่าเราจะใช้ตามทางพระเจ้าหรือตามคำล่อลวงของมารหรือบาป เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตของเราจากพระเจ้า ท่านเรียนรู้การใช้ชีวิตของท่านจากใคร? พระคำของพระเจ้าได้ตรัสอย่างชัดเจนว่ามนุษย์มีหน้าที่ที่ต้องทำในส่วนของตนเองและพระเจ้าจะทำในส่วนของพระองค์ ถึงแม้เราเป็นคนหว่าน คนปลูกและคนรดน้ำแต่พระคัมภีร์ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เติบโต
“ข้าพเจ้าได้ปลูก อปอลโลได้รดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต” 1โครินทร์ 3: 6
ข้าลิขิต
3.คริสเตียนเชื่อว่ามนุษย์ต่างมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งปัญญาและพระองค์ประทานให้เรามีความสามารถต่างๆ และมีสติปัญญาในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้นแต่เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วย เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อกันและกันดังนั้นความสามารถของเราแต่ละคนจึงต่างกันออกไป ชีวิตบนโลกนี้คงอยู่ลำบากขึ้นถ้าทุกคนเลือกเป็นคนที่เห็นแก่ตัว
เราไม่ได้รับผิดชอบต่อผู้อื่นเท่านั้นแต่ มนุษย์ทุกคนต่างต้องรับผิดชอบในการใช้ชีวิตของตนเอง เช่นเราต้องออกไปหว่านข้าวเพื่อที่เราจะมีข้าวกิน ถ้าเราไม่ออกไปหว่านข้าวเราก็จะไม่มีข้าวกิน เราต้องสร้างบ้านเพื่อที่จะมีบ้านอยู่ วันนี้ถ้าเราอยากกินมะม่วงเราต้องปลูกมะม่วง เราเป็นคนกำหนดว่าเราจะได้กินมะม่วงหรือกินอย่างอื่น พระคัมภีร์ได้ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าเราจะต้องรับผลในสิ่งที่เราทำลงไป
" คนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก" 2 โครินธ์ 9.6
ดังนั้นคริสเตียนเชื่อว่าเราต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองโดยการใช้ความสามารถและสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเรายังต้องพึ่งพาพระเจ้า เพราะพระองค์จะเป็นผู้ตอบแทนผลแห่งการกระทำของเราและพระองค์จะทรงช่วยดูแลและปกป้องเราในส่วนที่เราทำไม่ได้ เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่ามีการหว่านอยู่สองที่ซึ่งเราต้องรับผล คือหว่านในโลกนี้และหว่านในโลกฝ่ายวิญญาณซึ่งเราต้องเก็บเกี่ยวผลของเราทั้งสองที่ด้วย
บางคนขยัน ตั้งใจเรียน มีความอดทน คนๆนั้นก็ประสบความสำเร็จบนโลกนี้แต่เขากลับลืมหว่านความดีงามซึ่งเขาจะต้องไปรับผลในโลกหน้าอันนี้ก็ไม่ดี เพราะบางคนมีปัญญารู้จักใช้ชีวิตแต่ศีลธรรมไม่ดีก็มี บางคนศีลธรรมดีแต่ขาดสติปัญญาก็ไม่ดี ถึงอย่างไรก็ตามหากคนใดหว่านความดีงามบนโลก เขาก็จะรับผลแห่งความดีงามของเขาเมื่อจากโลกนี้ไป เพราะพระเจ้าจะตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน
วิวรณ์ 22:12
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือหลายคนทำสิ่งดีงามซึ่งเขามีบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้าแน่นอนเมื่อจากโลกนี้ไปแต่ว่า เขาไม่มีสามารถไปสวรรค์ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เราอาจจะได้รับตู้เซฟที่มีเงินมากมายในนั้นแต่เรากลับไม่มีกุญแจที่จะเปิดเอาของในนั้น หากเรามีบำเหน็จรางวัลบนสวรรค์ เราต้องไปสวรรค์เพื่อไปเอา แต่เราจะไปสวรรค์ได้อย่างไร? เราสามารถไปได้ด้วยการกระทำของเราอย่างนั้นหรือ? เรามีสองทางให้เลือกคือ 1.เราไปสวรรค์ด้วยความดีของเรา หรือ 2.เราไปโดยการเดินตามพระเจ้า
เราจะทำทางไปสวรรค์เองหรือจะเดินบนทางที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา อันนี้เราต้องเลือกเอง ท่านเลือกอะไร?
ติดตามบทความต่างๆได้ที่ alccr.org