ผมกับเพื่อนสองหน่อตัดสินใจกระโดดขึ้นรถไฟขบวนกรุงเทพ - เชียงใหม่ หลังจากวางแผนเที่ยวทริปนี้ได้ไม่ถึงอาทิตย์
เราคิดว่ามันจะเป็นทริปธรรมดา เพราะตั้งใจแค่ไปเที่ยวเขากินลมชมดอย แต่สิ่งที่ได้เจอและได้รับ กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ไม่ใช่จากวิวธรรมชาติอันสวยงาม ไม่ใช่จากสถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อ แต่จากมิตรภาพข้ามซีกโลกที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
12.00 เที่ยงตรงในวันแดดร้อนเปรี้ยงที่ 9 ธันวาคม ผม, เจ - สุภาพบุรุษนิสัยดีผู้รักฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ และ ปอนด์ - หนุ่มร่างใหญ่มาดเข้ม เราสามคนรวมตัวกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพง นี่เป็นการแบ็คแพ็คครั้งแรกของผมกับปอนด์ ส่วนเจเคยผ่านโลกกว้างมาก่อนแล้ว
สัมภาระของเรามีไม่มาก เจ มีเป้สะพายหลังขนาดพอเหมาะหนึ่งใบกับเต็นท์ขนาดนอน 4 คน ปอนด์เอากระเป๋าเป้กับกล่องถ่ายรูปมา ส่วนผมแบกกระเป๋าสะพายใบเบอเริ่ม กับหิ้วตุ๊กตาหมีขนปุยสีน้ำตาลน่ากอดมาตัวหนึ่ง
เพื่อนสองคนถามว่าเอาหมีมาทำไม ผมแค่ยิ้มๆ บอกแค่ว่าพาหมีมาเที่ยว
12.35 พวกเราวิ่งตาลีตาเหลือกขึ้นรถแทบไม่ทัน เพราะมัวแต่ไปกินส้มตำตรงร้านหน้ารถไฟใต้ดิน นึกว่ารถไฟจะเลท มันไม่เลท! ไม่คิดว่ามาก่อนว่ารถไฟไทยจะตรงเวลามาก 12.35 ปุ๊บ เครื่องจักรสั่นครึมๆๆ ห้านาทีต่อมาเจ้ารถเหล็กอายุมากกว่า 50 ปีขบวนนี้ก็แล่นออกจากชานชะลา
เราต้องวิ่งขึ้นจากขบวนสุดท้ายเพราะล้อรถไฟกำลังจะหมุนแล้วตอนเราไปถึง ที่นั่งเราอยู่โบกี้เบอร์หก เดินแหวกทางเดินแคบๆระหว่างที่นั่ง โบกี้ท้ายๆขบวนเนืองแน่นด้วยผู้คน แต่ยังไม่เต็มทุกที่นั่งสะทีเดียว ไปถึงโบกี้นัมเบอร์ 6 มองหาที่นั่งหมายเลข 12 15 16 ของพวกเรา พบกับลุงท่านหนึ่งนั่งขัดสมาธิควบที่นั่งเบอร์ 15 16 อยู่
ลุงท่านนี้สวมเสื้อสีแดงเลือดหมู ตัดผมสกรีนเฮด อายุน่าจะราวๆ 50 ปีได้ เจเข้าไปเจรจากับลุงอย่างสุภาพว่า "ลุงครับตั๋วลุงเบอร์อะไรครับเดี๋ยวผมช่วยดูให้" ลุงแกตอบอะไรกลับมาสักอย่างที่เราฟังจับความไม่ได้ เราถามย้ำอีกรอบ ลุงแกยังคงตอบงึมงำๆ ณ วินาทีนั้นเราเริ่มคิดว่าลุงแกอาจจะสติไม่ค่อยดี-- เมื่อคุยไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ผมเสนอให้เราเอาของวางบนชั้นเก็บกระเป๋าเหนือศีรษะก่อน และนั่งลงบล็อคข้างๆก็ได้ ก็พอดีเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ๆทักเตือนว่าเราจะนั่งผิดที่ไม่ได้ เพราะรถไฟสายเชียงใหม่นี้ฮ็อตมาก คนขึ้นเต็มตลอด ผมเลยถามลุงเสื้อแดงว่าแกลงที่ไหน แกว่าบอก "อ้อ เดี๋ยวก็ลงแล้ว อยุธยาเอง" เออ ไม่ไกลเท่าไหร่เล้ยนะลุง
รถวิ่งไปได้สักพักเราหยิบตั๋วขึ้นมาดู ตรงมุมตั๋วเขียนว่ารถคันนี้เป็นประเภท Rapid แปลเป็นไทยว่า "เร็ว" อ่านเสร็จมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นลุงแก่ๆควบมอไซเก่าๆ วิ่งแต๊กๆๆๆ แซงหน้ารถไฟไปหน้าตาเฉย เราสามคนมองหน้ากัน... 555555 Rapid จริงๆ
