ก่อนไปเราได้หาข้อมูลเรื่อง ตม. ญี่ปุ่นไว้พอสมควร แต่ไม่ค่อยมีคนมาเขียนแชร์ไว้
ทำให้คิดว่า ตม. ญี่ปุ่น คงไม่เหี้ยมเท่า ตม. เกาหลี
อีกอย่าง เมื่อเดือน มีนาคม 2557 เรากับสามี ได้ไปเที่ยวเกาหลีมาก่อนแล้ว
หลังจากอ่านจากพันทิป และฟังจากคนอื่นที่เคยไป ทำให้รู้สึกไม่ค่อยซีเรียสตรงจุดนี้เท่าไหร่
เราใช้เวลาเตรียมแผนการเดินทางทั้งหมดเกือบ 2 เดือน
เริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบิน กรุงเทพ - โตเกียว ตั๋วเครื่องบินภายในประเทศไทย+ญี่ปุ่น จองโรงแรม และเช่า Pocket Wifi
กำหนดการเที่ยวญี่ปุ่น ไม่รวมเดินทางภายในไทย คือ วันที่ 19-27 พ.ย. 2557 (เดินทางสายการบินไทย)
ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปเป็นเงินไทยราว 1แสนกว่าบาท (2คน)
เอกสารทุกอย่างพร้อม ไม่ว่าจะเป็นพาสปอร์ต แผนการเดินทาง(เกือบ 30 แผ่น) บัตรเครดิตประมาณ 5-6 ใบ
เราเป็นเจ้าของกิจการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้างเล็กๆ ก่อนไปก็มีกลัวๆ อยู่บ้าง
แต่เพื่อนๆ ก็ให้กำลังใจว่า เราผ่านได้แน่ๆ อยู่แล้ว ทำให้เรามั่นใจพอสมควร
ก่อนการเดินทาง เราตัดสินใจเกือบ 2 อาทิตย์ ว่าระหว่างกระเป๋าแบรนด์เนม กับกล้อง DSLR เราจะเอาอันไหนไป
คือมันไปพร้อมกันไม่ได้ เนื่องจากไปแบบแบคแพคเกอร์ และจะทำให้การแมชชุด เป็นเรื่องยาก
สุดท้ายตัดสินใจแบกเป้เป็นแบคแพคเกอร์ ไปพร้อมกล้องถ่ายรูป ทิ้งกระเป๋าแบรนด์เนมไว้ที่บ้าน
จุดนี้อาจทำให้เค้ามองว่าลุ๊คเราเหมือนคนที่ต้องการจะไปทำงาน คือง่ายๆ ดูจน กะโปโล
ด้วยสายงานแล้ว เราจะไม่ตัวขาวจั๊วะนะคะ จะออกแทนๆเพราะต้องตากแดดเวลาออกไปตรวจงานรับเหมา
ยิ่งเราแล้ว จะตัวเล็กๆ ผอมๆ เค้าคงคิดว่าเราจะไปขายตัว
หลังจากลงเครื่องแล้ว เราสองคนสามีภรรยาก็เดินตามคนอื่นๆ ออกไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ระหว่างเข้าแถวรอ ก็มีผู้ชายคนนึงเรียกไปถามว่า ผู้ชายที่มาด้วยเป็นใคร
เราก็ตอบตามความจริง ว่าเป็นสามี เค้าก็ขอดูพาสปอร์ตทั้ง 2 คน
จากนั้นเราก็โดนเรียกเข้าห้องที่อยู่ด้านซ้ายมือ มีผู้หญิงไทย 2 คนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เค้าไม่บอกไม่ถามอะไรเลย เรากับสามีหน้าซีดเลยค่ะ ใจเราเต้นตุบๆๆ มือสั่น ทำอะไรไม่ถูก
นั่งเครื่องมาก็เหนื่อยมากแล้ว ถ้าต้องโดนส่งกลับไทย คงแย่มากๆ เงินก็จ่ายไปเยอะแล้วด้วย
ซักพักเราได้ยินเค้าคุยกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เถียงกันเป็นภาษาญี่ปุ่น เราพอจะจับใจความได้แบบงูๆ ปลาๆ
อีกคนบอกว่าให้ผ่านไปเถอะ ดูจากพาสปอร์ตแล้วเคยไปเกาหลีมาแล้วด้วย (หน้าพาสปอร์ตเราเคยไปมาหลายประเทศ)
อีกคนบอก แต่ฉันไม่ไว้ใจ ยังไงก็ต้องตรวจสอบ (ฟังออกแค่นี้)
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ผู้หญิงไทย 2 คน ถูกนำไปอีกทาง คงได้ไปเที่ยวลั้ลลาสมใจนางแล้ว
ส่วนเรากับสามี เค้าพาเราไปห้องลับใต้ดินที่อยู่อีกฝั่ง กดรหัสประตูให้วุ่นวายไปหมด
คงกลัวเราวิ่งหนีเหมือนในข่าว ล็อคขังซะแน่นหนาเชียว
ระหว่างเดินเข้าไปในห้องนั้น เราก็คุยกับสามีว่า โอเคนะ ถ้าเราไม่ได้ไปต่อ เราก็กลับบ้าน ไปอยู่กับลูก ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก
เครียดสุดๆ ณ จุดนั้น คือ เค้าให้เหตุผลว่าเค้าไม่ไว้ใจเรา เราก็คงต้องจบแล้วล่ะ
นั่งรอ และทำใจ เตรียมกลับบ้านเรา...ประเทศไทยไชโย