ผมถามเพื่อนๆว่ามาเชียงใหม่รอบนี้มีความคาดหวังอะไรในใจเป็นพิเศษรึเปล่า ปอนด์ตอบว่าเขาอยากมาเติมไฟ ช่วงนี้อ่านหนังสือสอบหนัก
"สอบอะไรว่ะ" ผมสงสัยเพราะเราเรียนจบกันหมดแล้ว
"ปลัดอำเภอ" ปอนด์ตอบ เช็ดเด้ – เราจะมีเพื่อนเป็นปลัดแล้ววะ – และนี่คือเหตุผลที่ปอนด์อยากไปเชียงใหม่ ขึ้นดอยสุเทพไปไหว้หลวงพ่อทันใจ หลวงพ่อที่ว่ากันว่าขออะไรได้อย่างนั้น
ผมหันไปถามฝั่งเจบ้าง ซึ่งไม่คาดหวังอะไรจากเจอยู่แล้วเพราะรู้ว่าเจเป็นคนสบายๆ ซึ่งคำตอบของเจก็เรียบง่ายสะเหลือเกิน
"กูอยากไปกินสตอเบอรี่ป่า" เจตอบยิ้มๆ
"แล้วอะ" เจถามกลับ
"กูอ่อ" ผมยิ้มในใจ (แต่มันก็ออกมาทางสีหน้าอยู่ดี) "อยากเอาหมีไปปล่อย"
"เออ ตกลงเอาหมีมาทำไมวะ" ปอนด์เก็บความสงสัยต่อไปไม่ไหว
แต่ผมยังไม่อยากตอบ จึงเงียบและปล่อยให้บทสนทนาจบลงแค่นั้น
รถไฟแล่นทะลุเมืองกรุง ภาพสองข้างทางนั้นยังความสลดสังเวชมาสู่ใจผมเหลือเกิน ชาวบ้านชุมชนนั่งอยู่ตามเพิงสักกะสีบ้าง ใต้ร่มไม้บ้าง ต่างมองทอดอาลัยทิ้งไปในความว่างเปล่า บ้างก็อุ้มกระเตงลูกน้อยร้องแจ้ แจ้ บ้างเดินเก็บเศษขวดพลาสติก บ้างก็กำลังคุ้ยหาของกินจากกองขยะ ผมมองสีหน้าและแววตาพวกเขา ไม่เห็นวี่แววของประกายชีวิต
"โชคดีกว่าเขาเยอะ" เจพูดขึ้น
เบือนหน้ากลับมาดูในโบกี้ เพื่อนร่วมทางในขบวนของเรานั้นไม่ต่างจากด้านนอกรถไฟนัก ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่เดินทางกลับต่างจังหวัด หอบหิ้วกระเป๋าน้อยใหญ่พะรุงพะรัง รอยยิ้มเหือดหายไปจากใบหน้ามาหลายปีแล้ว ต่างนั่งกันอยู่เงียบๆในห้วงภวังค์ความคิดตัวเอง ผมสงสัยว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ แต่สงสัยไปก็คงไม่ได้คำตอบ ดึงอารมณ์ตัวเองกลับมาและคุยจ้อแจ้กับเพื่อนต่อ สร้างบรรยากาศให้รื่นเริงและสนุกเข้าไว้ อย่างน้อยให้โบกี้หมายเลข 6 นี้ยังมีเสียงหัวเราะของพวกเราอยู่
ยังไม่ทันจะถึงอยุธยาคนก็ขึ้นเต็มรถ เราทั้งสามหน่อที่ไปงอกอยู่ผิดที่ต้องย้ายที่นั่ง แต่จะย้ายยังไงในเมื่อลุงเสื้อแดงแกเล่นขัดสมาธิครองสองเบาะ เจกับปอนด์มองกันไปมารู้สึกลำบากใจที่ต้องคุยกับลุง แต่ผมไม่กลัว ในเมื่อคุยไม่รู้เรื่องก็ไม่คุย ใช้พลังสายตาบอกกับลุงว่า
"ลุงครับ ถึงเวลาที่ลุงต้องอยู่ให้ถูกที่ถูกทางแล้วแหละครับ"
ราวกับมีพลังจิต ลุงแกอ่านดวงตาผมปราดและลุกแบบเก้อๆเขินๆออกไป เราย้ายกระเป๋าไปยังที่ๆเราจองไว้ แต่โอ้แหม ลุงแกไม่ได้ไปเฉยๆนะ แกทำโค้กหกเต็มพื้นเลยครับ ตรงที่วางเท้าเรานี่เป็นแอ่งเลยครับ ทั้งเหนียวทั้งหวาน ผมคิดว่าจะมาทนนั่งเหนอะหนะอย่างนี้จนถึงเชียงใหม่ไม่ได้ ลุกพรึบเดินตรงรี่ไปหาห้องครัว ไม่คาดหวังเซอวิสใดๆจากรถไฟฟรี ไปถึงก็ขอผ้าขี้ริ้วมาผืนหนึ่ง เดินฉับๆกลับมา ทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นและบรรจงเช็ดพื้นเองเลย 5555555 สนุกมากครับ จริงๆนะ เช็คเสร็จไปบิดผ้าซักมาเช็ดต่อน้ำสอง บิดหมาดและเช็ดแห้งด้วย คนในโบกี้ก็มองกัน
พื้นสะอาด เรานั่งเหยียดแข้งเหยียดขาได้อย่างสบายใจ รถไฟแล่นต่อไปมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อย เราจะถึงที่หมายในเวลาตี 4
อาหารบนรถไฟสุดจะบรรยาย ใครรู้ตัวว่าท้องไส้ไม่แข็งแรง แนะนำว่าอย่ากิน ลูกชิ้นเอย ข้าวเกรียบเอย สภาพยังกับผ่านสมรภูมิรบพันปี คลุกดินคลุกหญ้าคลุกแบคทีเรียมายังไงยังงั้น
ตกเย็นพวกเราเริ่มต้องต่อสู้กับความหิวโหย สุดท้ายไอ้ความหิวก็ชนะนะ ไอ้ลูกชิ้นผ่านศึกพันปีที่ผมว่านั่นละผมสั่งมันมาสองไม้ ฟาดเรียบ -- อร่อยมั้ย? -- อย่าถามเลย 555555 เข็ดครับ กลัวลูกชิ้นไปอีกนาน
โชคดีสวรรค์โปรด มีไข่ต้มครับ! ไข่ต้มนี่มันสะอาดแน่นอน ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเปลือก ปกป้องไข่ขาวนวลบริสุทธิ์ไว้ภายใน -- เรา -- รอด -- ตาย -- เพราะไข่ต้มครับ
ตกเย็นตะวันต่ำเรี่ยดิน เราเดินทางมาถึงปากน้ำโพ ความรู้ในวิชาภูมิศาสตร์สอนเราว่า แม่น้ำทั้ง 4 สาย ปิง วัง ยม น่าน มารวมกันที่ปากน้ำโพ บรรจบกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา และ ณ ที่สำคัญแห่งนี้เองที่เราได้ค้นพบความจริงว่า บนรถไฟมีห้องอาหารด้วย! ความหวังเจิดจ้าเกิดขึ้นในใจเรา พวกเราไม่ต้องอดตายแล้ว –
"พี่ครับกะเพราจานเท่าไหร่"
"100 บาท"
100 บาท!!!
โอ้ แม่ เจ้า เข้าใจนะว่าถ้ากินบนเซนทรัลเวิลหรือเอมโพเรี่ยมเราจะได้ดูวิวเมืองกรุงเทพจากที่สูง นั่งตากแอร์สบายๆ กินกะเพราจานละ 150 ได้ แต่นี่รถไฟนะพี่ วิวข้างนอกคือทุ้งกับวัว พี่ขายไปได้ยังไงกะเพราจานละ 100
หลังจากค้นพบความจริงเกี่ยวกับกะเพราพวกเรารู้สึกอับจนหนทาง ควักไข่ต้มที่ตุนไว้กันตายขึ้นมาเคี้ยวเล่น ทันใดนั้นเอง กลิ่นหอมโชยลอยมาแต่ไกล เราเห็นควันร้อนพวยพุ่งออกมาจากถ้วยโฟม ชะเง้อคอดู -- ข้าวต้มหมู!!! -- โอ้พระเจ้า ข้าวต้มหมู "ร้อนๆ"
ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่มีอาหารนะครับ มีตลอดทาง แต่อาหารที่นี่ไม่รู้ว่าสั่งตรงมาจากอลาสก้าหรืออย่างไร ผมจะไล่เมนูให้ฟัง -- มีขนมจีบแช่แข็ง ซาลาเปาศูนย์องศา ไข่เจียวหมูหิมะ ไส้กรอกหิมาลัย 5555555
เราสามคนนั่งมองคนขายข้าวต้มถือถาดเดินผ่านหน้าเราไป หันพรึบมาสบตากันอย่างรู้ใจ ถ้าไอ้ข้าวต้มนี้กลับมาเมื่อไหร่ มันเสร็จเราแน่
นั่งรออยู่สิบห้านาที คนขายข้าวต้มกลับมาพร้อมถาดเปล่า – เห้ย ไหงงี้ – ร้อนรนกระวนกระวาย กระเพาะร้องเรียกหาสิ่งเติมเต็ม สิบนาทีต่อมาข้าวต้มล็อตสองก็มาเซิร์ฟ คราวนี้เราไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไป ควักแบงค์ยี่สิบจ่ายรับข้าวต้มควันพุ่งมากินกันอิ่มหนำสำราญ
อาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดโรยตัวลงมาพร้อมความหนาว หน้าต่างที่เคยปิดรับลมโบกโชยสบายหน้า บัดนี้เราต้องปิดมันลงเพื่อปกป้องตัวเองจากอุณหภูมิที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเราเข้าเขตภาคเหนือ