ประสบการณ์ ถูกกักที่ ตม. ญี่ปุ่น 3 ชั่วโมง
ทำให้คิดว่า ตม. ญี่ปุ่น คงไม่เหี้ยมเท่า ตม. เกาหลี
อีกอย่าง เมื่อเดือน มีนาคม 2557 เรากับสามี ได้ไปเที่ยวเกาหลีมาก่อนแล้ว
หลังจากอ่านจากพันทิป และฟังจากคนอื่นที่เคยไป ทำให้รู้สึกไม่ค่อยซีเรียสตรงจุดนี้เท่าไหร่
เราใช้เวลาเตรียมแผนการเดินทางทั้งหมดเกือบ 2 เดือน
เริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบิน กรุงเทพ - โตเกียว ตั๋วเครื่องบินภายในประเทศไทย+ญี่ปุ่น จองโรงแรม และเช่า Pocket Wifi
กำหนดการเที่ยวญี่ปุ่น ไม่รวมเดินทางภายในไทย คือ วันที่ 19-27 พ.ย. 2557 (เดินทางสายการบินไทย)
ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปเป็นเงินไทยราว 1แสนกว่าบาท (2คน)
เอกสารทุกอย่างพร้อม ไม่ว่าจะเป็นพาสปอร์ต แผนการเดินทาง(เกือบ 30 แผ่น) บัตรเครดิตประมาณ 5-6 ใบ
เราเป็นเจ้าของกิจการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้างเล็กๆ ก่อนไปก็มีกลัวๆ อยู่บ้าง
แต่เพื่อนๆ ก็ให้กำลังใจว่า เราผ่านได้แน่ๆ อยู่แล้ว ทำให้เรามั่นใจพอสมควร
ก่อนการเดินทาง เราตัดสินใจเกือบ 2 อาทิตย์ ว่าระหว่างกระเป๋าแบรนด์เนม กับกล้อง DSLR เราจะเอาอันไหนไป
คือมันไปพร้อมกันไม่ได้ เนื่องจากไปแบบแบคแพคเกอร์ และจะทำให้การแมชชุด เป็นเรื่องยาก
สุดท้ายตัดสินใจแบกเป้เป็นแบคแพคเกอร์ ไปพร้อมกล้องถ่ายรูป ทิ้งกระเป๋าแบรนด์เนมไว้ที่บ้าน
จุดนี้อาจทำให้เค้ามองว่าลุ๊คเราเหมือนคนที่ต้องการจะไปทำงาน คือง่ายๆ ดูจน กะโปโล
ด้วยสายงานแล้ว เราจะไม่ตัวขาวจั๊วะนะคะ จะออกแทนๆเพราะต้องตากแดดเวลาออกไปตรวจงานรับเหมา
ยิ่งเราแล้ว จะตัวเล็กๆ ผอมๆ เค้าคงคิดว่าเราจะไปขายตัว
หลังจากลงเครื่องแล้ว เราสองคนสามีภรรยาก็เดินตามคนอื่นๆ ออกไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ระหว่างเข้าแถวรอ ก็มีผู้ชายคนนึงเรียกไปถามว่า ผู้ชายที่มาด้วยเป็นใคร
เราก็ตอบตามความจริง ว่าเป็นสามี เค้าก็ขอดูพาสปอร์ตทั้ง 2 คน
จากนั้นเราก็โดนเรียกเข้าห้องที่อยู่ด้านซ้ายมือ มีผู้หญิงไทย 2 คนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เค้าไม่บอกไม่ถามอะไรเลย เรากับสามีหน้าซีดเลยค่ะ ใจเราเต้นตุบๆๆ มือสั่น ทำอะไรไม่ถูก
นั่งเครื่องมาก็เหนื่อยมากแล้ว ถ้าต้องโดนส่งกลับไทย คงแย่มากๆ เงินก็จ่ายไปเยอะแล้วด้วย
ซักพักเราได้ยินเค้าคุยกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เถียงกันเป็นภาษาญี่ปุ่น เราพอจะจับใจความได้แบบงูๆ ปลาๆ
อีกคนบอกว่าให้ผ่านไปเถอะ ดูจากพาสปอร์ตแล้วเคยไปเกาหลีมาแล้วด้วย (หน้าพาสปอร์ตเราเคยไปมาหลายประเทศ)
อีกคนบอก แต่ฉันไม่ไว้ใจ ยังไงก็ต้องตรวจสอบ (ฟังออกแค่นี้)
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ผู้หญิงไทย 2 คน ถูกนำไปอีกทาง คงได้ไปเที่ยวลั้ลลาสมใจนางแล้ว
ส่วนเรากับสามี เค้าพาเราไปห้องลับใต้ดินที่อยู่อีกฝั่ง กดรหัสประตูให้วุ่นวายไปหมด
คงกลัวเราวิ่งหนีเหมือนในข่าว ล็อคขังซะแน่นหนาเชียว
ระหว่างเดินเข้าไปในห้องนั้น เราก็คุยกับสามีว่า โอเคนะ ถ้าเราไม่ได้ไปต่อ เราก็กลับบ้าน ไปอยู่กับลูก ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก
เครียดสุดๆ ณ จุดนั้น คือ เค้าให้เหตุผลว่าเค้าไม่ไว้ใจเรา เราก็คงต้องจบแล้วล่ะ
นั่งรอ และทำใจ เตรียมกลับบ้านเรา...ประเทศไทยไชโย