ผม เจ ปอนด์ พลัดกันเฝ้ากระเป๋าขณะที่อีกสองคนออกไปเดินเที่ยวชมโบกี้ต่างๆ ผู้โดยสารมากหน้าหลายตา ไทยบ้าง ฝรั่งบ้างนอนสลบไสลกันบนเบาะ คุดคู้กอดอกหนีบเข่ากันอยู่บนแผ่นไม้บุนวมแบนๆแข็งๆ ที่โบกี้ต้นๆขบวนมีฝรั่งสาวห้าหน่วยนอนเต็มสองบล็อค บางคนถึงกับลงทุนนอนบนพื้น เราได้เจอฝรั่งสาวน่ารักคนหนึ่งอายุน่าจะยี่สิบกลางๆ ผิวขาวเนียนอมชมพู หุ่นสูงสะโอดสะอง ตากลมโตหวาน ผมสีน้ำตาลรับกับผิว เธอมากับหนุ่มชาวต่างชาติสองคน และฝรั่งสาวหน้าตีดีอีกคน
สองข้างทางไม่มีอะไรนอกจากความมืด ตกดึกเราเริ่มแยกย้ายกันนอน คนในขบวนบางตาลงเรื่อยๆตามจังหวัดที่เราผ่านไป ยิ่งใกล้ที่หมายเท่าไหร่คนยิ่งเหลือน้อย ทำให้เรามีที่นอนกันมากขึ้น ผมกับเจนั่งประจำที่ ส่วนปอนด์ออกไปหาที่นอนที่อื่น – เคราะห์ร้าย ปอนด์ไปเจอกับลุงคนหนึ่งอายุราวๆ 40 ปี สวมเสื้อสีดำ ลุงท่านนี้นั่งบล็อคข้างๆเรามาตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ ข้อดีคือลุงแกคุยเก่ง ข้อเสียคือลุงแกคุยแต่เรื่องตัวเองและคุยไม่หยุดจริงๆ
ปอนด์ไม่ใช่คนช่างเจรจาหรือนักสนทนาตัวยง แต่ลุงแกก็ชวนปอนด์คุยอยู่อย่างนั้น เท่าที่ผมจำความได้ (จากการหลับๆตื่นๆตลอดคืน) ลุงแกชวนปอนด์คุยตั้งแต่เที่ยงคืน จนกระทั่งรถไฟจอดที่สถานีเชียงใหม่ตอนตีสี่ โดยที่ลุงแกไม่หยุดพูดเลยสักกะวินาทีเดียว พร่ำบ่นพ่นระบายถึงสรรพปัญหาชีวิตของแกที่ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงก็ยังเล่าไม่หมด
สุดท้ายพอรถไฟจอด ลุงแกก็ขอเบอร์ปอนด์ไว้ เราแยกย้ายกับลุงแกโดยสวัสดิภาพ
4.05 น. ณ สถานีรถไฟเชียงใหม่ ไม่น่าเชื่อว่ารถไฟไทยจะถึงที่หมายตรงเวลา "เป๊ะ" ขนาดนี้ เราสามคนสะพายกระเป๋ากระโดดลงจากรถไฟ ลมหนาวเข้ามาสวมกอดรับพวกเราอย่างเป็นกันเอง ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินแถวไปยังคิว รถแดง อันเปรียบเสมือนแท็กซี่ประจำจังหวัดเชียงใหม่ หากมาในรูปรถสองแถวสีแดงแทน
ผู้คนในสถานีบางคนลงอย่างรวดเร็ว เจเสนอว่าเราควรจะอาบน้ำกันก่อนเพื่อรีเฟรชตัวเอง เพราะมีแผนจะขึ้นดอยอินทนนท์ตอนเช้า ผมกับปอนด์อาสาอยู่เฝ้ากระเป๋าก่อน
ระหว่างรอผมนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ ส่วนปอนด์เช็คสัมภาระ ผมมองดูคนสัญจรเข้าออกสถานี สายตาจับอยู่ที่ป้าคนหนึ่งตะโกนเรียกนักท่องเที่ยวอย่าแข็งขัน
"ไปไหนค่ะ! เข้าเมืองทางนี้เลย! ไปหาที่พักทางนี้เลย!"
สายตาของผมสะดุดเข้ากับกลุ่มชาวต่างชาติอายุไม่ห่างกับเรากลุ่มหนึ่ง ดูดีๆกลุ่มนี้คือกลุ่มของฝรั่งสาวสวยนั่นเอง พวกเขากำลังคุยอะไรสักอย่างกับนักแบ็คแพ็คชาวเอเชียอยู่ ผมเดาว่าเป็นคนไต้หวัน ชาวไต้หวันคนนี้กำลังถามทางไปที่พักกับกลุ่มฝรั่งทั้งสี่ ซึ่งฝรั่งเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเขานั่งจิ้มแผนที่งงไปงงมา ผมนั่งมอง จนกระทั่งผู้ชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มกวาดสายตามาเจอผมเข้า ผมยิ้มทักทาย
"Can you speak English" เขาถาม
"Yes, just a little" ผมตอบ "How can I help you?"
ไม่เคยคิดเลยว่า คำตอบง่ายๆที่ผมพูดไปในตอนนั้น จะเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางของเราสามคนไปอย่างสิ้นเชิง
ประสบการณ์ดีๆที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้จากการแบคแพคในประเทศ
เราคิดว่ามันจะเป็นทริปธรรมดา เพราะตั้งใจแค่ไปเที่ยวเขากินลมชมดอย แต่สิ่งที่ได้เจอและได้รับ กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ไม่ใช่จากวิวธรรมชาติอันสวยงาม ไม่ใช่จากสถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อ แต่จากมิตรภาพข้ามซีกโลกที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
12.00 เที่ยงตรงในวันแดดร้อนเปรี้ยงที่ 9 ธันวาคม ผม, เจ - สุภาพบุรุษนิสัยดีผู้รักฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ และ ปอนด์ - หนุ่มร่างใหญ่มาดเข้ม เราสามคนรวมตัวกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพง นี่เป็นการแบ็คแพ็คครั้งแรกของผมกับปอนด์ ส่วนเจเคยผ่านโลกกว้างมาก่อนแล้ว
สัมภาระของเรามีไม่มาก เจ มีเป้สะพายหลังขนาดพอเหมาะหนึ่งใบกับเต็นท์ขนาดนอน 4 คน ปอนด์เอากระเป๋าเป้กับกล่องถ่ายรูปมา ส่วนผมแบกกระเป๋าสะพายใบเบอเริ่ม กับหิ้วตุ๊กตาหมีขนปุยสีน้ำตาลน่ากอดมาตัวหนึ่ง
เพื่อนสองคนถามว่าเอาหมีมาทำไม ผมแค่ยิ้มๆ บอกแค่ว่าพาหมีมาเที่ยว
12.35 พวกเราวิ่งตาลีตาเหลือกขึ้นรถแทบไม่ทัน เพราะมัวแต่ไปกินส้มตำตรงร้านหน้ารถไฟใต้ดิน นึกว่ารถไฟจะเลท มันไม่เลท! ไม่คิดว่ามาก่อนว่ารถไฟไทยจะตรงเวลามาก 12.35 ปุ๊บ เครื่องจักรสั่นครึมๆๆ ห้านาทีต่อมาเจ้ารถเหล็กอายุมากกว่า 50 ปีขบวนนี้ก็แล่นออกจากชานชะลา
เราต้องวิ่งขึ้นจากขบวนสุดท้ายเพราะล้อรถไฟกำลังจะหมุนแล้วตอนเราไปถึง ที่นั่งเราอยู่โบกี้เบอร์หก เดินแหวกทางเดินแคบๆระหว่างที่นั่ง โบกี้ท้ายๆขบวนเนืองแน่นด้วยผู้คน แต่ยังไม่เต็มทุกที่นั่งสะทีเดียว ไปถึงโบกี้นัมเบอร์ 6 มองหาที่นั่งหมายเลข 12 15 16 ของพวกเรา พบกับลุงท่านหนึ่งนั่งขัดสมาธิควบที่นั่งเบอร์ 15 16 อยู่
ลุงท่านนี้สวมเสื้อสีแดงเลือดหมู ตัดผมสกรีนเฮด อายุน่าจะราวๆ 50 ปีได้ เจเข้าไปเจรจากับลุงอย่างสุภาพว่า "ลุงครับตั๋วลุงเบอร์อะไรครับเดี๋ยวผมช่วยดูให้" ลุงแกตอบอะไรกลับมาสักอย่างที่เราฟังจับความไม่ได้ เราถามย้ำอีกรอบ ลุงแกยังคงตอบงึมงำๆ ณ วินาทีนั้นเราเริ่มคิดว่าลุงแกอาจจะสติไม่ค่อยดี-- เมื่อคุยไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ผมเสนอให้เราเอาของวางบนชั้นเก็บกระเป๋าเหนือศีรษะก่อน และนั่งลงบล็อคข้างๆก็ได้ ก็พอดีเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ๆทักเตือนว่าเราจะนั่งผิดที่ไม่ได้ เพราะรถไฟสายเชียงใหม่นี้ฮ็อตมาก คนขึ้นเต็มตลอด ผมเลยถามลุงเสื้อแดงว่าแกลงที่ไหน แกว่าบอก "อ้อ เดี๋ยวก็ลงแล้ว อยุธยาเอง" เออ ไม่ไกลเท่าไหร่เล้ยนะลุง
รถวิ่งไปได้สักพักเราหยิบตั๋วขึ้นมาดู ตรงมุมตั๋วเขียนว่ารถคันนี้เป็นประเภท Rapid แปลเป็นไทยว่า "เร็ว" อ่านเสร็จมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นลุงแก่ๆควบมอไซเก่าๆ วิ่งแต๊กๆๆๆ แซงหน้ารถไฟไปหน้าตาเฉย เราสามคนมองหน้ากัน... 555555 Rapid จริงๆ
ผมถามเพื่อนๆว่ามาเชียงใหม่รอบนี้มีความคาดหวังอะไรในใจเป็นพิเศษรึเปล่า ปอนด์ตอบว่าเขาอยากมาเติมไฟ ช่วงนี้อ่านหนังสือสอบหนัก
"สอบอะไรว่ะ" ผมสงสัยเพราะเราเรียนจบกันหมดแล้ว
"ปลัดอำเภอ" ปอนด์ตอบ เช็ดเด้ – เราจะมีเพื่อนเป็นปลัดแล้ววะ – และนี่คือเหตุผลที่ปอนด์อยากไปเชียงใหม่ ขึ้นดอยสุเทพไปไหว้หลวงพ่อทันใจ หลวงพ่อที่ว่ากันว่าขออะไรได้อย่างนั้น
ผมหันไปถามฝั่งเจบ้าง ซึ่งไม่คาดหวังอะไรจากเจอยู่แล้วเพราะรู้ว่าเจเป็นคนสบายๆ ซึ่งคำตอบของเจก็เรียบง่ายสะเหลือเกิน
"กูอยากไปกินสตอเบอรี่ป่า" เจตอบยิ้มๆ
"แล้วอะ" เจถามกลับ
"กูอ่อ" ผมยิ้มในใจ (แต่มันก็ออกมาทางสีหน้าอยู่ดี) "อยากเอาหมีไปปล่อย"
"เออ ตกลงเอาหมีมาทำไมวะ" ปอนด์เก็บความสงสัยต่อไปไม่ไหว
แต่ผมยังไม่อยากตอบ จึงเงียบและปล่อยให้บทสนทนาจบลงแค่นั้น
รถไฟแล่นทะลุเมืองกรุง ภาพสองข้างทางนั้นยังความสลดสังเวชมาสู่ใจผมเหลือเกิน ชาวบ้านชุมชนนั่งอยู่ตามเพิงสักกะสีบ้าง ใต้ร่มไม้บ้าง ต่างมองทอดอาลัยทิ้งไปในความว่างเปล่า บ้างก็อุ้มกระเตงลูกน้อยร้องแจ้ แจ้ บ้างเดินเก็บเศษขวดพลาสติก บ้างก็กำลังคุ้ยหาของกินจากกองขยะ ผมมองสีหน้าและแววตาพวกเขา ไม่เห็นวี่แววของประกายชีวิต
"โชคดีกว่าเขาเยอะ" เจพูดขึ้น
เบือนหน้ากลับมาดูในโบกี้ เพื่อนร่วมทางในขบวนของเรานั้นไม่ต่างจากด้านนอกรถไฟนัก ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่เดินทางกลับต่างจังหวัด หอบหิ้วกระเป๋าน้อยใหญ่พะรุงพะรัง รอยยิ้มเหือดหายไปจากใบหน้ามาหลายปีแล้ว ต่างนั่งกันอยู่เงียบๆในห้วงภวังค์ความคิดตัวเอง ผมสงสัยว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ แต่สงสัยไปก็คงไม่ได้คำตอบ ดึงอารมณ์ตัวเองกลับมาและคุยจ้อแจ้กับเพื่อนต่อ สร้างบรรยากาศให้รื่นเริงและสนุกเข้าไว้ อย่างน้อยให้โบกี้หมายเลข 6 นี้ยังมีเสียงหัวเราะของพวกเราอยู่
ยังไม่ทันจะถึงอยุธยาคนก็ขึ้นเต็มรถ เราทั้งสามหน่อที่ไปงอกอยู่ผิดที่ต้องย้ายที่นั่ง แต่จะย้ายยังไงในเมื่อลุงเสื้อแดงแกเล่นขัดสมาธิครองสองเบาะ เจกับปอนด์มองกันไปมารู้สึกลำบากใจที่ต้องคุยกับลุง แต่ผมไม่กลัว ในเมื่อคุยไม่รู้เรื่องก็ไม่คุย ใช้พลังสายตาบอกกับลุงว่า
"ลุงครับ ถึงเวลาที่ลุงต้องอยู่ให้ถูกที่ถูกทางแล้วแหละครับ"
ราวกับมีพลังจิต ลุงแกอ่านดวงตาผมปราดและลุกแบบเก้อๆเขินๆออกไป เราย้ายกระเป๋าไปยังที่ๆเราจองไว้ แต่โอ้แหม ลุงแกไม่ได้ไปเฉยๆนะ แกทำโค้กหกเต็มพื้นเลยครับ ตรงที่วางเท้าเรานี่เป็นแอ่งเลยครับ ทั้งเหนียวทั้งหวาน ผมคิดว่าจะมาทนนั่งเหนอะหนะอย่างนี้จนถึงเชียงใหม่ไม่ได้ ลุกพรึบเดินตรงรี่ไปหาห้องครัว ไม่คาดหวังเซอวิสใดๆจากรถไฟฟรี ไปถึงก็ขอผ้าขี้ริ้วมาผืนหนึ่ง เดินฉับๆกลับมา ทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นและบรรจงเช็ดพื้นเองเลย 5555555 สนุกมากครับ จริงๆนะ เช็คเสร็จไปบิดผ้าซักมาเช็ดต่อน้ำสอง บิดหมาดและเช็ดแห้งด้วย คนในโบกี้ก็มองกัน
พื้นสะอาด เรานั่งเหยียดแข้งเหยียดขาได้อย่างสบายใจ รถไฟแล่นต่อไปมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อย เราจะถึงที่หมายในเวลาตี 4
อาหารบนรถไฟสุดจะบรรยาย ใครรู้ตัวว่าท้องไส้ไม่แข็งแรง แนะนำว่าอย่ากิน ลูกชิ้นเอย ข้าวเกรียบเอย สภาพยังกับผ่านสมรภูมิรบพันปี คลุกดินคลุกหญ้าคลุกแบคทีเรียมายังไงยังงั้น
ตกเย็นพวกเราเริ่มต้องต่อสู้กับความหิวโหย สุดท้ายไอ้ความหิวก็ชนะนะ ไอ้ลูกชิ้นผ่านศึกพันปีที่ผมว่านั่นละผมสั่งมันมาสองไม้ ฟาดเรียบ -- อร่อยมั้ย? -- อย่าถามเลย 555555 เข็ดครับ กลัวลูกชิ้นไปอีกนาน
โชคดีสวรรค์โปรด มีไข่ต้มครับ! ไข่ต้มนี่มันสะอาดแน่นอน ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเปลือก ปกป้องไข่ขาวนวลบริสุทธิ์ไว้ภายใน -- เรา -- รอด -- ตาย -- เพราะไข่ต้มครับ
ตกเย็นตะวันต่ำเรี่ยดิน เราเดินทางมาถึงปากน้ำโพ ความรู้ในวิชาภูมิศาสตร์สอนเราว่า แม่น้ำทั้ง 4 สาย ปิง วัง ยม น่าน มารวมกันที่ปากน้ำโพ บรรจบกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา และ ณ ที่สำคัญแห่งนี้เองที่เราได้ค้นพบความจริงว่า บนรถไฟมีห้องอาหารด้วย! ความหวังเจิดจ้าเกิดขึ้นในใจเรา พวกเราไม่ต้องอดตายแล้ว –
"พี่ครับกะเพราจานเท่าไหร่"
"100 บาท"
100 บาท!!!
โอ้ แม่ เจ้า เข้าใจนะว่าถ้ากินบนเซนทรัลเวิลหรือเอมโพเรี่ยมเราจะได้ดูวิวเมืองกรุงเทพจากที่สูง นั่งตากแอร์สบายๆ กินกะเพราจานละ 150 ได้ แต่นี่รถไฟนะพี่ วิวข้างนอกคือทุ้งกับวัว พี่ขายไปได้ยังไงกะเพราจานละ 100
หลังจากค้นพบความจริงเกี่ยวกับกะเพราพวกเรารู้สึกอับจนหนทาง ควักไข่ต้มที่ตุนไว้กันตายขึ้นมาเคี้ยวเล่น ทันใดนั้นเอง กลิ่นหอมโชยลอยมาแต่ไกล เราเห็นควันร้อนพวยพุ่งออกมาจากถ้วยโฟม ชะเง้อคอดู -- ข้าวต้มหมู!!! -- โอ้พระเจ้า ข้าวต้มหมู "ร้อนๆ"
ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่มีอาหารนะครับ มีตลอดทาง แต่อาหารที่นี่ไม่รู้ว่าสั่งตรงมาจากอลาสก้าหรืออย่างไร ผมจะไล่เมนูให้ฟัง -- มีขนมจีบแช่แข็ง ซาลาเปาศูนย์องศา ไข่เจียวหมูหิมะ ไส้กรอกหิมาลัย 5555555
เราสามคนนั่งมองคนขายข้าวต้มถือถาดเดินผ่านหน้าเราไป หันพรึบมาสบตากันอย่างรู้ใจ ถ้าไอ้ข้าวต้มนี้กลับมาเมื่อไหร่ มันเสร็จเราแน่
นั่งรออยู่สิบห้านาที คนขายข้าวต้มกลับมาพร้อมถาดเปล่า – เห้ย ไหงงี้ – ร้อนรนกระวนกระวาย กระเพาะร้องเรียกหาสิ่งเติมเต็ม สิบนาทีต่อมาข้าวต้มล็อตสองก็มาเซิร์ฟ คราวนี้เราไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไป ควักแบงค์ยี่สิบจ่ายรับข้าวต้มควันพุ่งมากินกันอิ่มหนำสำราญ
อาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดโรยตัวลงมาพร้อมความหนาว หน้าต่างที่เคยปิดรับลมโบกโชยสบายหน้า บัดนี้เราต้องปิดมันลงเพื่อปกป้องตัวเองจากอุณหภูมิที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเราเข้าเขตภาคเหนือ
ผม เจ ปอนด์ พลัดกันเฝ้ากระเป๋าขณะที่อีกสองคนออกไปเดินเที่ยวชมโบกี้ต่างๆ ผู้โดยสารมากหน้าหลายตา ไทยบ้าง ฝรั่งบ้างนอนสลบไสลกันบนเบาะ คุดคู้กอดอกหนีบเข่ากันอยู่บนแผ่นไม้บุนวมแบนๆแข็งๆ ที่โบกี้ต้นๆขบวนมีฝรั่งสาวห้าหน่วยนอนเต็มสองบล็อค บางคนถึงกับลงทุนนอนบนพื้น เราได้เจอฝรั่งสาวน่ารักคนหนึ่งอายุน่าจะยี่สิบกลางๆ ผิวขาวเนียนอมชมพู หุ่นสูงสะโอดสะอง ตากลมโตหวาน ผมสีน้ำตาลรับกับผิว เธอมากับหนุ่มชาวต่างชาติสองคน และฝรั่งสาวหน้าตีดีอีกคน
สองข้างทางไม่มีอะไรนอกจากความมืด ตกดึกเราเริ่มแยกย้ายกันนอน คนในขบวนบางตาลงเรื่อยๆตามจังหวัดที่เราผ่านไป ยิ่งใกล้ที่หมายเท่าไหร่คนยิ่งเหลือน้อย ทำให้เรามีที่นอนกันมากขึ้น ผมกับเจนั่งประจำที่ ส่วนปอนด์ออกไปหาที่นอนที่อื่น – เคราะห์ร้าย ปอนด์ไปเจอกับลุงคนหนึ่งอายุราวๆ 40 ปี สวมเสื้อสีดำ ลุงท่านนี้นั่งบล็อคข้างๆเรามาตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ ข้อดีคือลุงแกคุยเก่ง ข้อเสียคือลุงแกคุยแต่เรื่องตัวเองและคุยไม่หยุดจริงๆ
ปอนด์ไม่ใช่คนช่างเจรจาหรือนักสนทนาตัวยง แต่ลุงแกก็ชวนปอนด์คุยอยู่อย่างนั้น เท่าที่ผมจำความได้ (จากการหลับๆตื่นๆตลอดคืน) ลุงแกชวนปอนด์คุยตั้งแต่เที่ยงคืน จนกระทั่งรถไฟจอดที่สถานีเชียงใหม่ตอนตีสี่ โดยที่ลุงแกไม่หยุดพูดเลยสักกะวินาทีเดียว พร่ำบ่นพ่นระบายถึงสรรพปัญหาชีวิตของแกที่ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงก็ยังเล่าไม่หมด
สุดท้ายพอรถไฟจอด ลุงแกก็ขอเบอร์ปอนด์ไว้ เราแยกย้ายกับลุงแกโดยสวัสดิภาพ
4.05 น. ณ สถานีรถไฟเชียงใหม่ ไม่น่าเชื่อว่ารถไฟไทยจะถึงที่หมายตรงเวลา "เป๊ะ" ขนาดนี้ เราสามคนสะพายกระเป๋ากระโดดลงจากรถไฟ ลมหนาวเข้ามาสวมกอดรับพวกเราอย่างเป็นกันเอง ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินแถวไปยังคิว รถแดง อันเปรียบเสมือนแท็กซี่ประจำจังหวัดเชียงใหม่ หากมาในรูปรถสองแถวสีแดงแทน
ผู้คนในสถานีบางคนลงอย่างรวดเร็ว เจเสนอว่าเราควรจะอาบน้ำกันก่อนเพื่อรีเฟรชตัวเอง เพราะมีแผนจะขึ้นดอยอินทนนท์ตอนเช้า ผมกับปอนด์อาสาอยู่เฝ้ากระเป๋าก่อน
ระหว่างรอผมนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ ส่วนปอนด์เช็คสัมภาระ ผมมองดูคนสัญจรเข้าออกสถานี สายตาจับอยู่ที่ป้าคนหนึ่งตะโกนเรียกนักท่องเที่ยวอย่าแข็งขัน
"ไปไหนค่ะ! เข้าเมืองทางนี้เลย! ไปหาที่พักทางนี้เลย!"
สายตาของผมสะดุดเข้ากับกลุ่มชาวต่างชาติอายุไม่ห่างกับเรากลุ่มหนึ่ง ดูดีๆกลุ่มนี้คือกลุ่มของฝรั่งสาวสวยนั่นเอง พวกเขากำลังคุยอะไรสักอย่างกับนักแบ็คแพ็คชาวเอเชียอยู่ ผมเดาว่าเป็นคนไต้หวัน ชาวไต้หวันคนนี้กำลังถามทางไปที่พักกับกลุ่มฝรั่งทั้งสี่ ซึ่งฝรั่งเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเขานั่งจิ้มแผนที่งงไปงงมา ผมนั่งมอง จนกระทั่งผู้ชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มกวาดสายตามาเจอผมเข้า ผมยิ้มทักทาย
"Can you speak English" เขาถาม
"Yes, just a little" ผมตอบ "How can I help you?"
ไม่เคยคิดเลยว่า คำตอบง่ายๆที่ผมพูดไปในตอนนั้น จะเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางของเราสามคนไปอย่างสิ้นเชิง